About
TRENDS

Street Clash

สร้างศิลปะหรือทำลาย? ชวนคิด ‘บอมบ์’ ในกราฟฟิตี กับคำถามถึงความเหมาะสม

Date 02-10-2025 Views 149
Beingthere Detour Be myguest FLAVOR Resound art+culture Insights Trends Business Insiders Balance Craftyard News
Read At ONCE
  • การบอมบ์คือเรื่องปกติของศิลปะกราฟฟิตี แต่เมื่อการสร้างสรรค์ผลงานขัดใจคนหมู่มาก แถมยังผิดกฎหมาย แบบนี้อะไรคือจุดตรงกลางของคำว่าศิลปะกับทำลายทรัพย์สิน ONCE อยากเปิดสนทนากับทุกคนเรื่องการบอมบ์ในศิลปะกราฟฟิตี ผ่านมุมมองหลากหลาย จากประวัติศาสตร์และตัวตนที่แท้จริงของศิลปะต่อต้านระบบรูปแบบนี้

ศิลปะกราฟฟิตี (Graffiti) กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคมไทย หลังจากเกิดการ “บอมบ์” สร้างงานกราฟฟิตีทับผลงาน สตรีตอาร์ต (Street Art) กลายเป็นการตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

การบอมบ์หรือการสร้างงานกราฟฟิตีทับผลงานเดิมไม่ใช่เรื่องใหม่ของวงการนี้ อันที่จริงนี่คือวัฒนธรรมของสายกราฟฟิตี แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นได้ เมื่อการบอมบ์นำไปสู่การทำลายผลงานที่มีคุณค่าผ่านสายตาของคนในสังคม

ยกตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นกับบ้านเรา เมื่อ กทม.ได้ทำโครงการ “Krung Thep Creative Streets” เพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์ให้เมือง ร่วมมือกับสถานทูตหลายประเทศ ดึงศิลปินระดับโลก 15 คน สร้างผลงาน Street Art 15 จุด เป็นโปรเจกต์ใหญ่ที่เพิ่มสีสันให้กับเมือง แต่กลายเป็นว่ามาโดนมือดีบอมบ์งานกราฟฟิตีทับใส่ หรือที่จังหวัดนครราชสีมา ก็มีคนมาบอมบ์งานกราฟฟิตีใส่ภาพวาดบนกำแพงรูปหลวงพ่อคูณด้วยเช่นกัน

บทความนี้ของ ONCE จะไม่ได้มาตัดสินว่าถูกหรือผิด? แต่อยากเปิดสนทนากับทุกคนเรื่องการบอมบ์ในศิลปะกราฟฟิตี ผ่านมุมมองที่หลากหลายจากประวัติศาสตร์และตัวตนของศิลปะต่อต้านระบบรูปแบบนี้ 👇

ศิลปะกราฟฟิตี

กราฟฟิตีขาดบอมบ์ไม่ได้

Graffiti Bombing หรือที่คนไทยเรียกว่า “บอมบ์” คือสแลงในวัฒนธรรมกราฟฟิตี หมายถึงการสร้างผลงานกราฟฟิตีบนพื้นที่กว้าง เช่น กำแพง หลังคา รถไฟ ป้ายโฆษณา ตรงไหนก็ได้ที่เห็นได้ชัดเจน ส่วนใหญ่มักทำโดยใช้ความรวดเร็วมากกว่าสร้างผลงานให้สวยงาม

โดยปกติการบอมบ์ถูกสร้างเป็นโลโก้หรือสัญลักษณ์ลายเซ็นของศิลปิน เพราะวัฒนธรรมการบอมบ์ส่วนหนึ่งมาจากการพยายามสร้างชื่อของศิลปินสายสตรีตที่ไปบอมบ์ลายเซ็นของตัวเองตามพื้นที่ต่างๆ ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ยิ่งเห็นมากก็ยิ่งเป็นที่รู้จักมาก

การบอมบ์ไม่ได้ขายความสวยงาม เพราะไม่ใช่การสร้างผลงานเป็นชิ้นแบบสตรีตอาร์ตที่ตั้งใจวาดและใช้เวลานานในการสร้างสรรค์ แต่มันคือวัฒนธรรมของการโชว์ “ตัวตน” และ “ชื่อเสียง” ถ้าพื้นที่นี้มีงานบอมบ์ของศิลปินคนไหนเยอะ เดินไปทางไหนก็เห็นแต่ลายเซ็นกราฟฟิตีของศิลปินคนนี้ ก็เหมือนกับเป็นการประกาศศักดาด้วยว่า พื้นที่ตรงนี้ศิลปินคนไหนเป็นคนครอบครอง

