

Eco Palette
จากกาวซีเมนต์และกาวยาแนวสู่สีธรรมชาติทาบ้านของ ‘จระเข้’ กับความตั้งใจรักษ์โลกตั้งแต่ยังไม่มีใครอิน!
- เจาะลึกสีทาบ้านจากแบรนด์จระเข้ที่เลือกใช้สีธรรมชาติเป็นจุดขายแตกต่างไม่เหมือนใคร เป็น DNA ของแบรนด์ที่มีมายาวนานกว่า 3 ทศวรรษที่ตั้งใจสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ดีต่อสุขภาพและรักษ์โลก
หากพูดถึง ‘กาวซีเมนต์และกาวยาแนว’ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่นึกถึง ‘ตราจระเข้’ เพราะนี่คือแบรนด์เบอร์ 1 ของเมืองไทยในผลิตภัณฑ์ด้านนี้ อย่างเราเองเท่าที่จำได้ก็รู้จักกาวซีเมนต์และกาวยาแนวตราจระเข้เป็นยี่ห้อแรก
แต่ถ้าพูดถึง “สีจระเข้” หลายคนอาจยังไม่รู้จัก และถึงรู้จักก็กลับไม่คิดว่าจะใช่ ‘จระเข้’ เดียวกับกาวซีเมนต์และกาวยาแนวที่คุ้นเคย จนเอ่ยปากว่า เอ้า! แบรนด์เดียวกันเหรอ
ตามเรามา ONCE จะพาไปรู้จักสีแบรนด์จระเข้ซึ่งน่าสนใจตรงที่มีการหยิบสีธรรมชาติมาใช้เป็นสีทาบ้าน แถมยังตั้งใจเจาะตลาดนี้อย่างจริงจัง ถึงขั้นเปิด Flagship Store ซึ่งครบเครื่องไปด้วยความรู้เรื่องสีแบบเอาจริงเอาจังสุดๆ
ONCE เดินทางมาถึง Flagship Store ของสีจระเข้ เพื่อคุยกับ วรพจน์ ตั้งมนัสวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้จะมาช่วยคลายไขข้อสงสัยว่า เพราะอะไรสีทาบ้านของที่นี่ถึงฉีกแนวไม่เดินตามกระแสเมนสตรีม
สีทาบ้านเพื่อสิ่งแวดล้อม
“ถ้าพูดถึงแค่ธุรกิจสีทาบ้าน เราเป็นแค่แบรนด์น้องใหม่” วรพจน์กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนเล่าต่อว่า อย่างที่ทุกคนรู้จักแบรนด์จระเข้ว่าสร้างชื่อจากผลิตภัณฑ์ปูพื้นผิวต่างๆ แต่ในความเป็นจริง ลูกค้าของแบรนด์ไม่ได้ซื้อสินค้าเฉพาะผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ เพราะการก่อสร้างไม่ได้มีแค่เรื่องของใต้พื้นผิว ยังมีเรื่องบนพื้นผิวด้วย
“บริษัทเราทำการตลาดเชิงรุก เป็นตัวตนของเราตั้งแต่ท่านผู้บริหารรุ่นก่อนๆ ที่ปรับตัวตามความต้องการของลูกค้า พอเข้าใจตรงนี้ ก็เห็นโอกาสที่จะมาลุยธุรกิจผลิตภัณฑ์บนพื้นผิว เป็นที่มาของการเริ่มต้นทำสีทาบ้านภายใต้แบรนด์จระเข้”
แบรนด์จระเข้เริ่มต้นธุรกิจสีด้วยสีทาซีเมนต์ ภายใต้ชื่อ ‘สีจระเข้ คัลเลอร์ ซีเมนต์’ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี แล้วแบรนด์ก็สร้างชื่อจากธุรกิจกาวซีเมนต์ อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจคือการที่แบรนด์จระเข้เลือกทำผลิตภัณฑ์สีทาบ้านเพื่อจำหน่ายโดยผลิตจากสีธรรมชาติมาตั้งแต่เริ่ม หากมองตลาดสีทาซีเมนต์ การหยิบสีจากธรรมชาติมาทำสีทาบ้านก็ไม่ได้เป็นเทรนด์หลัก หรือโมเดลทางธุรกิจที่ต้องลงทุนทำขนาดนั้น
“บริษัทเราสนใจเรื่องธรรมชาติ ความยั่งยืนมาตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจกาวซีเมนต์หรือกาวยาแนวแล้ว เรื่องเหล่านี้คือพื้นฐานของเรา ถามว่าค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไหม? เพิ่มขึ้น … แต่เราเห็นถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่
“ตั้งแต่พัฒนาผลิตภัณฑ์ เราตั้งโจทย์ว่า จะทำสีทาบ้านอย่างไรให้ปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน ผู้อยู่อาศัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จนมาจบกับแนวคิด Ecological คือต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทุกมิติ ตั้งแต่การเลือกใช้วัตถุดิบ กระบวนการผลิตที่ยั่งยืน และลดผลกระทบด้านสารเคมีที่เป็นอันตรายจากการใช้งาน
“เรามีการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ในการเลือกใช้วัตถุดิบและกระบวนการผลิต จนสีจระเข้กลายเป็นผู้บุกเบิกรายแรกในประเทศไทยที่นำหินปูนธรรมชาติ (Limestone) มาใช้เป็นส่วนผสมในสีทาบ้าน”
วรพจน์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เหตุที่ใช้หินปูนธรรมชาติเป็นส่วนผสมสำคัญของสีทาบ้าน เพราะหลังจากผ่านการวิจัยมาไม่น้อย พบว่าหินปูนธรรมชาติมีความปลอดภัย โดยเฉพาะกับระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ ยังคงมีความแข็งแกร่งและทนทาน เป็นคุณสมบัติที่สีทาบ้านต้องการอีกด้วย
แตกต่างแต่ยั่งยืน
ปัจจุบันธุรกิจสีจระเข้ไปไกลกว่าแค่สีทาซีเมนต์ เพราะมีสีทาบ้านแตกต่างกันถึง 4 รูปแบบออกวางจำหน่าย
เริ่มต้นด้วย Art Color หรือสีทาปูนซีเมนต์ภายใต้แบรนด์จระเข้ มีอยู่ 2 แบบ นั่นคือ ‘สีจระเข้ คัลเลอร์ ซีเมนต์’ เป็นสีทาซีเมนต์โดยเฉพาะ โดดเด่นด้านเนื้อสีกลืนไปกับตัวปูนได้ดีที่สุด แถมมีสีสันให้เลือกถึง 42 สี และ ‘สตุคกี้ พรีเมี่ยม’ สีลายหินอ่อนที่ผลิตจากหินปูนธรรมชาติแทนที่ปูนซีเมนต์ และมีให้เลือก 28 สี
ตามมาด้วย Natural Color สีตกแต่งบ้าน เหมาะกับบุคคลทั่วไป มีให้เลือกถึง 4 สไตล์ ได้แก่ ‘ไบโอสเฟียร์ พรีเมี่ยม’ สีทาภายนอกที่มีให้เลือก 24 เฉดสี ‘อีโคสเฟียร์ พรีเมี่ยม’ สีทาภายในที่มีให้เลือก 55 เฉดสี ‘กราฟคลีน พรีเมี่ยม’ สีที่เน้นตอบโจทย์การใช้งานเร็ว หมดกลิ่นรบกวนภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งมีสีให้เลือกสูงสุดถึง 980 เฉดสีสำหรับสีทาภายใน และอีก 322 สีสำหรับสีทาภายนอก ปิดท้ายด้วย ‘อีซี่คลีน พรีเมี่ยม’ สีที่เน้นการเช็ดล้างทำความสะอาดง่ายและไม่มีกลิ่นฉุน มีให้เลือกมากถึง 980 เฉดสีเช่นกัน
ต่อมาเป็น Texture Color สีที่เรารู้สึกว้าวมากๆ เพราะให้เนื้อสัมผัสที่มีความตื้นลึกหนาบางบนพื้นผิวแบบ 3 มิติ ซึ่งไม่ได้มีแค่ไว้เป็นลูกเล่น แต่มีความชัดเจนของพื้นผิวชวนให้อยากสัมผัส เพราะเราเองติดใจผิวสัมผัสของผลงานที่ใช้ Texture Color ซึ่งโชว์อยู่ใน Flagship Store ของสีจระเข้ โดยมีรูปแบบเดียวภายใต้ชื่อ ‘คัลเลอร์ สตัคโค’ และมีให้เลือก 20 เฉดสี
พิเศษไปกว่านั้นคือ Heritage Color สีพิเศษที่ออกแบบมาสำหรับงานซ่อมแซมอาคารเก่า หรือการบูรณะโบราณสถานโดยเฉพาะ ซึ่งมีการนำ Heritage Color ของแบรนด์จระเข้ ไปบูรณะสถานที่สำคัญมากมาย ไม่ใช่แค่ในไทย แต่เป็นทั่วโลก เช่น Metropolitan Cathedral of Panama City หรือมหาวิหารของประเทศปานามา Ho Chi Minh City Hall ในประเทศเวียดนาม เป็นต้น

นอกจากสีทาบ้านภายใต้แบรนด์จระเข้จะจัดเต็มมีให้เลือกหลากสไตล์หลายสีมากมายจนนับไม่ไหว ที่ Flagship Store ของสีจระเข้ยังมีตัวอย่างสีมากมายให้ชม ทั้งยังสามารถจำลองภาพสีที่เข้ากับโจทย์บ้านตามที่ต้องการได้ทันที
เรียกได้ว่าแบรนด์จระเข้ทุ่มเทและเอาจริงเอาจังด้านการตลาดของสีทาบ้านอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม วรพจน์ บอกเราว่า แบรนด์จระเข้ยังไม่ใช่เจ้าใหญ่ของตลาด และไม่ได้ทำสินค้าเอาใจตลาดแมส แต่เป็นการสร้างฐานลูกค้าของตัวเอง แล้วค่อยๆ ขยายความน่าเชื่อถือของแบรนด์
