About
BALANCE

Movie Journey

ความรัก เวลา ชีวิตกับการเดินทาง เปิดกรุหนังเก่าที่พาเราทบทวนเรื่องราวระหว่างทาง

เรื่อง อาร์ต ชิน Date 01-12-2020 | View 1762

หนังหลายเรื่องอาจสร้างแรงบันดาลใจให้เราอยากออกเดินทางไปตามรอย แต่เวลาที่เราดูหนังทุกเรื่องนั้น ก็เหมือนกับเราได้ออกเดินทางไปในโลกของหนังแล้ว เราจึงอยากชวนมาย้อนดูหนังบางเรื่องที่เคยจุดประกายนักเดินทาง แม้บางเรื่องเก่าไปบ้าง แต่รายละเอียดของหนังน่าจะช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้เราได้ในช่วงเวลานี้ เพราะระหว่างการดูหนังมันก็มีเรื่องเล่าระหว่างทางอยู่เหมือนกัน...

Beingthere Detour Be myguest FLAVOR Resound art+culture Insights Trends Business Insiders Balance Craftyard News
Read At ONCE
  • สิ่งดีๆ ที่ได้จากการดูหนัง คือแรงบันดาลใจสำคัญ ช่วยกระตุ้นต่อมนักเดินทางให้อยากสะพายเป้ออกไปท่องเที่ยว ผจญภัย หรือมีประสบการณ์เหมือนในหนังดูบ้าง
  • การเดินทางไปยังดินแดนที่สวยงามตามแบบในหนังที่เราชอบ ทำให้หัวใจพองโต เติมเต็มความมีชีวิตชีวา เหมือนได้ชาร์จพลังให้กับชีวิต
  • บางครั้งเราก็สามารถเรียนรู้วัฒนธรรมการดื่มกิน และการใช้ชีวิตของผู้คนผ่านการเดินทางในหนังได้โดยไม่ได้ออกเดินทางในชีวิตจริง

The Motorcycle Diaries (2004) – การเดินทางเพื่อค้นหาตัวตนและจิตวิญญาณ

หนังเรื่องนี้สร้างจากหนังสือบันทึกการเดินทาง เมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มนักศึกษาแพทย์ของเออร์เนสโต เกวารา หรือ เช เกวารา นักปฏิวัติทางการเมืองคนสำคัญของละตินอเมริกา

เกวาราและเพื่อนสนิทของเขาได้วางแผนทริปก่อนเรียนจบด้วยการขี่มอเตอร์ไซค์จากอาร์เจนตินาขึ้นไปจนถึงเวเนซูเอล่า โดยผ่านชิลี และเปรู ระยะทางรวมกว่า 14,000 กม. โดยใช้เวลาเพียงสี่เดือนครึ่งเท่านั้น

สองหนุ่มได้พบเจอกับเรื่องราวประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้เรียนรู้ตลอดการเดินทาง โดยเฉพาะกับเกวารา การเดินทางครั้งนี้ถือว่ามีส่วนทำให้เขาได้ค้นพบอุดมการณ์ของตัวเอง และเริ่มเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองจนกระทั่งนำไปสู่การปฏิวัติครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองของภูมิภาคนั้นด้วย

หนังพาไปสำรวจเรื่องราวประเด็นทางการเมืองอันหนักหน่วงและแนวคิดเชิงอุดมการณ์ในช่วงนั้นของเช เกวารา

Machu Picchu

นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้เราไม่อาจละสายตาไปจากหนังได้นั่นคือ ฉากหลังอันเป็นภูมิทัศน์ที่สวยงามของประเทศในแถบละตินอเมริกา ซึ่งเป็นดินแดนที่อาจไม่ค่อยมีใครคุ้นเคย หรือได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนมากนัก โดยเฉพาะฉากของสถานที่อันโดดเด่นสะดุดตาอย่าง Machu Picchu ที่เชื่อว่าหนังเรื่องนี้มีส่วนไม่น้อยในการจุดประกายให้คนดูหลายคนเกิดใฝ่ฝันที่จะไปตามรอยสักครั้ง และได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักเดินทางมาจนทุกวันนี้Machu PicchuThe Motorcycle Diaries น่าจะเป็น road movie ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในดวงใจของใครหลายคน เพราะหนังมีความครบเครื่องทั้งการกระตุ้นต่อมนักเดินทางให้อยากสะพายเป้ออกไปท่องเที่ยว ผจญภัย หรือมีประสบการณ์เดินทางในแบบลุย ๆ บ้าง แถมยังเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจทางความคิดและจิตวิญญาณ ให้เรารู้สึกอยากออกเดินทางไปสำรวจตัวเอง เพื่อค้นหาตัวตน ค้นหาเป้าหมาย และค้นพบความจริงแห่งชีวิตด้วยเช่นกัน

The Before Trilogy [Before Sunrise (1995) – Before Sunset (2004) – Before Midnight (2013)] – เมื่อความรักคือการเดินทาง…

หนังรักโรแมนติกดรามาไตรภาค ที่มีใจกลางอยู่ที่องค์ประกอบเพียงสองอย่าง คือ การเดินทางและบทสนทนาของคนสอคน Before Sunrise เล่าเหตุการณ์เมื่อคนสองคนได้มาพบกัน ร่วมทางกัน และแยกทางกันไปพร้อมคำสัญญา ในขณะที่ Before Sunset เป็นการเดินทางกลับมาพบกันของทั้งคู่ เพื่อพูดคุย ทวงถาม ถกเถียง และนำไปสู่การตัดสินใจบางอย่างในความสัมพันธ์ จนมาถึง Before Midnight ที่คนสองคนยังคงร่วมเดินทาง พูดคุย ในบริบทและบทบาทที่เปลี่ยนไป เป็นบทสรุปของความสัมพันธ์ที่ให้พวกเขาได้สำรวจตรวจตรา ทบทวนกับสิ่งที่ผ่านมา และมองไปข้างหน้าร่วมกันปารีส

เวียนนา ออสเตรียความโดดเด่นของหนังไตรภาคชุดนี้ คือการนำเสนอมุมมองด้านความรักความสัมพันธ์ในมิติที่สมจริงมาก ๆ แถมยังฉลาดในการเลือกโลเคชั่นของหนังที่ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ในฝันของคู่รักอย่างกรุงเวียนนา กรุงปารีส หรือประเทศกรีซ เพื่อตอกย้ำภาพที่ขัดแย้งกันระหว่างความโรแมนติก กับความสัมพันธ์ในชีวิตจริงที่มันมีหลากหลายอารมณ์ความรู้สึก ไม่ได้มีแต่ด้านที่ชวนฝันเหมือนกับฉากหลังที่เราเห็นเสมอไป

ในขณะที่หนังพาให้เราติดตามตัวละครทั้งสองไปเพลิดเพลินกับความสวยคลาสสิคของกรุงเวียนนาใน Before Sunrise แล้วพาเราลัดเลาะหลงเสน่ห์ไปกับกรุงปารีส ใน Before Sunset ไปจนทำให้เราตกหลุมรักบรรยากาศของทะเลสีครามสดตัดกับท้องฟ้าแจ่มใสในฤดูร้อนแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่ประเทศกรีซใน Before Midnight เชื่อว่าหลายคนคงอยากมีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวเมืองในฝันของตัวเองบ้าง เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าการเดินทางไปยังที่ ๆ สวยงามจะทำให้หัวใจเราพองโตได้เสมอ เช่นเดียวกันกับความรักที่ทำให้หัวใจเราได้ออกเดินทางและเติบโตขึ้นไม่ว่าเรื่องราวจะลงเอยอย่างไร

Sideways (2004) – เส้นทางนักชิมกับรสชาติที่ไม่เหมือนกันของชีวิต

หนังคอมเมดี้ดูได้เพลิน ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของสองเพื่อนซี้ที่ใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ร่วมกันเพื่อขับรถท่องเที่ยวภายในเขต wine country ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ไมลส์ต้องการหลบหนีจากปัญหาในชีวิตเพื่อพักใจไปกับการทำกิจกรรมที่เขาชอบ นั่นคือ การชิมไวน์ กินอาหารอร่อย ๆ และออกรอบตีกอล์ฟ ในขณะที่แจ็ค อยากไปทิ้งทวนให้กับความโลดโผนของชีวิตหนุ่มโสดก่อนที่เขาจะเข้าพิธีแต่งงาน แล้วเหตุการณ์วุ่นวายทั้งชวนฮาทั้งน่าปวดหัวก็เกิดขึ้นในระหว่างทริปนั้นเองถึงแม้ไมลส์จะสนุกกับการได้ทำทุกกิจกรรมตามที่วางแผนไว้ แต่เขากลับหนีไม่พ้นจากปมปัญหาของชีวิตที่ติดตามมารบกวนใจอยู่เนือง ๆ แถมยังต้องพัวพันกับเรื่องยุ่ง ๆ ของแจ็ค การเดินทางครั้งนี้จึงออกรสชาติแทบครบถ้วนทั้งความหวาน เปรี้ยว ความเผ็ด ฝาด หรือความขมเฝื่อน เช่นเดียวกับไวน์ขวดหนึ่งที่ไม่ว่าจะถูกบ่มถูกเก็บรักษามาอย่างดีแค่ไหน แต่คนที่ได้ลิ้มลองมันเท่านั้นที่รู้ว่ารสชาติของมันเป็นอย่างไร ตามแต่ประสาทการรับรส ประสบการณ์และรสนิยมของพวกเขาเอง เราไม่จำเป็นต้องชอบรสชาติของไวน์ในแบบเดียวกัน ทุกคนมีโอกาสชิมแล้วบ้วนหรือเทมันทิ้งไป และเลือกเปิดขวดใหม่จนกว่าจะเจอรสชาติที่ถูกใจได้เสมอ