ศิลปะกราฟฟิตี

เครดิตภาพ: eric laudonien / Shutterstock.com

ย้อนไปในปี 1971 ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา “A tag bombing” หรือการพ่นลายเซ็นศิลปินถือเป็นจุดเริ่มต้นของมูฟเมนต์กราฟฟิตีเพื่อโปรโมตตัวศิลปินให้เป็นที่รู้จัก และ Bombing ไม่ใช่สไตล์ศิลปะ แต่เป็น “Activity” ที่ศิลปินออกไปสร้างชื่อให้ตัวเอง ออกไปสร้างผลงาน สร้างลายเซ็นแบบง่ายๆ รวดเร็วว่องไว ไม่ให้ใครจับได้ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งและมีอิทธิพลสำหรับศิลปินสายกราฟฟิตีด้วยกัน

จากประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมการบอมบ์ ชัดเจนว่าการบอมบ์ถูกระบุไว้แค่ว่า เป็นการสร้างผลงานบนพื้นที่กว้างดังที่เราได้ยกตัวอย่างไป ไม่เคยมีการบอกว่าการบอมบ์จำเป็นจะต้องสร้างทับผลงานที่มีอยู่แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือการบอมบ์ไม่จำเป็นต้องไปวาดลายเซ็นตัวเองทับงานคนอื่น เพราะความเป็นจริงการบอมบ์สามารถทำตรงไหนก็ได้ ขอแค่ให้คนเห็นก็พอ

ถ้าแบบนั้น ทำไมการบอมบ์จะต้องไปทำกับผลงานของคนอื่น ทั้งที่สามารถทำกับพื้นที่โล่งได้? เรื่องนี้สามารถอธิบายผ่านการปะทะกันของไอเดีย กราฟฟิตี กับ สตรีตอาร์ต

ศิลปะกราฟฟิตี

เครดิตภาพ: Sandra Moraes / Shutterstock.com

การปะทะของสองไอเดีย

ศิลปะบนกำแพงตามท้องถนนเหมือนกัน แต่กราฟฟิตีและสตรีตอาร์ตก็เป็นศิลปะคนละรูปแบบ ในขณะที่กราฟฟิตีเน้นความดิบผ่านศิลปะที่สร้างเป็นตัวอักษร มีเทคนิคสร้างสรรค์ที่รวดเร็วว่องไว มักใช้แค่สเปรย์ในการสร้างผลงาน และแสดงออกถึงตัวตนความเป็นขบถได้อย่างชัดเจน

ตรงกันข้ามกับสตรีตอาร์ตที่เน้นการสร้างผลงานภาพ ใช้เวลานานในการสร้างสรรค์ ผลงานมักพูดถึงประเด็นทางสังคม วัฒนธรรมของพื้นที่นั้น มีเทคนิคการสร้างสรรค์ที่หลากหลาย ไม่ได้ใช้แค่สเปรย์อย่างเดียว รวมถึงผลงานปกติจะเป็นมิตรกับคนทั่วไปมากกว่าสายกราฟฟิตี

ปัจจุบันมีศิลปินหลายคนที่ทำงานทั้งกราฟฟิตีและสตรีตอาร์ต แต่บางคนก็ยังเลือกฝั่งใดฝั่งหนึ่ง และด้วยแนวคิดที่แตกต่างกัน บางครั้งนำมาสู่ปัญหาการทำลายงานของอีกฝ่าย

ศิลปะกราฟฟิตี

เครดิตภาพ: Karolis Kavolelis / Shutterstock.com

ประเด็นนี้เป็นปัญหาของวงการศิลปะมานานหลายปี โดยเฉพาะในฝั่งตะวันตกที่ตั้งคำถามว่า จะหาจุดร่วมกันได้อย่างไร ในเมื่อ Stereotype ว่า สตรีตอาร์ตคืองานศิลปะจากแกลเลอรีที่ย้ายมาอยู่บนถนน กับกราฟฟิตีที่เป็นฝั่งหัวขบถก้ำกึ่งไปยังเรื่องราวผิดกฎหมาย ไม่เคยจางหายไปไหน