“เรามีจุดยืนที่ชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มว่า เราอยากแตกต่างในตลาดสีทาบ้าน และต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทำให้แบรนด์เราพัฒนาสินค้าเพื่อให้มีความโดดเด่นจากท้องตลาด
“สีจระเข้เป็นแบรนด์เดียวในตลาดสีทาบ้านที่ผลิตเฉพาะสีระดับอัลตราพรีเมียม และหยิบเรื่อง ‘สีที่ปลอดภัย’ มาวางเป็นจุดขายของแบรนด์ แต่ในขณะเดียวกันก็มีโทนสีและสไตล์ให้เลือกหลายรูปแบบ
“เรามองกลุ่มลูกค้าหลักของเราเป็นคนที่ใส่ใจสุขภาพ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย ซึ่งเทรนด์ในปัจจุบันคนหันมาใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ฐานลูกค้ากลุ่มนี้จึงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะด้านสุขภาพ แม้แต่สีทาบ้าน เขาก็ต้องการสีที่ดีต่อสุขภาพ”
จุดยืนสำคัญที่สุด
สีจระเข้ผลักดันอย่างมากกับการพัฒนาเทคโนโลยีสีเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เพราะเมื่อพูดถึงสีทาบ้านก็มักจะนึกถึงกลิ่นสารเคมีที่ต้องสูดดมเข้าไป คนส่วนใหญ่จึงกังวลเรื่องนี้ แต่ความเป็นจริงแล้ว หากพูดถึงประเด็นสุขภาพและสิ่งแวดล้อมผ่านสีทาบ้าน ยังมีอีกหลายเรื่องราวที่ต้องคำนึงถึง
“ในทุกขั้นตอนในทุกมิติของสีทาบ้าน เริ่มตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการใช้งาน เราคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เช่น เริ่มตั้งแต่การผลิต เราคิดถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศ เราเลือกใช้วัสดุที่ย่อยสลายง่ายเพื่อลดมลภาวะจากกระบวนการผลิต สร้างสีที่มีคุณภาพเพื่อทำให้สีมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ลดการแตกร้าว สร้างความยั่งยืนในการดูแลรักษา
“สีจระเข้ของเรามีคุณสมบัติของ Zero VOCs คือไม่มีสารระเหย นั่นหมายความว่าไม่ได้สร้างผลดีต่อสุขภาพเฉพาะแค่กลุ่มลูกค้า แต่ว่าดีตั้งแต่กับทีมงานที่ทำงานในโรงผลิต ไปจนถึงช่างทาสี ทุกคนจะไม่ได้รับผลกระทบจากสารระเหย”
ฟังมาจนถึงตรงนี้ เราเห็นตัวตนที่ชัดเจนของแบรนด์จระเข้ และได้รู้แนวคิดการขับเคลื่อนธุรกิจสีทาบ้านผ่านแนวทางของตัวเอง แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมสีแบรนด์จระเข้มุ่งตลาดเฉพาะกลุ่ม เพราะเมื่อมองไปที่ตลาดสีทาบ้านจะพบว่า ธุรกิจนี้ยังครองตลาดด้วยสีอะคริลิกแทบทั้งสิ้น แต่สีแบรนด์จระเข้กลับไม่ลงไปเล่นในตลาดสีอะคริลิก ทั้งที่เป็นโอกาสเจาะตลาดและเข้าถึงผู้คนได้มากกว่า โดยไม่ต้องสร้างภาพลักษณ์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดอย่างที่ทำอยู่
“อืม … จริงๆ ถ้าใช้สีอะคริลิก ก็น่าจะง่ายสำหรับเราด้วยนะ เพราะแค่ซื้ออะคริลิกมาก็ทำสีได้แล้ว” วรพจน์ยิ้ม “แต่จุดเริ่มต้นในการทำงานของเรามาจาก Philosophy (ปรัชญา) ที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติมาตั้งแต่แรก
“ตัวตนของเราคือถ้าไปทางไหนต้องไปสุดทางครับ เหมือนที่ได้เล่าไปว่า แบรนด์เราให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ก่อตั้ง ก็ต้องไปให้สุด
“เหมือนที่เราเคยตั้งคำถามว่า พวกโบราณสถาน เจดีย์วัดเก่าแก่ต่างๆ การบูรณะซ่อมแซมเอาสีจากที่ไหนมาใช้? ก็หาข้อมูลจนพบว่า มีการนำสีอะคริลิกไปใช้ซ่อมแซมสถานที่เก่าแก่ พอนานวันเข้า สีก็จะเริ่มโป่งพอง ไม่สวยงาม
“นี่เป็นจุดเริ่มต้นของสีทาบ้านประเภท Heritage Color ครับ เราผลิตเพิ่มออกมาอีก 1 ประเภทเลยเพราะเรื่องนี้ … ถามว่ามูลค่าทางธุรกิจไหวไหม? ‘ไม่’ แต่ทำไมเราถึงทำ เพราะเราต้องไปให้สุดทาง
“เราไม่ไปเมนสตรีม แต่ต้องไปให้สุด เพราะถึงจะไม่ได้ไปในทางเมนสตรีม แต่ก็จริงจังในทางของเรา นี่คือปรัชญาในการทำธุรกิจของแบรนด์จระเข้ และเป็นทิศทางเดินหน้าของแบรนด์มาตลอด”
BONUS : ทัวร์พิพิธภัณฑ์ (แบรนด์) จระเข้
คุยมาถึงตรงนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมแบรนด์จระเข้ถึงเลือกเส้นทางนี้ในการทำธุรกิจสี และยิ่งเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นชนิดหายข้อสงสัย เมื่อเจ้าบ้านใจดีพาเราเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของแบรนด์ ซึ่งยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ความน่าสนใจแรกคือพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ใช้สีธรรมชาติแบรนด์จระเข้ทั้งหมด นั่นเท่ากับเราได้มาเห็นผลงานจริงที่ใช้สีจระเข้แบบเต็มๆ นอกจากนี้ ยังเป็นพิพิธภัณฑ์จระเข้ที่ไม่ได้หมายถึงแบรนด์จระเข้ แต่รวบรวมทุกอย่างที่เกี่ยวกับจระเข้เอาไว้ทั้งหมด! ซึ่งมีเยอะมาก ตั้งแต่ของหายากที่มีเพียงไม่กี่ชิ้นในโลก ไปถึงรองเท้า Crocs ลายจระเข้ หรือของเล่นเด็กน้อย ทำให้ที่นี่ได้รับรางวัลกินเนสส์สาขามีของสะสมเกี่ยวกับจระเข้มากที่สุดในโลก
ในส่วนของแบรนด์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้บอกเล่าถึงจุดแรกเริ่มตั้งแต่เป็นกลุ่มบริษัทเชอรา ผู้บุกเบิกธุรกิจกาวปูเซรามิกและกาวยาแนวนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ได้รับรู้การเปลี่ยนผ่านของแต่ละยุค บุคคลที่มีส่วนสร้างแบรนด์ทั้งผู้บริหารและพนักงานสำคัญ ทำให้เราได้รู้จักประวัติความเป็นแบรนด์จระเข้อย่างครบถ้วน
ความพิเศษของที่นี่ไม่ได้หมดแค่นั้น เพราะในพิพิธภัณฑ์ยังพูดถึงผลงานสำคัญของแบรนด์ด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีของแบรนด์เพื่อสุขภาพผู้ใช้ รวมถึงรางวัลต่างๆ ที่ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ได้รับมา ซึ่งกวาดรางวัลสายสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมาเพียบเลย
นอกจากรางวัล ก็ยังมีผลงานที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของแบรนด์จระเข้ที่คิดค้นนวัตกรรมเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างเช่น การเป็นแบรนด์แรกของโลกที่คิดค้นกาวยาแนวที่ป้องกันราดำได้เมื่อ พ.ศ. 2546
สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึง DNA แบรนด์ และยิ่งทำให้เข้าใจว่า ทำไมจระเข้ถึงเลือกใช้สีธรรมชาติมาสร้างสรรค์เป็นสีทาบ้านและใช้เป็นจุดขายที่แตกต่างจากแบรนด์อื่น ได้เห็นถึงความกล้าที่จะทำธุรกิจในสไตล์ตัวเองที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่ยึดมั่นในปณิธานความตั้งใจ ใส่ใจและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นอย่างนั้นมาตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ คุณสมบัติทั้งหมดนี้สะท้อนตัวตนไว้อย่างชัดเจนในผลิตภัณฑ์สีจระเข้
SEE JORAKAY Flagship Store
Map: https://maps.app.goo.gl/kbMKvNQBEdwzCQJp8
สีตราจระเข้
Website: https://www.seejorakay.com/
Facebook: https://www.facebook.com/seejorakay
Instagram: https://www.instagram.com/see_jorakay/