- Johnnie Walker Depth of Blue Room บาร์น่ารักๆ บนโรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ ชั้น 35 หยิบ Blue Label วิสกี้พรีเมียมมารังสรรค์เป็นเมนูพิเศษเปิดประสบการณ์ผ่านสัมผัสทั้ง 5 คือ รูป รส กลิ่น เสียง และการสัมผัส และทีเด็ดอย่างห้อง Immersive Room ที่จะพาทุกคนเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของ Blue Lable เหมือนกับเดินทางไปถึงต้นกำเนิดที่แท้จริง อย่าง สกอตแลนด์
ใครก็ตามที่เป็นคอวิสกี้ไม่ว่ารุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ ชื่อของ “Blue Lable” ต้องเคยผ่านหูไปบ้างไม่มากก็น้อย ในฐานะหนึ่งในซีรีส์ผลผลิตจากแบรนด์ Johnnie Walker ร่วมกับเพื่อนๆ หลากสี ไม่ว่าจะเป็น Red, Black, Gold และ Green
ความพิเศษของ Blue Label ที่แตกต่างจากพี่น้องขวดอื่น คือฐานะอันยอดเยี่ยมของมัน เพราะวิสกี้พรีเมียมฉลากสีน้ำเงินจาก Johnnie Walker เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของแบรนด์นี้ พูดง่ายๆ ก็คือตัวท็อปของแบรนด์นั่นแหละ
อย่างไรก็ตาม เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อเสียงของ Blue Label กลับไม่ได้เป็นที่รู้จักเท่า Red, Black หรือแม้กระทั่ง Gold และเมื่อ ONCE หาข้อมูลเพิ่มเติมก็พบว่า จริงๆ แล้ว แบรนด์ Johnnie Walker ก็วาง Blue Label เอาไว้เป็นตัวเจาะตลาดหลักของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียนของเราด้วยซ้ำไป
นั่นคือที่มาของ Johnnie Walker Depth of Blue Room บาร์สุดพิเศษที่สร้างขึ้นเพื่อพาทุกคนที่เดินเข้าสู่สถานที่แห่งนี้ ได้ไปรู้จักตัวตนที่แท้จริงของ Blue Label พร้อมกับเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ว่า ทำไมจริงๆ แล้ว วิสกี้พรีเมียมตัวนี้ถึงเป็นของดีที่ทาง Johnnie Walker อยากนำเสนอมากเหลือเกิน
เราจึงเดินทางมาที่โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ ขึ้นลิฟท์ตรงสู่ชั้น 35 เพื่อลองสัมผัสประสบการณ์ที่แท้จริงว่า Blue Label คืออะไรกันแน่? และตัวตนที่แท้จริงของวิสกี้จากสกอตแลนด์ตัวนี้เป็นอย่างไร?
เกริ่นเบื้องหลังของสถานที่แห่งนี้กันมาเยอะแล้ว เรามาสัมผัสตัวตนที่แท้จริงของ Blue Label ผ่านห้อง Johnnie Walker Depth of Blue Room ไปพร้อมๆ กัน
Blue is the colour
สมชื่อ Johnnie Walker Depth of Blue Room เพราะเมื่อเปิดประตูเข้าไปเราจะได้พบกับบาร์ที่มีความหรูหรา สะดวกสบาย อบอุ่น และที่สำคัญที่สุดคือเต็มไปด้วยแสงสีต่างๆ ภายในร้านที่ถ่ายทอดออกมาผ่านโทนสีเดียว นั่นคือ “Blue”