 

วิวสวย ๆ ของไร่องุ่นเขียวชอุ่มกับฉากจิบไวน์เคล้ามื้ออาหารชวนน้ำลายสอน่าจะทำให้ Sideways มีความถูกจริตกับนักเดินทางที่เป็นสายกินดื่ม

โดยเฉพาะ ยิ่งเทรนด์ของการเดินทางในยุคนี้ แค่การได้ไปเยี่ยมชมความสวยงามของสถานที่นั้นๆ เพียงอย่างเดียวคงไม่พออีกต่อไปแล้ว เมื่อ food & drink tour กลายเป็น a must-do สำหรับนักเดินทางหลายคน พวกเขาจึงไม่ยอมพลาดที่จะได้เยี่ยมชิมอาหารหรือเครื่องดื่มประจำท้องถิ่นไปพร้อมกัน เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมการกินการดื่มของคนที่นั่นแล้ว ยังถือว่าเป็นการเติมเต็มประสบการณ์ในการเดินทางแต่ละครั้งให้มีความกลมกล่อมมากขึ้นอีกด้วย

 

Lost in Translation (2005) – แผนที่ หรือ GPS อาจไม่จำเป็นเท่ากับเพื่อนร่วมทางที่เข้าใจกัน

หนึ่งในผลงานการกำกับอันเป็นน่าจดจำมากที่สุดของโซเฟีย คอปโปล่า เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น ณ โรงแรมหรูแห่งหนึ่งใจกลางกรุงโตเกียว วิวที่ทอดยาวเมื่อมองออกไปจากทางหน้าต่างห้องพักคือความยิ่งใหญ่อลังการของเมืองนี้ มันเต็มไปด้วยแสงสีกับตึกสูงระฟ้าที่เรียงตัวกันอย่างแน่นขนัด หลายคนอาจรู้สึกว่ามันคือเสน่ห์ดึงดูดที่ชวนให้น่าเข้าไปค้นหา เป็นความท้าทายอันน่าสนุกปกหนัง Lost in Translationแต่สำหรับบ็อบและชาร์ล็อต ภายใต้ความสวยงามทันสมัยของป่าคอนกรีตแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยความน่าอึดอัด รู้สึกแปลกที่เพราะความต่างทางวัฒนธรรม แปลกแยกด้วยสำเนียงภาษาที่ไม่คุ้นหู เหมือนพวกเขาอยู่ผิดที่ผิดทาง เหมือนเดินหลงอยู่ในวังวนและไม่สามารถหาทางออกให้กับความรู้สึกของตัวเองได้

เมื่อความเปลี่ยวเหงาดึงดูดให้เขาและเธอมาเจอกัน ทั้งคู่จึงสามารถสื่อสารและเข้าใจในภาษาที่อยู่นอกเหนือไปกว่าคำพูดของกันและกันได้ และต่างได้เรียนรู้ว่า บางครั้งเราอาจไม่จำเป็นต้องเดินถูกเส้นทางเพื่อไปให้ถึงยังจุดหมาย แต่เราออกนอกเส้นทางบ้างก็ได้ เดินอ้อม เดินหลงบ้างก็ได้ ถ้าเพียงแต่มีใครสักคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อนร่วมทาง ที่พร้อมจะร่วมผจญภัยและเดินสะเปะสะปะไปกับเรา มันก็เป็นการเดินทางที่น่าจดจำได้เหมือนกันโตเกียวฉากหลังของ Lost in Translation ตลอดทั้งเรื่องคือเมืองโตเกียวในหลากหลายมุมมอง ทั้งความทันสมัยสุดขีด แสงสียามราตรี ความวุ่นวายจอแจ แต่ยังคงมีมุมอันเงียบสงบของวัดวาและศาลเจ้า หรือสวนสวยๆ ไว้ให้หยุดพักสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ช่างเป็นความย้อนแย้งอย่างสุดขั้วที่ไม่มีทางแยกขาดออกจากกันได้เลย ความเป็นญี่ปุ่นแบบที่เราเห็นจากในหนังมันทำให้เราอดคิดถึงไม่ได้จริง ๆ คิดถึงเมืองสนุกๆ ล้ำๆ อย่างโตเกียว คิดถึงซูชิ เนื้อย่างยากินิขุ คิดถึงบรรยากาศสนุกสุดเหวี่ยง คิดถึงการเดินเล่นเดินช้อปปิ้ง คิดถึงความสงบร่มรื่นในสวนแบบเซน คิดถึงทริปญี่ปุ่นที่ไม่ว่าจะไปมาแล้วกี่ครั้ง เราก็ยังคงกลับไปได้อีกเรื่อย ๆ ถึงแม้หนังจะจบไปแล้ว แต่ทริปญี่ปุ่นของเราจะเริ่มต้นขึ้นอีกได้เสมอ โควิดจบเมื่อไหร่ เจอกันแน่นอน!

