‘ท่าแร่’ ชุมชนคริสตชนอายุกว่า 100 ปี ที่ตั้งตัวอยู่ที่ริมหนองหาร อำเภอเมือง ตำบลท่าแร่ จังหวัดสกลนคร ในอดีตราวๆ พ.ศ. 2427 ชาวบ้านที่นับถือศาสนาคริสต์จากเวียดนามและชาติพันธุ์อื่นอพยพเข้ามาอยู่ในท่าแร่ ขณะเดียวกันก็ได้หอบหิ้วศิลปะ-วัฒนธรรมเข้ามาด้วย ทำให้ที่นี่โดดเด่นทั้งเรื่องอาหาร ความเป็นอยู่ที่เรียบสงบ ตึกเก่าแก่ทรงโคโลเนียลฝรั่งเศสผสมเวียดนามอันงดงาม ที่ทำเอาอยากมาเดินชมให้ได้สักครั้ง
ศูนย์รวมจิตใจอันเงียบสงบของผู้คนในชุมชนท่าแร่ ถ้าเดินชมโดยรอบจะพบว่า ที่นี่คือสถาปัตยกรรมแบบร่วมสมัยผสมปนเปเรื่องราวของคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในท่าแร่ได้อย่างสวยงาม อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลจะมีรูปทรงคล้ายเรือ เพื่อระลึกถึงคริสต์ศาสนิกชนที่พากันอพยพมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่แห่งนี้
โครงสร้างตึก 2 ชั้นทรงโคโลเนียลฝรั่งเศสผสมเวียดนาม สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2475 การก่อสร้างจะยึดแบบก่ออิฐถือปูนตามหลักภูมิปัญญาท้องถิ่น คือไม่มีการใช้ปูนซีเมนต์และเหล็ก แต่นำปูนขาวผสมกับทราย ยางพืชพื้นเมือง คือ ยางบงและน้ำอ้อยแทนปูนซีเมนต์อีกที ประตูและหน้าต่างทำจากไม้เนื้อแข็งลูกฟัก ซุ้มโค้งด้านหน้าโชว์ลายอิฐ และการประดับหินหลักยอดอย่างสวยงาม ด้านหลังบ้านเป็นสีดำเสริมด้วยบานหน้าต่างโค้งกลมเล็กๆ ชวนนึกไปถึงกลิ่นอายโกธิคนิดๆ เป็นความงามที่อยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้เลย
อาคารก่อปูน 2 ชั้น หลังนี้สร้างในปี พ.ศ. 2476 เป็นบ้านของนายคำสิงห์ อุดมเดช แต่เดิมชั้นล่างเคยเป็นร้านค้าขายสินค้าเบ็ดเตล็ด ชั้นบนเป็นที่พักอาศัย ก่อสร้างโดยช่างเวียดนามที่อพยพมาอยู่ในจังหวัดนครพนมและบ้านท่าแร่ ผสมกับรูปแบบสถาปัตยกรรมจากฝรั่งเศสยุคอาณานิคม มีการใช้เทคนิคโบราณในการก่อสร้าง โดยใช้ปูน ทราย อิฐ ผสมกับยึดติดกันกับเสาไม้ ทำให้ผนังและหลังคามีความแข็งแรง ส่วนบริเวณซุ้มวงโค้งด้านหน้ายังโชว์ศิลปะการตกแต่งของช่างชาวเวียดนามด้วยลวดลายปูนปั้นลายประแจจีน ที่บอกถึงวามมงคล แม้ว่าสีของอาคารจะซีด หลุดลอกไปตามกาลเวลา แต่กลับทำให้ตึกนี้ดูต้องมนตร์ราวกับว่าคฤหาสน์หลังนี้พาเราเดินย้อนรอยอดีตยังไงยังงั้น
เราใฝ่ฝันอยากนั่งจิบกาแฟแบบเอาต์ดอร์ ที่มีวิวตรงหน้าคือข้างตึกเก่า รูปปั้นประติมากรรมแทรกด้วยธรรมชาติใบไม้เขียว ตามอย่างที่เห็นบ่อยในคาเฟ่แถบยุโรปตะวันตก ซึ่งในตอนนี้ก็ได้ดั่งใจหวัง เพราะเจ้าของคาเฟ่คือทายาทตระกูลคฤหาสน์อุดมเดชวัฒน์ตึกใกล้เคียง เขาเลยใช้ประโยชน์จากด้านข้างตึกของตระกูล ทำเป็นพื้นที่หลบมุมจิบกาแฟ เน้นบรรยากาศราวกับอยู่ในสวนอังกฤษหรือยุโรปที่ชวนให้อยากมาใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง นั่งทอดตัวตลอดทั้งวัน
ซากปรักหักพังอาจไม่มีโอกาสเผยสิ่งงดงาม หากคนนิยมรื้อถอนทิ้งแทนการอนุรักษ์ นับว่าโชคดีที่ได้เห็นการตั้งอยู่ของตึกหินเก่าแก่แห่งนี้ คราบสีดำหรือขี้เขม่าบ่งบอกความพุพังและรอยไหม้ การถูกทิ้งอย่างยาวนานทำให้เกิดรากไม้และต้นโพธิ์เติบโตแทรกแซงอิฐเก่า อ่านประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ข้างกัน เล่าไว้ว่า ที่นี่คือบ้านของนายหนู ศรีวรกุล และ นางหนูนา อุปพงษ์ บุตรของพระยาประจันตประเทศธานี เจ้าเมืองสกลนครในเวลานั้น ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นี่กลายเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา กระทั่งเกิดไฟไหม้ซึ่งพรากความสมบูรณ์ของตัวบ้านไป บ้านหลังนี้จึงถูกปล่อยร้างมาจนถึงปัจจุบัน เป็นความรกร้างที่มากความขลังเสียจริง
ที่นี่คือโรงคั่วแห่งแรกๆ ของสกลนครซึ่งมีทั้งสาขาในเมืองและที่ อ.ท่าแร่ คาเฟ่เล็กๆ ตกแต่งโทนสีฟ้า-ขาว ชวนให้นึกถึงกลิ่นอายวินเทจดิบๆ แต่ยังได้ไวบ์อบอุ่น สงบเหมาะนั่งชิลล์ กัสจังคาเฟ่ถือเป็นร้านที่มีโรงคั่วกาแฟที่แรกในสกลนคร ทำให้มีเมล็ดกาแฟคุณภาพดีให้เลือกมากมาย พร้อมกับเจ้าของที่บอกเล่ารสกาแฟอย่างเป็นมิตร แถมยังมีอาหารตามสั่งด้วยนะ พอได้ทิ้งตัวที่เก้าอี้ สั่งเมนู Dirty เลือกเมล็ดคั่วเอธิโอเปียมานั่งดื่ม กลิ่นกาแฟจากโรงคั่วเคล้ากับบรรยากาศและรสชาติแก้วที่ดื่มได้อย่างเพลิดเพลิน รู้ตัวอีกทีก็หมดภายในพริบตาแล้ว
เดินๆ อยู่เกิดหิวเมื่อไหร่ คุณมีที่ให้ฝากท้องแล้ว กับบ้านโบราณตึกโคโลเนียล ปัจจุบันผันตัวเป็นร้านอาหาร ‘ข้าวเปียกโบราณฟรานซิโก’ เสิร์ฟเครื่องดื่ม อาหารสไตล์ไทย เวียดนามเมนูง่ายๆ นอกจากมีข้าวเปียกเป็นเมนูซิกเนเจอร์ มีอีกเมนูที่ใครต่อใครบอกมาที่นี่ต้องสั่งคือ สุกี้โบราณรวมแบบน้ำ (50 บาท) สูตรเฉพาะที่คิดขึ้นเอง น้ำซุปผสมไข่ได้รสเข้มข้นกลมกล่อม ทีเด็ดอยู่ที่น้ำจิ้ม เคี่ยวในเตาถ่าน 5 ชั่วโมง ทำให้มีกลิ่นหอมฟุ้ง ให้รสชาติแบบถึงพริกถึงกระเทียมกันเลยทีเดียว ต้องปักธงมาลองให้ได้จริงๆ
รู้ไหมว่าการได้ใส่เสื้อผ้าตามพื้นเพของที่นั้นๆ จะทำให้เราได้ซึมซับวัฒนธรรมพื้นถิ่นเขามากกว่าเดิมด้วยนะ หากอิ่มท้องแล้วขอให้หันหน้าไปฝั่งตรงข้ามจะพบร้าน ‘เลาดา เต ชอป’ ในภาษาละติน แปลว่า ‘สรรเสริญแม่พระ’ ที่คล้องไปกับวิถีชาวคริสต์คาทอลิกของคนแถบนี้ ที่นี่เน้นขายของฝากจากท่าแร่ ไฮไลต์เด็ดคือ ทางร้านมีบริการเช่าชุด ทั้งชุดบรูไน เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ลาวและจีน ในราคาชุดละ 100 บาท ให้เราได้แต่งชุดเดินถ่ายรูปเก๋ๆ คู่กับตึกเก่ามากเสน่ห์ได้เพลินๆ เลย
เกิดเป็นคนไทยมาถึง 25 ปี ก็เพิ่งจะรู้ว่า แท้จริงแล้วข้าวไทยมีหลายสายพันธุ์ ถ้าจินตนาการไม่ออกว่ามากแค่ไหน ให้เดินมาที่นี่นะ บ้านทรงไม้ที่จะเปิดประตูพาคุณส่องดูข้าวพันธุ์ไทยอีสาน ภายใต้ชื่อแบรนด์ว่า ‘ข้าวหอมดอกฮัง’ ส่วนใหญ่ปลูกในอำเภอกุสุมาลย์ มีให้เลือกซื้อกลับบ้านไม่ต่ำกว่า 10 สายพันธุ์เลยเอ้า! ถ้าโชคดีเจ้าของที่นี่จะสอนคุณคัดเลือกเมล็ดข้าว บ้างก็พาหุงข้าวให้เราได้ลองชิมข้าวหอมนุ่มคุณภาพดีอีกด้วย