สำหรับใครที่ชอบโทนสีน้ำเงินแบบผู้เขียน ห้องนี้มอบความรู้สึกผ่อนคลาย และสะดวกสบายใจที่เราอยากจะใช้เวลากับมัน ยิ่งมองออกจากชั้น 35 ของโรงแรมพาร์ค ไฮแอท เห็นวิวเมืองที่สวยงามและกว้างไกลของกรุงเทพมหานคร ทำให้เราสามารถปล่อยตัวปล่อยใจ และพร้อมจะสัมผัสฟีลลิ่งสบายตัวสบายใจได้อย่างเต็มที่
เราได้รับการต้อนรับจาก จัสติน-กมลภพ พรหมโมบล Specialist Bartender และ นุ้งนิ้ง-กรกาญจน์สิริ ปวีณวิทยโชติ Specialist Serve ของ Depth of Blue Room ที่อธิบายให้เราเข้าใจอย่างชัดเจนว่า อะไรคือสิ่งที่เราคาดหวังได้หากมาที่นี่
“จุดประสงค์ของเราคืออยากให้คนได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่แตกต่างออกไป” นุ้งนิ้งกล่าว
ปกติแล้วมนุษย์สามารถรับรู้ประสบการณ์ต่างๆ ได้ทาง 5 ประสาทสัมผัส นั่นคือ การมองเห็น การลิ้มรส การได้กลิ่น การได้ยิน และการสัมผัส ซึ่งประสบการณ์ (Experience) คือสิ่งสำคัญที่ห้อง Blue Room ตั้งใจนำเสนอ และนี่คือที่มาของเมนูสุดพิเศษของบาร์แห่งนี้ เพื่อให้ลูกค้าทุกคนที่เข้ามา ได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริงของ Blue Lable ในรูปแบบที่แตกต่างกัน
ILLUSION (การมองเห็น) OCEANIC (การลิ้มรส) LAVISH (การได้กลิ่น) THE CYMATIC (การได้ยิน) และ COCKTAIL CUBE (การสัมผัส) คือ 5 Signature Cocktail ของที่นี่ และทุกเมนูมีส่วนประกอบของ Blue Label ที่ปรับเปลี่ยนการนำเสนอให้ต่างกันออกไป เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสประสบการณ์ของวิสกี้พรีเมียมตัวนี้อย่างรอบด้าน และเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงให้ได้มากที่สุด
ในความเป็นจริงแล้ว ทางร้านบอกว่าคนที่มาที่นี่ ไม่จำเป็นต้องสั่งทั้ง 5 แก้วเพื่อสัมผัสประสบการณ์ทั้งหมดก็ได้ เพราะทุก Signature Cocktail ได้ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ดื่มเข้าถึงตัวตนของ Blue Label ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แม้จะดื่มแค่แก้วเดียวก็ตาม
แต่เดินทางมาขนาดนี้แล้ว เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจและรับประสบการณ์ที่แท้จริงของห้อง Depth of Blue Room ไปพร้อมๆ กัน ผู้เขียนขออาสาสั่ง Signature Cocktail มาลิ้มลองเพื่อสัมผัสการรับรู้ของวิสกี้พรีเมียม กับประสบการณ์แบบ “บลูๆ” ให้เหมือนกับอยู่ที่สกอตแลนด์ แม้ทางร้านจะเตือนว่าระวังหลับหลังจากดื่มแก้วที่ 3 ก็ตาม (555)
ILLUSION
แก้วแรกที่ทางร้านมอบให้เราคือ ILLUSION หรือเมนูที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านประสาทสัมผัสทางตา อย่างการมองเห็น ที่ในตอนแรกเราดูจะงงไม่น้อย เพราะเมนูนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษนอกจาก แก้ววิสกี้ปากกลมสไตล์คลาสสิก น้ำแข็งสี่เหลี่ยมก้อน และของเหลวที่อยู่ในแก้ว
แต่เราก็ได้เห็นความน่าสนใจเมื่อยกแก้วขึ้น เพราะด้านล่างของแก้วจะมีแผ่นโปสต์การ์ดซึ่งเป็นโลโก้ของ Johnnie Walker ถือไม้เท้า ซึ่งเราได้รู้ในภายหลังว่านี่คือส่วนพิเศษของเจ้าค็อกเทลตัวนี้
ประสบการณ์ที่เราจะได้รับผ่านแก้ว ILLUSION นั่นไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะเมื่อเราดื่มวิสกี้ตัวนี้ เราสามารถมองโลโก้ของ Johnnie Walker ผ่านก้อนน้ำแข็งที่อยู่ภายในแก้วได้
และที่พิเศษที่สุดคือ โปสต์การ์ด Johnnie Walker ที่อยู่ใต้แก้วจะมีลูกเล่นเชื่อมกับที่รองแก้วซึ่งสามารถเลื่อนได้ และเมื่อเรายกแก้วพร้อมกับเลื่อนที่รองแก้วไปด้วย ก็จะทำให้เห็นโลโก้ Johnnie Walker เคลื่อนที่ได้นั่นเอง
(จริงๆ ไม่ต้องยกแก้วก็ได้ เราสามารถเลื่อนที่รองแก้วเพื่อให้ตัวโลโก้ขยับเองได้เลย)
หลังจากโยกที่รองแก้วไปมาอยู่สักพัก เพราะเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนได้ลองจับโลโก้ Johnnie Walker อันคุ้นเคยมาเดินหน้าถอยหลังไปมา ก็ถึงเวลาที่จะลองชิมเครื่องดื่มกันบ้าง ถึงค็อกเทลตัวนี้ถึงดูเรียบง่าย แต่รสชาติกลับเต็มไปด้วยความน่าสนใจ เพราะได้เปลี่ยนวิสกี้สกอตกลายเป็นน้ำที่มีรสชาติหวานดื่มง่าย ด้วยการไซรัปดอกไม้ไทย ผสมกับรสชาติแบบฟรุตตี เพื่อให้คนดื่มได้สัมผัสถึงรสชาติทั้งจากผลไม้และดอกไม้หอมๆ แนวซิตรัส ฟลอรัลอย่างชัดเจน
ความรู้สึกสดชื่น เบาสบาย มีชีวิตชีวา รวมถึงรสชาติหอมหวาน อ่อนโยน ทำให้เราเริ่มเข้าใจว่า อะไรคือความหมายของคำว่า “ประสบการณ์” ที่ห้อง Blue Room ต้องการนำเสนอ ด้วยบรรยากาศของสถานที่แห่งนี้ ทั้งวิวทิวทัศน์ โทนสีน้ำเงินของห้องที่ให้ความรู้สึกเย็นสบาย และเครื่องดื่มที่ช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความสุขตลอดระยะเวลาที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องนี้
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เมนู ILLUSION จะเป็นเมนูขายดีของที่นี่ เพราะในความเรียบง่าย กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่พาให้เราสัมผัสความรู้สึกใหม่ๆ และตัวตนที่แท้จริงของ Blue Label ได้เป็นอย่างดี
แต่นี่แค่แก้วแรกเท่านั้น เพราะแก้วที่สองทำให้เราประหลาดใจมากกว่าเดิม เพราะจากความเรียบง่ายในเมนู ILLUSION แก้วที่สองกลับมีเปลือกหอยขนาดใหญ่วางอยู่ด้านหน้าของเรา
OCEANIC
นี่คือ OCEANIC เมนูที่สะท้อนประสาทสัมผัสด้านการลิ้มรส ที่มาพร้อมกับแก้วคล้ายๆ กับขวดใส่ชาทรงสูงสไตล์ญี่ปุ่น ขณะที่ด้านบนมีเปลือกหอยที่มาพร้อมกับพืชใบเขียวและก้อนกลมรูปทรงแบบไข่ปลา
แก้วนี้คือตัวแทนประสาทสัมผัสของการลิ้มรส เพราะฉะนั้น เราก็คาดหวังที่จะได้รับรสชาติใหม่ๆ ผ่านค็อกเทลตัวนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วพระเอกของเราก็ปรากฏตัวมาตั้งแต่ต้น นั่นคือเปลือกหอยที่อยู่ด้านบนตัวนี้นี่แหละ
ถึงจะมีเปลือกหอยอันใหญ่มาวางไว้ แต่เราจะไม่ได้ชิมหอยนางรมของจริงแต่อย่างใด (เปลือกหอยที่เราเห็นก็ไม่ใช่เปลือกหอยจริง แต่เป็นเซรามิกนะ) เพราะวัตถุดิบหลักที่เราจะได้กิน ออยสเตอร์ลีฟ (Oyster Leaf) ผักใบเขียวขนาดใหญ่นั่นแหละ ที่แม้จะเป็นผักที่อยู่คนละประเภทอาหารกับหอยนางรม แต่เมื่อกินเข้าไป ก็ได้รสชาติแบบหอยนางรมแทบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผู้เขียนการันตีว่าแทนกันได้แน่นอน เพราะรสชาติเหมือนเป๊ะ เหมือนได้กินหอยนางรมคำใหญ่ใส่ปาก แถมยังมีรสชาติของเกลือทะเลเพิ่มเข้าไป ทำให้เราได้รับความรู้สึกเหมือนกับนั่งชิมหอยอยู่บนชายหาดริมทะเลเลยทีเดียว
อย่างที่เราบอกไปว่า เจ้าเปลือกหอยตัวนี้คือพระเอกของงาน เพราะวิธีการกินคือเราต้องกวาดทุกอย่างที่อยู่บนเปลือกหอยนี้เข้าปากให้หมดในทีเดียว ก่อนจะจิบค็อกเทลพิเศษตามลงไป เพื่อได้รับรสชาติที่ดีที่สุด
รสชาติของหอยและความเค็มแบบน้ำทะเลที่เข้าไปในปาก ตามด้วยค็อกเทลที่ทำจากชาเขียวญี่ปุ่นกับโซดา ให้ความรู้สึกที่ตัดขาดกัน แต่ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี
เพราะความคาวแบบอาหารทะเลได้ถูกกลบโดยรสชาติที่เข้มข้นแต่ก็หอมหวานของเครื่องดื่ม ถือเป็นความแตกต่างที่เข้ากันอย่างลงตัว
นุ้งนิ้งอธิบายกับเราว่า จริงๆ แล้ว วิสกี้ของ Johnnie Walker มีความรู้สึกของทะเลอยู่ในนั้นด้วย ทำให้เมนูถูกดีไซน์ออกมาเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ เหมือนกับจิบเครื่องดื่มดีๆ อยู่ริมทะเลผ่านรสชาติของค็อกเทลตัวนี้
เมื่อได้ฟังคอนเซปต์ของเครื่องดื่มบวกกับรสชาติที่เพิ่งได้ชิมไป ทำให้ได้เข้าใจว่า ทำไมค็อกเทลตัวนี้ถึงเป็นตัวแทนของสัมผัสการรับรส เพราะยังรักษารสชาติของวิสกี้สกอตแลนด์ที่มีจุดเด่นกับกลิ่น Smoke ของถังไม้ ความรู้สึกของผลไม้ และเครื่องเทศต่างๆ เอาไว้ แต่บวกด้วยความเค็มของเกลือทะเลเข้ามา กลายเป็นความสมบูรณ์แบบในการสัมผัสรสชาติแบบสกอตวิสกี้แท้ๆ
สิ่งสำคัญที่สุดของเมนูนี้คือการชูจุดเด่นลับของวิสกี้สกอตแลนด์ออกมา นั่นคือรสชาติแบบทะเล หรือที่เรียกว่า Maritime Notes หรือ Briny Notes เพราะจริงๆ แล้ว นี่คือหนึ่งในจุดเด่นของสกอตวิสกี้ โดยเฉพาะกับวิสกี้ที่ผลิตจากพื้นที่ใกล้ชายฝั่ง โดยเฉพาะที่ Campbeltown และแถบชายฝั่งหมู่เกาะตะวันตกของสกอตแลนด์ ซึ่งวิสกี้จากแถบนี้จะใส่ลักษณะเฉพาะของความเค็มและกลิ่นทะเลเข้ามาผสมในเครื่องดื่มด้วย
นี่จึงเป็นเครื่องดื่มที่มอบประสบการณ์การลิ้มรสผ่านรสชาติของวิสกี้อย่างแท้จริง ทำให้เราได้รับจุดเด่นของรสชาติแบบสกอตวิสกี้ทั้งหมด ทั้งกลิ่นไม้แบบที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี ไปจนถึงความรู้สึกของทะเลอันเป็นไพ่ลับของตัวเครื่องดื่มออกมา
หลังจากเข้าถึงตัวตนของการรับรสแบบสกอตแลนด์อย่างแท้จริง ก็ถึงเวลาที่เราจะเดินทางสู่สเตจต่อไปกับการรับรสผ่านประสาทสัมผัสด้านการดมกลิ่น
LAVISH
หากเมนูก่อนหน้านี้มีรสชาติของทะเลเป็นไม้เด็ด เมนูนี้เราได้เห็นขวดน้ำหอมมารอพร้อมเสิร์ฟกับค็อกเทล ซึ่งบอกเราอย่างชัดเจนว่า อะไรคือจุดขายของเมนูที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เราผ่านสัมผัสการรับรู้ผ่านกลิ่น
น้ำหอมที่ฉีดออกมา ทำขึ้นพิเศษเพื่อห้อง Blue Room เท่านั้น ไม่มีขายทั่วไป โดยตัวน้ำหอมสังเคราะห์ผ่านกลิ่นของ Blue Label เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่จากที่เคยรับรสชาติผ่านการดื่ม เปลี่ยนมาเป็นสัมผัสความรู้สึกของวิสกี้ผ่านการดมกันบ้าง
กลิ่น Smoke แบบไม้และกลิ่นวานิลลาจากถังไม้โอ๊กเข้าปะทะจมูกเราอย่างเต็มที่ ให้ความรู้สึกที่ละมุน หอมหวาน แต่หนักแน่นตามสไตล์วิสกี้จากสกอตได้เป็นอย่างดี ซึ่งตัวกลิ่นน้ำหอมก็ได้เฉลยรสชาติของเครื่องดื่มที่มาคู่กันไปในตัว
โดยเมนู LAVISH มาพร้อมกับแก้วมาร์ตินี กับเครื่องดื่มรสชาติหวานที่มีส่วนผสมเป็นเฮเซลนัต เลมอน และทีเด็ดอย่าง มาสคาโปเน ครีมชีสสไตล์อิตาลี เพื่อชูรสชาติของเมนูนี้ให้เป็นเสมือนของหวาน และยังมีท็อปปิงพิเศษเป็นช็อกโกแลตโรยด้วยผงทองเพิ่มความรู้สึกหรูหราที่เข้ากับกลิ่นน้ำหอมที่ตีขึ้นจมูกของเมนูนี้ได้เป็นอย่างดี
เมนู LAVISH ได้สะท้อนการเปลี่ยนบทบาทของสกอตวิสกี้ จากเครื่องดื่มสู่น้ำหอมที่มีเสน่ห์ เช่นเดียวกันกับตัวค็อกเทลที่เปลี่ยนสู่รสชาติของขนมหวาน จนเราแทบลืมไปเลยว่า นี่คือเครื่องดื่มที่ผสมด้วยรสชาติอันหนักหน่วงของวิสกี้ชนิดที่ทางร้านต้องย้ำกับเมนูนี้ว่า “ระวังเมานะ” เพราะแม้จะดื่มง่าย แต่จริงๆ แล้วตัวตนของ Blue Lable ในแก้วนี้ก็ไม่ได้หายไปไหน
THE CYMATIC
หลังจากเปลือกหอยและน้ำหอม คราวนี้ก็มาถึงลำโพงขนาดเล็กพอให้แก้วร็อกวางได้ เป็นจุดเด่นของเมนูนี้ แน่นอนว่าเราเดินทางมาถึงการรับประสบการณ์ผ่านการได้ยินในเมนู THE CYMATIC กันแล้ว
เมนูนี้เสิร์ฟเป็นน้ำสีแดงที่มีส่วนผสมของรสชาติผลไม้ ตั้งแต่สตรอว์เบอร์รี เชอร์รี ไปจนถึงองุ่น เพื่อให้รสชาติของความหวานที่ผสมผสานกับรสชาติบิตเตอร์ขมๆ อย่างลงตัว บวกกับใส่กลิตเตอร์สีทองกินได้ลงไปในแก้ว และวางอยู่บนลำโพง ซึ่งความสนุกได้เริ่มขึ้นเมื่อเราเปิดเจ้าลำโพงตัวนี้ให้ได้ทำงาน
คลื่นเสียงถูกส่งเข้าไปในแก้ว กลายเป็นแรงสั่นสะเทือนภายในแก้ว และเจ้ากลิตเตอร์สีทองที่ได้ใส่ลงไปก็ขยับตัวไปมาตามคลื่นเสียงนั้น และแปรเปลี่ยนกลายเป็นลายน้ำสั่นไหวสีทองที่มองเห็นอย่างชัดเจน เพิ่มความสวยงามที่พิเศษให้กับเครื่องดื่มในแก้วนี้
“Sound Wave in Water” คือลูกเล่นของแก้วนี้ เป็นการเปิดประสบการณ์ให้ลูกค้าได้เห็นการเคลื่อนไหวของน้ำในรูปแบบเดียวกับการปล่อยคลื่นเสียงของสัตว์ทะเลภายในน้ำ ซึ่งเหมือนกับประสบการณ์เวลาเราลงไปใต้น้ำ กับการดื่มด่ำค็อกเทลแก้วนี้ เราจะไม่ได้ยินเสียงเพลงแต่อย่างใด จะเห็นแค่คลื่นน้ำอันสั่นไหวที่สวยงามของกลิตเตอร์สีทองภายในน้ำสีแดงเท่านั้น
ส่วนรสชาติจะหวานไปกับส่วนผสมจากผลไม้ชนิดต่างๆ เพื่อตัดกับรสชาติของวิสกี้ภายในแก้ว และช่วยชูให้เครื่องดื่มจากสกอตแลนด์ได้โดดเด่นยิ่งกว่าเดิม ถือเป็นแก้วที่บาลานซ์ระหว่างความหวานและรสชาติของวิสกี้ได้อย่างยอดเยี่ยม
4 แก้วผ่านไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับประสบการณ์ใหม่ๆ ของการสัมผัสตัวตนที่แตกต่างของ Blue Label และเราเดินทางมาถึงแก้วสุดท้าย ที่คราวนี้พระเอกของเราแปรเปลี่ยนเป็นวุ้นเจลลีหลากสีสัน 3 รูปแบบที่วางอยู่ตรงหน้าของเรา
COCKTAIL CUBE
“ตัวนี้เป็นยังไงบ้างครับ?” “อ๋อ ตัวนี้ On The Rock เพียวๆ เลยครับ” คำตอบจาก จัสติน Specialist Bartender ได้เฉลยให้เรารู้ว่า ความพิเศษของค็อกเทลตัวสุดท้ายอยู่ในวุ้นหลากสีที่เสิร์ฟมาพร้อมกับเครื่องดื่มล้วนๆ
ตัววุ้นมีทั้งหมด 3 ชุด ขวาสุดจะเป็นวุ้นสีครีมขาวสลับกับวุ้นสีเหลืองทอง ตรงกลางจะเป็นวุ้นสีเหลืองทองและวุ้นสีแดงมารูน และท้ายสุดจะเป็นวุ้นสีแดงมารูนกับวุ้นสีครีมขาวเป็นตัวปิดท้าย วุ้นแต่ละสีแต่ละแบบก็มีรสชาติกับจุดเด่นแตกต่างกันออกไป
“วุ้นทั้ง 3 แบบก็คือค็อกเทลครับ ถ้าเรากินเข้าไปก็เหมือนกับเรากินค็อกเทลตัวหนึ่ง” จัสตินกล่าว ซึ่งนั่นหมายความว่า วิธีกินคือเราต้องกินวุ้นเหล่านี้เข้าไปในคำเดียว และระหว่างที่เคี้ยวอยู่ในปากค่อยดื่มเครื่องดื่มตามลงไป เพื่อให้น้ำสัมผัสกับตัววุ้นกลายเป็นรสชาติใหม่ที่เกิดขึ้นภายในปากของเรา
นี่คือที่มาของการรับรู้ผ่านการสัมผัสในเครื่องดื่มตัวสุดท้าย ผ่านพระเอกตามชื่อเมนู อย่าง COCKTAIL CUBE เพราะมันคือการสร้างประสบการณ์ใหม่กับเรา แทนที่จะรับรู้รสชาติของค็อกเทลในรูปแบบของเหลว เราจะได้รับรู้มันผ่านการเคี้ยวเจลลีแทน
เจลลี 3 ชุดให้รสชาติที่ต่างกันออกไป ซึ่งมีการเรียงลำดับในการกิน โดยจะต้องเริ่มต้นกับตัวขวาสุดที่เป็นสีขาวและสีเหลืองให้รสชาติแบบ Sweet & Sour มีความเปรี้ยวหวานที่ชัดเจนมาก และรสชาติของวุ้นก็ติดอยู่ในปาก เหมือนกับเวลาเราดื่มค็อกเทลจริงๆ แม้ว่าจะมีการดื่มเครื่องดื่มตามเข้าไป รสชาติของวุ้นก็ไม่ได้หายไปไหน
ตามมาด้วยวุ้นตรงกลางเป็นวุ้นเหลืองและวุ้นแดง จะให้รสชาติ Bitter & Sweet ซึ่งความขมจากวุ้นสีแดงจะมาตัดกับรสชาติเปรี้ยวจากวุ้นสีขาวในตัวที่แล้ว ซึ่งให้การรับรสที่แตกต่างออกไป จะมีความหนักหน่วงมากขึ้น แต่ก็ยังกินง่ายผ่านรสหวานสไตล์น้ำผึ้งจากตัววุ้นสีเหลือง และรสชาติก็ยังคงตัดกับตัววิสกี้ได้เป็นอย่างดี
และปิดท้ายกับวุ้นสีขาวแดงทางซ้ายสุด จะมีทีเด็ดที่วุ้นผ่านการ Smoke ให้กลิ่นควันสไตล์สกอตวิสกี้มาเป็นอย่างนี้ ทำให้ตัวนี้จะไม่ตัดกับรสชาติของเครื่องดื่มเหมือนกับสองตัวก่อนหน้า แต่ให้ความรู้สึกไปด้วยกันกับตัวเครื่องดื่มได้เป็นอย่างดี
เมื่อกินครบทั้ง 3 ชุด เราจึงเข้าใจว่าการดีไซน์ของค็อกเทลตัวนี้ คือการให้เราชิมวุ้นที่มีรสชาติตัดกับตัวเครื่องดื่มมากที่สุด และไล่ลงมาจนถึงวุ้นที่ตัดกับรสชาติเครื่องดื่มน้อยที่สุด
ซึ่งให้ประสบการณ์ที่หลากหลายในการสัมผัสรสชาติของค็อกเทลด้วยการสัมผัสแบบใหม่ผ่านวุ้นเจลลีได้เป็นอย่างดี
เราเดินทางมาครบทั้ง 5 เมนูจาก Depth of Blue Room ซึ่งมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เรา และมาจนถึงตอนนี้ เราได้สัมผัสตัวตนใหม่ๆ ของ Blue Label ให้สมกับคอนเซปต์การเปิดประสบการณ์ใหม่ที่ทำให้เราเข้าใจตัวตนของวิสกี้แบรนด์นี้มากยิ่งขึ้น
แต่การเดินทางของเรายังไม่จบ เพราะยังมีห้อง Immersive Room ที่จะพาเราเดินทางไปสู่จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของ Blue Label
This World is BLUE
ด้านในสุดของ Johnnie Walker Depth of Blue Room จะมีห้องขนาดยาวลึกที่มีม่านปิดเอาไว้ และนั่นคือ Immersive Room ห้องที่เก็บตัวตนอันแท้จริงของ Blue Label เอาไว้
เราผ่านเข้าไปในห้องที่มืดมิด ซึ่งมีโต๊ะและจอฉายขนาดยาวอยู่ด้านหน้า มีเก้าอี้หลากหลายตัววางไว้ แต่ด้านหน้าของแต่ละเก้าอี้ก็จะมีแก้ว โถน้ำเปล่าเย็นๆ วางอยู่
เราถามถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของห้องนี้ นั่นก็คือ การดื่ม Blue Label แบบถูกวิธี เพื่อให้เราได้เข้าใจตัวตนที่แท้จริงของวิสกี้ตัวนี้ให้ดีที่สุด
หลังจากเตรียมพร้อมเรียบร้อย เราจึงได้เริ่มการเดินทางเข้าสู่โลกสีน้ำเงิน เสียงปี่สกอตแลนด์ดังขึ้นมาอย่างชัดเจน จอฉายด้านหน้ามีภาพเคลื่อนไหว บอกเล่าเรื่องราวของ Blue Label
สิ่งที่พิเศษจริงๆ ของห้อง Immersive Room คือเราจะได้รับรู้ตัวตนของ Blue Label ผ่านสัมผัสทั้ง 5 อีกครั้ง เริ่มต้นตั้งแต่การมองถึงเรื่องราวของเครื่องดื่มตัวนี้ ไปพร้อมกับแสดงสีน้ำเงินที่สร้างบรรยากาศให้กับเรา
ถัดมาเราจะได้สัมผัสกระดาษที่มีทั้งหมด 10,000 จุด และจะมีแค่จุดเดียวที่แตกต่างออกไป เพื่อบอกเล่าเรื่องราวว่า Blue Label ผลิตจากถังวิสกี้ที่ดีที่สุดจาก 10,000 ถังที่คัดสรรโดยเฉพาะเพื่อมาทำเป็นวิสกี้ตัวนี้
หลังจากนั้น เราจะได้หยิบสมุดขนาดเล็กที่ให้กลิ่นน้ำหอมของ Blue Label ผ่านการเล่าเรื่องว่า วิสกี้จริงๆ ก็เหมือนกับการทำน้ำหอมที่มีกลิ่นมากมายใส่อยู่ในเจ้าของเหลว และให้กลิ่นที่ต่างกันออกไปแล้วแต่ที่คนจะได้กลิ่น ซึ่งเจ้าน้ำหอมที่ติดอยู่กับสมุดตัวนี้หอมมากๆ จนถึงกับต้องถามว่ามีขายไหม? เพราะกลิ่นหอมดีมากจริงๆ (ก่อนได้รับคำตอบว่า ไม่มีขายแต่อย่างใด!)
ส่วนสัมผัสทางเสียง เราก็จะได้ยินเสียงเพลงท้องถิ่นจากสกอตแลนด์เข้ามา เพื่อปิดท้ายด้วยรสชาติการลิ้มรส นั่นคือการดื่มน้ำเปล่าเย็นๆ เพื่อปรับอุณหภูมิในคอของเรา และปิดท้ายด้วยรสชาติของ Blue Label ก็จะครบประสบการณ์ทั้ง 5 ในการสัมผัสตัวตนของ Blue Label อย่างแท้จริง
การเดินทางของเราสิ้นสุดแล้ว สิ่งที่เราได้รับผ่านห้อง Depth of Blue Room คือการสัมผัสประสบการณ์ใหม่ในโลกของเครื่องดื่มอย่างแท้จริง และทำให้เราได้เห็นตัวตนที่มากกว่าเดิม เครื่องดื่มที่เราเคยคิดว่ามีเอาไว้แค่ดื่มและก็จบ จริงๆ แล้วมีเรื่องราวอะไรใหม่ๆ ซุกซ่อนรอให้ทุกคนได้ค้นหาอยู่เสมอ
เราได้คำตอบจากคำถามที่ตั้งไว้ในตอนต้นเป็นที่เรียบร้อย และถ้าคุณอยากค้นหาคำตอบของประสบการณ์แบบนี้ ก็มาได้ที่ Johnnie Walker Depth of Blue Room
Johnnie Walker Depth of Blue Room
โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ ชั้น 35
Map: https://maps.app.goo.gl/iVSTFrAWTz6jbyzz5
เปิดบริการวันพุธ-วันอาทิตย์ เวลา 17.30-24.00 น.
Website: https://www.hyatt.com/en-US/hotel/thailand/park-hyatt-bangkok