Tenet (2020) – เมื่อการเดินทางยังติดเงื่อนไขของเวลา…

หนังทฤษฎีวิทยาศาสตร์อัดแน่นแบบจัดหนัก ผลงานของ คริสโตเฟอร์ โนแลน เจ้าเก่าผู้วนเวียนวอแวอยู่กับแนวคิดสายฟิสิกส์และคอนเซ็ปท์ของกาลเวลา เรื่องราวของการเดินทางย้อนสวนเวลาเพื่อไปปฏิบัติภารกิจกอบกู้โลก ทั้งสนุก ลุ้นระทึก ตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ และมึนตึ้บ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเหนือความคาดหมาย เพราะมันคือลายเซ็นที่ขัดเจนของโนแลนอยู่แล้ว เมื่อดูหนังจบจะต้องมีประเด็นให้เรานำไปขบคิด พูดคุย ถกเถียงกันต่อนอกรอบ แถม Tenet ยังได้สร้างปรากฏการณ์ให้ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่า ‘ต้องดูซ้ำอีก’ ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

Tenet ไม่ใช่หนังที่เกี่ยวกับการเดินทาง หรือ road movie แต่เป็นหนังที่ปูพื้นด้วยแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้วิธีการดำเนินเรื่องสไตล์หนังแอ็คชั่นแบบสายลับจารชน เหมือนเอา Inception กับ Interstellar มาปั่นรวมกัน

ส่วนเนื้อเรื่องเป็นอย่างไรคงไม่สามารถเล่าหรือย่อให้ได้เลยเพราะต้องไปดูเองจริง ๆ แต่จุดเด่นหนึ่งของหนังที่หลายคนอาจมองข้ามไป (เพราะอาจมัวแต่พยายามไปทำความเข้าใจกับเอนโทรปีกันหมด) นั่นคือ ฉากหลังหรือสถานที่เกิดเหตุของหนังเรื่องนี้มีหลากหลายมาก ทั้งลอนดอน (อังกฤษ), ทาลลินน์ (เอสโตเนีย), อามาลฟี โคสท์ (อิตาลี), มุมไบ (อินเดีย) ฯลฯ และเชื่อว่าคนดูหลายคนสามารถจดจำได้ว่าตัวละครเดินทางไปยังสถานที่ใดบ้าง นี่จึงกลับกลายเป็นรายละเอียดที่ถูกซึมซับเข้ามาโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ

เพราะในช่วงเวลาที่ Tenet เข้าฉาย พวกเราไม่ได้มีโอกาสเดินทางไปไหนเลย การได้เห็นตัวละครในหนังได้เดินทางไปหลายๆ ที่จึงสะกิดต่อมอยากเดินทางของเราได้มากทีเดียว พอดูหนังจบเลยได้แต่สะท้อนใจว่า ช่วงวิกฤตโควิดแบบนี้ เราคงจะยังไม่มีโอกาสขึ้นเครื่องบินไป city hop ที่เมืองนั้นทีเมืองนี้ที ภายในระยะเวลาอันสั้นเหมือนกับตัวละครในหนังได้ไปอีกนานแน่ๆ

และหากเพียงแต่เราอยู่ในโลกของหนังเรื่องนี้ เราก็คงสามารถย้อนเวลาไปท่องเที่ยวให้หนำใจอยู่ในช่วงเวลาก่อนที่จะเกิดโรคระบาดขึ้นได้ แต่ในเมื่อเราอยู่ในโลกแห่งความจริง สิ่งที่ทำได้ ณ เวลานี้จึงเป็นเพียงการ ‘รอ’ จนกว่าสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น เพื่อที่เราจะออกเดินทางท่องเที่ยวไปได้ดังที่ใจต้องการเหมือนอย่างเคย และหวังว่าการรอคอยนี้จะสิ้นสุดลงในอีกไม่ช้า

Tags: