Louis Vuitton's Journey
Louis Vuitton แบรนด์ที่เริ่มต้นจากหีบเดินทาง จนวันนี้มีมูลค่า 5 แสนล้านบาท
- Louis Vuitton แรกทีเดียวเป็นเวิร์กช็อปผลิตหีบเดินทางที่ปฏิวัติดีไซน์ใหม่
- นายช่างหลุยส์เป็นช่างทำหีบเลื่องชื่อฝีมือดีในปารีส จากการโละทิ้งหีบฝาปิดทรงโค้งให้เป็นหีบทรงสี่เหลี่ยมหน้าตัดเรียบ ซ้อนได้ วางแนวตั้งหรือแนวนอนก็ได้ ถูกใจนักเดินทางยุครถม้า เรือและรถไฟยิ่งนัก
- ทุกสิ่งที่ Louis Vuitton ทำ จะผูกโยงเข้ากับธีมการเดินทางเสมอ ไม่ว่าจะเป็นไกด์บุ๊ก แคมเปญโฆษณา หรือธีมคอลเลกชันต่างๆ
ใครว่า Louis Vuitton คือแบรนด์แฟชั่น ไม่ผิดแต่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว สิ่งที่สร้างตัวให้แบรนด์สัญชาติฝรั่งเศสตลอด 168 ปีที่ผ่านมา จนมีมูลค่าประเมินในปี 2021 สูงถึง 14,8600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราวๆ 497,000 ล้านบาท) ก็คือ การเดินทาง
‘โลกจะน่าอยู่ขึ้นถ้า…’
Colin Mitchell จากฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ระดับโลกของโอกิลวี กล่าวว่า กรอบการทำงานที่เป็นเอกลักษณ์ในการสร้างแบรนด์ของโอกิลวีก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘The Big Ideal’
วิธีการก็คือแบรนด์ต้องเติมคำในช่องว่างเพื่อให้ประโยคนี้สมบูรณ์แบบ ‘โลกจะน่าอยู่ขึ้นถ้า…’ สิ่งที่เติมในช่องว่างนั่นละคืออุดมคติของแบรนด์ โคลินยกตัวอย่างน้ำอัดลมแฟนต้าที่เติมคำในช่องว่างว่า ‘การเล่น’ ทางโอกิลวีจึงคิดแคมเปญโฆษณา ‘More Fanta. Less Serious’
Louis Vuitton เติมคำลงในช่องว่างว่า ‘การเดินทาง’ แม้ในช่วงเวลาที่การเดินทางกลายเป็นหน้าที่มากกว่าเป็นความรื่นรมย์ เมื่อความคาดหวังกับความเป็นจริงไม่บรรจบกัน ก็ล้วนเป็นโอกาสที่ Louis Vuitton จะเข้ามาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปเหล่านั้นให้กับผู้คน
‘อนาคตลูกหลานของฉันจะดีขึ้น ถ้าฉันเป็นช่างทำหีบ’
นั่นคืออุดมคติของ Louis Vuitton ในปี 1837 ขณะมีวัยเพียง 16 ปี เขาตัดสินใจไปฝึกฝนฝีมือกับ Monsieur Maréchal นายช่างทำหีบเดินทางในปารีส เหตุที่กระทาชายนายหลุยส์อยากประกอบอาชีพเป็นช่างทำหีบ ก็เพราะในยุคนั้นผู้คนเดินทางด้วยรถม้า เรือและรถไฟ ไปไหนทีก็ไม่ได้มีกระเป๋าเดินทางล้อลากเหมือนสมัยนี้ แต่ต้องแพ็กสัมภาระประดามีใส่หีบฝาปิดทรงโค้ง ดีไซน์ที่ออกแบบเพื่อป้องกันน้ำขัง เวลาโดนฝนก็จะลาดลงมาเอง แต่ก็กลายเป็นข้อจำกัดหรือเป็น pain point ที่หลุยส์เข้ามาแก้ไขในเวลาต่อมา
เมื่อหลุยส์ฝึกปรือฝีมือกับนายช่างมาเรชาลนานถึง 17 ปี ที่สุดแล้วในปี 1854 หลุยส์ก็ตั้งเวิร์กช็อปของตนเองบนถนนเนิร์ฟ-เดส์-กาปูซีนส์ แถวๆ จัตุรัสว็องโดมในปารีส
หีบสัมภาระของนายช่างหลุยส์ถือว่าเป็นนวัตกรรมแห่งการเดินทางโดยแท้ หีบใบแรกนั้นทำจากผ้าใบแคนวาสทริอานงสีเทาซึ่งมีคุณสมบัติกันน้ำได้ดี ที่สำคัญยังเป็นหีบใบแรกที่ฝาปิดไม่เป็นทรงโค้งแบบเดิม แต่เป็นหน้าตัดเรียบซึ่งทำให้วางซ้อนกันได้หลายชั้น ช่วยประหยัดพื้นที่เวลาเดินทางได้มาก และยังวางแนวตั้งหรือแนวนอนก็ได้ สั่งทำขนาดใดก็ได้ หีบบางใบสูงขนาดที่แขวนเสื้อได้ทั้งตัวโดยไม่ต้องพับ
Louis Vuitton จึงเจอโจทย์ท้าทายจากลูกค้าที่สั่งทำหีบอันไม่ธรรมดามากมาย อาทิ หีบที่กางออกมาเป็นเตียงนอนของ Pierre Savorgnan de Brazza นักสำรวจชาวฝรั่งเศสที่สั่งทำหีบในปี 1905 หีบใส่ชุดน้ำชาที่ทำให้กับมหาราชาแห่งบาโรดาในปี 1926 หีบห้องสมุดเคลื่อนที่ซึ่งทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับหนอนหนังสือตัวพ่ออย่าง Gaston-Louis หลานชายของหลุยส์ วิตต็อง หรือว่าหีบที่กางออกมาเป็นเต็นท์และหีบหูหิ้วที่มีสายสะพายหลังแปลงร่างเป็นแบ็กแพ็กได้ที่โชว์โฉมในคอลเลกชันฤดูใบไม้ร่วง 2020 บนรันเวย์เครื่องแต่งกายชายของแบรนด์ เป็นต้น
สร้างจักรวาลแห่งการเดินทาง
แม้เมื่อนายช่างหลุยส์เสียชีวิตไปแล้ว แต่ลูกหลานของเขาก็ทำให้หีบ Louis Vuitton เดินทางไปไกลกว่าแค่ในฝรั่งเศสตอนรุ่นพ่อเสียอีก ด้วยวิธีการสร้างแบรนด์แบบสร้างจักรวาลของการเดินทาง
อย่างในปี 1893 ให้หลังหนึ่งปีหลังจากบิดาจากไป Georges Vuitton บุตรชายของหลุยส์ก็เดินทางไปร่วมนิทรรศการ World’s Columbian Exposition ที่ชิคาโก ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 400 ปีที่ Christopher Columbus เดินทางมาถึงทวีปอเมริกา นิทรรศการใหญ่ครั้งนั้นมีผู้เข้าร่วมงานมากถึง 27 ล้านคนตลอดการจัดงาน 6 เดือน ซึ่งฌอร์ฌส์เองถือโอกาสนั้นนำหีบเดินทางของ Louis Vuitton ไปเปิดตัวแก่อเมริกันชนด้วย นับเป็นครั้งแรกที่หีบ Made in France ขายในต่างประเทศ
ในปี 1901 ฌอร์ฌส์ก็คิดทำ ‘Le Voyage’ ไกด์บุ๊กเดินทางเล่มสวย ซึ่งจวบจนถึงปัจจุบันก็ยังมีไกด์บุ๊กแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ร้านขายของแอนทีค แหล่งช้อปปิ้งและสถานที่น่าสนใจของเมืองต่างๆ ทั่วโลก กรุงเทพฯ เองก็มี รู้จักกันในชื่อ Louis Vuitton City Guide ในเวอร์ชั่นพิมพ์เป็นเล่ม แอปพลิเคชัน The Louis Vuitton City Guide App ที่ดาวน์โหลดได้ฟรีและคลิปวิดีโอ
ส่วนปี 1913 ทางแบรนด์เปิดร้านแฟล็กชิปที่ฌ็องส์-เซลิเซ่ส์ ซึ่งกลายเป็นร้านขายสินค้าเกี่ยวกับการเดินทางที่ใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น
ทุกๆ ปีทางแบรนด์จะทำแคมเปญการเดินทาง ซึ่งไม่เน้นขายของจ๋าๆ แต่จะเอาหีบและกระเป๋าหลุยส์ไปตั้งตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ทั่วโลก เช่น ช่วงที่โควิดเพิ่งเริ่มระบาดในปี 2020 แคมเปญการเดินทางของแบรนด์ก็มีฉากหลังเป็นทิวทัศน์งดงามในไอซ์แลนด์ ทั้งในถ้ำลาวา ทะเลสาบหรือธารน้ำแข็ง แม้ในช่วงนั้นการเดินทางทั่วโลกจะชะงักงัน แต่ทางแบรนด์ก็ตีความการเดินทางว่า แง่มุมหนึ่งก็เป็นการหลบฉากจากความเป็นจริงได้ชั่วยาม
กระทั่งคนดังที่จะมาเป็นหน้าเป็นตาของแบรนด์ ยุคหนึ่ง (ก่อนยุคโซเชียลมีเดีย) ทางแบรนด์จะเลือกแต่คนดังที่มีชื่อเสียงว่าเป็นนักเดินทางเท่านั้น อาทิ Sean Connery, Sean Penn หรือว่า Bono แห่งวง U2
“เป็นเรื่องสำคัญที่แบรนด์ลักชัวรีต้องมีความดั้งเดิมและต่อเนื่อง” โคลินแห่งโอกิลวีกล่าว “แบรนด์เหล่านี้จะกลายเป็นจุดอ้างอิงทางวัฒนธรรมในขณะที่โลกแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ” Louis Vuitton ในทางหนึ่งแล้วก็เป็นดั่งจารึกวิถีการเดินทางของผู้คนในยุคสมัยต่างๆ ในศตวรรษที่ 20 จนถึง 21 นั่นเอง
อยากรู้จักแบรนด์นี้เพิ่มเติม : https://th.louisvuitton.com/tha-th/homepage
ที่มา: https://www.lvtrunks.com/history
https://brandirectory.com/rankings/luxury-and-premium/table
https://www.lvmh.com/news-documents/press-releases/new-records-for-lvmh-in-2021/
https://www.theatlantic.com/business/archive/2011/05/branding-louis-vuitton-behind-the-worlds-most-famous-luxury-label/238746/
https://us.louisvuitton.com/eng-us/magazine/articles/a-legendary-history#tumbler
https://luxurylaunches.com/fashion/take-a-trip-down-memory-lane-with-some-of-louis-vuittons-most-interesting-trunks.php
https://jingdaily.com/louis-vuitton-reinvent-travel