ยกตัวอย่างในอังกฤษ เคยเกิดสงครามศิลปะที่ดังจนกลายเป็นสารคดีทางโทรทัศน์ คือการต่อสู้ระหว่าง King Robbo ตำนานและผู้บุกเบิกศิลปะกราฟฟิตีในลอนดอน กับ Banksy ศิลปินสตรีตอาร์ตฝีมือดี (ซึ่งก็ทำงานด้านกราฟฟิตีด้วยเช่นกัน) ทั้งสองฝั่งต่างเชื่อว่างานของตัวเองมีคุณค่ามากกว่าอีกฝ่าย จนเกิดการทำลายผลงานกันไปมาอยู่พักใหญ่

แม้ว่าเรื่องราวทุกอย่างจะจบลงด้วยดี หลังจาก King Robbo ประสบอุบัติเหตุตกบันไดจนศีรษะบาดเจ็บอาการโคม่า ทำให้ Banksy สร้างผลงานแสดงความเคารพให้กับ King Robbo แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหาระหว่างศิลปินทั้งสองคนสะท้อนถึงปัญหาที่มีอยู่จริงระหว่างแนวคิดทางศิลปะที่ต่างกันของทั้งสองสาย

ตัวของ Banksy ก็เคยสร้างผลงานที่มีชื่อว่า Graffiti is a Crime (กราฟฟิตีคืออาชญากรรม) ออกมาด้วย ในปี 2013 แถมบุกไปสร้างถึงนิวยอร์กบ้านเกิดของศิลปะกราฟฟิตี ซึ่งเป็นงานที่ปัจจุบันยังคงถูกถกเถียงว่า สรุปแล้วทำขึ้นมาเพื่อปกป้องหรือโจมตีวัฒนธรรมนี้กันแน่? บางคนก็เชื่อว่า Banksy สร้างงานนี้ขึ้นมาเพื่อทั้งเคารพและโจมตีศิลปะกราฟฟิตีไปพร้อมกัน

ศิลปะกราฟฟิตี

เครดิตภาพ: Cooler8 / Shutterstock.com

ศิลปะกราฟฟิตี

ศิลปะกราฟฟิตี

ย้อนกลับมามองภาพที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เราเห็นได้ชัดว่า งานสตรีตอาร์ตทั้งจากโปรเจกต์ “Krung Thep Creative Streets” หรือผลงานหลวงพ่อคูณที่จังหวัดนครราชสีมา ต่างก็โดนบอมบ์ด้วยศิลปะกราฟฟิตีทั้งสิ้น

เมื่อเราได้เห็นการปะทะกันของศิลปะอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ บางทีเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็สามารถสะท้อนถึง “คุณค่า” ของศิลปะที่ไม่เท่ากันในความคิดของแต่ละคน

ท้ายที่สุดต่อให้รักศิลปะเหมือนกัน ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนต้องรักศิลปะแบบเดียวกัน เหมือนกันทั้งหมด ศิลปะของเธออาจไม่มีคุณค่าเท่าแบบของฉัน ประเด็นเหล่านี้ก็เป็นเรื่องราวที่ไม่เคยหายไปในวงการศิลปะ

ศิลปะกราฟฟิตี

ขบถวงการศิลปะ

อีกมุมหนึ่งที่ไม่เล่าคงไม่ได้คือตัวตนของศิลปะกราฟฟิตีก็ถือว่ามีความหัวขบถอยู่ในตัวมากพอสมควร หลายคนมองว่าศิลปะแนวนี้คือศิลปะนอกกฎหมาย (Outlaw) ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเหตุผลที่วัฒนธรรมการบอมบ์เกิดขึ้นมา เนื่องจากศิลปินกราฟฟิตีนิยมไปสร้างผลงานในพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ส่วนบุคคล จึงต้องรีบพ่นสเปรย์ รีบทำ รีบจบ ก่อนที่จะเจ้าของพื้นที่มาเห็น หลีกเลี่ยงปัญหาการผิดกฎหมาย

จะบอกว่า การฝ่าฝืนกฎเกณฑ์อยู่ใน DNA ของศิลปะสายนี้ก็ไม่ผิดนัก และเป็นเสน่ห์ของกราฟฟิตีด้วยเช่นกัน เพราะไม่มีศิลปะรูปแบบไหนจะท้าทายกรอบวงการศิลปะได้น่าสนใจไปกว่าศิลปะแบบกราฟฟิตี

สื่อจากสหรัฐอเมริกา อย่าง The San Francisco Standard เคยสัมภาษณ์ศิลปินกราฟฟิตีหญิงที่มีชื่อว่า Wag เธอกล่าวด้วยตัวเองว่า รู้ดีถึงการทำงานกราฟฟิตีลงบนที่สาธารณะคือสิ่งที่ผิดกฎหมาย เพราะมันสวนทางกับสิ่งที่เมืองซานฟรานซิสโกต้องการคือทุ่มเงินปีละ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 640 ล้านบาทในการลบศิลปะกราฟฟิตีออกไปจากเมือง เนื่องจากมองว่าทำลายความสวยงามของเมือง

แต่สำหรับ Wag เธอบอกว่า นี่คือเหตุผลที่ทำให้เธอไม่เลิกทำงานกราฟฟิตี เพราะว่างานกราฟฟิตีคือศิลปะที่เสนอความจริงอย่างตรงไปตรงมาที่สุด และเธอชอบที่จะเห็นคนเป็นบ้ากับผลงานเหล่านี้ เพราะคนที่ไม่เข้าใจไม่มีวันเห็นคุณค่าของงาน แต่คนที่เข้าใจก็จะเข้าใจว่างานที่เธอทำมีความหมาย

ศิลปะกราฟฟิตี

นอกจากนี้ ศิลปินหลายคนยังมองว่า กราฟฟิตีเป็นศิลปะแห่งความเท่าเทียม ศิลปะที่แม้แต่เด็กข้างถนนไม่มีเงินเรียนหนังสือก็สามารถเรียนรู้และผันตัวเองเป็นศิลปินได้

“วัฒนธรรมที่ไม่ได้สร้างเงินนี่แหละคือสิ่งที่มีมูลค่าอย่างแท้จริง … ทุกอย่างที่เราทำไม่จำเป็นต้องมาจากเรื่องเงินทองเสมอไป” Vince Vert ศิลปินกราฟฟิตีชาวอเมริกันแสดงความเห็นถึงคุณค่าของศิลปะกราฟฟิตี

Mario Riveira ผู้กำกับภาพยนตร์ที่เคยตามถ่ายสารคดีศิลปินกราฟฟิตี ได้ให้ข้อสรุปอย่างน่าสนใจถึงตัวตนของศิลปะสไตล์นี้ในฐานะคนกลางว่า “บางคนมองเป็นศิลปะ บางคนมองเป็นความป่าเถื่อน” แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น ผู้กำกับคนนี้ยืนยันว่า จะไม่ตัดสินศิลปะกราฟฟิตีว่าดีหรือไม่ดี เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือการถ่ายทอดตัวตนที่แท้จริงของศิลปะกราฟฟิตีออกไปให้ทุกคนได้เข้าใจ

ศิลปะกราฟฟิตี

เครดิตภาพ: Kitchenrise / Shutterstock.com

ตัวตนที่พร้อมจะต่อต้านขนบของศิลปะในแบบที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ จึงไม่น่าแปลกใจที่ได้เห็นการบอมบ์กราฟฟิตีใส่ผลงานสตรีตอาร์ตที่ใครหลายคนมองว่าสวยงาม เพราะตัวตนเป็นแบบนี้ สุดท้ายแล้วการท้าทายสังคมก็คือตัวตนของศิลปินกราฟฟิตีที่ทุกคนรู้ดี

หรือจะให้พูดว่า หากศิลปะแบบกราฟฟิตีต้องมาเดินตามรอยกฎระเบียบ ทำตาม Law & Order ศิลปะกราฟฟิตีก็คงไม่เหลือเสน่ห์และตัวตนอะไรให้ผู้คนหลงใหล และเชื่อได้เลยว่า คนที่รักในงานกราฟฟิตีก็ล้วนต้องชอบความขบถต่อสังคมที่ศิลปะแนวนี้สื่อออกมาไม่มากก็น้อย

นี่คือตัวตนของศิลปะกราฟฟิตี และการบอมบ์งานทับลงไปในงานของผู้อื่น ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมนี้แบบเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเริ่มต้นมาตั้งแต่วันแรกของมูฟเมนต์ และจะอยู่ไปตลอดกาล

ส่วนจะมองว่าเป็น “สร้างศิลปะ” หรือ “ทำลาย” ทุกคนมีสิทธิ์ตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง

Tags: