ชมสวนอังกฤษในบรรยากาศเขาใหญ่

หลังจากเช็กอิน เราเดินตัดผ่านทางเดินในสวนเพื่อไปที่ห้องพัก ช่วงแรกนั้นสองข้างทางมีแต่หญ้าสีเขียวสดกับดอกไม้หลากสีสันเต็มไปหมดเลย พ้นสวนไปนิดเดียวก็เจอทางแยกและมีป้ายบอกทางว่าตึกไหนเป็นตึกไหน ที่น่าสนใจคือชื่อตึกแต่ละตึกมาจากชื่อเมืองตามลุ่มแม่น้ำเทมส์ ซึ่งโรงแรมแห่งนี้มีแม่น้ำไหลผ่านด้านหน้าอาคารที่พักด้วย ตึกที่จะเป็นบ้านชั่วคราวให้เรา 1 คืนก็มีวิวระเบียงติดแม่น้ำพอดิบพอดี

เราข้ามสะพานหินพลางมองไม้เลื้อยบนผนังตึก พอเข้าไปในห้องพักแล้วพุ่งตัวไปผลักหน้าต่างกรอบไม้เพื่อยื่นหน้าออกไปฟังเสียงน้ำในแม่น้ำก่อนเป็นอันดับแรก สีเขียวเข้มของต้นไม้ อากาศเย็นชุ่มชื้น และแสงแดดที่ถูกบดบังด้วยเมฆกับยอดไม้ให้ความรู้สึกเหมือนเมืองตกอยู่ในฤดูฝนตลอดเวลา ทำเอาคิดว่ายิ่งเข้ามาลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนไม่อยู่เมืองไทยเท่านั้น (ใครเคยไปอังกฤษหรือได้ยินเรื่องสภาพอากาศของอังกฤษมาบ้าง จะรู้ว่าประเทศนั้นไม่ฝนก็หนาว ผู้คนแทบไม่เจอแสงอาทิตย์ตรงๆ เลย)

ห้องพักโฮมมี่โฮมใจ

ภายในห้องพักก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นไม้ตัดด้วยเหล็ก อย่างหัวเตียงหนานุ่มที่เป็นเหล็กดัดสูงสีดำเลยฟูกมาพอสมควร ตะขอที่หน้าประตูทางเข้าก็เป็นเหล็กเส้นหนาสีดำสนิท ส่วนตู้เก็บตู้เย็นเป็นไม้สีเข้ม

โซนตู้เสื้อผ้าและตู้เก็บของในห้องน้ำล้วนทำจากไม้ ดีไซน์ดูเป็นตู้เสื้อผ้าธรรมดาๆ แต่น่ารักจับใจ ไม่ใช่ดีไซน์โมเดิร์นอย่างที่เห็นตามโรงแรมทั่วไป แถมมีขวดแก้วเล็กๆ วางตกแต่งเหมือนเราเป็นชาวบ้านเก็บน้ำผึ้งป่ามาทาตัวอย่างไรอย่างนั้น ก๊อกน้ำที่ซิงค์กับฝักบัวก็มีแยกก๊อกน้ำเย็นกับน้ำร้อนแบบห้องน้ำยุโรป โดยลักษณะหัวก๊อกเป็นเหล็กด้ามจับยาว ส่วนประตูแยกห้องน้ำกับโซนห้องน้ำเป็นประตูไม้สีฟ้าเทา

โทนสีของห้องออกหม่นๆ ใกล้เคียงกับบรรยากาศภายนอก แต่พอทิ้งตัวลงนอนดูยูทูปแล้วรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด เราว่าจุดแข็งของเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ คือความโฮมมี่ที่พาให้ปล่อยตัวปล่อยใจแบบสบายๆ นี่แหละ ต่างจากที่พักตกแต่งสไตล์ใกล้เคียงกันที่มุ่งเป็นบ้านพักหรูสไตล์ยุโรปบนเขาเสียส่วนใหญ่ แล้วที่พักมีอุปกรณ์บริการครบครันมากเลยนะ มีกระทั่งเตารีดกับโต๊ะรีดผ้า ปลั๊กสามตาก็มี

จิบชายามบ่ายในทีรูมสวยคลาสสิก

โรงแรมเปิดตัวห้องน้ำชาโฉมใหม่ภายใต้ชื่อ Clotted Cream Tea Room ที่มีบรรยากาศคลาสสิกให้ความรู้สึกอบอุ่นลอยวนอยู่ในโถงน้ำชาของบ้านสไตล์ยุโรป กลิ่นก็หอมทั้งจากชา ขนม และเบเกอรีโฮมเมด

เซ็ตน้ำชายามบ่ายที่เป็นไฮไลต์ในช่วงที่เราเข้าพักคือ Autumn Forest (890 บาท) ออกแบบโดยเชฟศรินญา บุญประเสริฐ ผู้มีประสบการณ์ทำขนมหวานสไตล์ยุโรปจากฝรั่งเศส ธีมของ Autumn Forest ก็คือเซ็ตน้ำชาตามฤดูใบไม้ร่วงที่เต็มไปด้วยใบไม้สีส้มแดง และแน่นอนว่าพอพ้นฤดูกาลนี้ เซ็ตน้ำชาก็จะเปลี่ยนธีมตามไปด้วย ดังนั้นแวะมาได้ทุกเทศกาลไม่มีเบื่อแน่นอน

ถึงแม้ตอนนี้จะพ้นช่วงของ Autumn Forest ไปแล้ว แต่ขอเขียนเรียกน้ำย่อยเพื่อนๆ หน่อยละกัน

เราเปิดสัมผัสแรกด้วย Apple & Cinnamon Financier ขนมหน้าตาแบบแอปเปิลรสหวานเปรี้ยวหอมอบเชย แล้วจึงลองวอลนัตเคลือบช็อกโกแลตเต็มปากเต็มคำด้วย Chocolate Hazelnut Praline แวะเติมความหวานที่สวนเห็ดจิ๋ว Munchie Banoffee ตบท้ายด้วย Pumpkin Spice Mont Blanc ซึ่งให้ไส้ฟักทองเน้นๆ โรยด้วยผงเครื่องเทศ

แอปเปิล ตาแต็ง ขนมนอกเซ็ตน้ำชาที่เราแนะนำ เมนูนี้เกิดจากความผิดพลาดที่บังเอิญว่าอร่อย ในปี 1880 แม่ครัวในโรงแรมที่ฝรั่งเศสทำแอปเปิลปรุงด้วยเนยและน้ำตาลไหม้ เลยแก้สถานการณ์โดยนำไปปรุงต่อในกระทะ แล้วพลิกกลับด้านก่อนเสิร์ฟ ใครกินหวานน้อยน่าจะชอบเมนูนี้

สุดท้ายคือสโคน ขนมคลาสสิกของคนอังกฤษ สโคนของที่นี่ เนื้อแป้งแน่นฟูเป็นพิเศษ ครีมมีรสชาติหวานกำลังดีเข้ากับชาเอิร์ลเกรย์และชาดำกุหลาบ

“เราตวงส่วนผสมมาให้แล้วนะคะ น้ำ 600 มิลลิลิตร อุณหภูมิ 95 องศาเซลเซียส ชา 3.5 กรัมค่ะ” พนักงานของห้องน้ำชากำลังอธิบายการวิธีการชงชาและวิธีใช้นาฬิกาทรายของ Araksa ให้แขกโต๊ะข้างๆ เราฟัง โรงแรมนี้หันมาใช้ใบชาออร์แกนิกจากไร่ชาแบรนด์ Araksa พ่วงมาด้วยการอบรมการชงชาให้พนักงานโดยคนของ Araksa เอง ถ้าแขกคนไหนอยากดื่มชาและต้องการต้มชาเองก็แจ้งพนักงานเลย

ห้องน้ำชานี้มีอุปกรณ์ชงชาที่ใช้ง่ายอย่างนาฬิกาทรายจับเวลา 3 สี ทรายแต่ละสีใช้เวลาร่วงหล่นไม่เท่ากันคือ 3 4 และ 5 นาที หมายความว่าพอต้มใบชาในกาแล้วให้พลิกนาฬิกาทรายจับเวลา ใครชอบดื่มชาอ่อนให้ดูทรายสีอ่อน ใครชอบดื่มชาเข้มก็ให้ดูทรายสีเข้ม หรือจะลองตามหารสชาติที่ใช่โดยการจิบชาทั้ง 3 เวลาก็ได้นะ

สเปซสุดเฟรนลี่มีหนังกลางแปลงให้ดู

สเปซของที่นี่กว้างขวางมาก หมู่บ้านชนบทนี้เพิ่งเปิดตัว Thames Park สวนขนาด 11 ไร่ ที่มีสนามเด็กเล่น บ้านต้นไม้ ทางวิ่งและทางจักรยาน สนามหญ้า จะมาเดินเล่นสูดอากาศสดชื่นโอบล้อมด้วยวิวป่าเขาเมื่อไหร่ก็ได้ และเหมาะกับแขกที่มาพักเป็นครอบครัวมาก

อ้อ จะบอกว่ารวมน้องหมาน้องแมวด้วยนะ เพราะที่นี่เขา Pet-friendly และมี Dog Park (แต่จำกัดขนาดนะ ใครอยากพาสมาชิกสี่ขาของบ้านมาก็อย่าลืมเช็กกับทางโรงแรมก่อนล่ะ) แถมบริเวณหน้าห้องพักมีรั้วเหล็กเตี้ยๆ เสริมเป็นปราการอีกด่านนอกจากประตูห้องพักด้วย

สนามหญ้าในพาร์กจะใช้เป็นพื้นที่ปิกนิกก็ได้ และเมื่อไหร่ที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า โรงแรมจะเปลี่ยนลานกว้างเป็นโรงหนังกลางแจ้งให้ดูหนังกันฟินๆ พร้อมรับลมหนาว และมีรถเข็นป๊อปคอร์นอบใหม่ร้อนๆ กับบาร์บีคิวบริการเต็มความอร่อยและความอบอุ่นให้ทั้งคืน

ปิดท้ายที่ห้องอาหารของโรงแรมคุมโทนอังกฤษเช่นเดียวกัน ด้วยการเป็นป้อมปราการของเมือง ชื่อ The Castle Restaurant & Tearoom แต่อย่าได้เข้าใจผิดไป ปราสาทหินแห่งนี้เปิดรับผู้ที่สัญจรผ่านไปมาให้เข้ามาแอบดูหมู่บ้านชนบทจากระเบียงได้ ยิ่งช่วงปลายปีนี้ชาวเมืองกำลังตั้งต้นคริสต์มาสติดสวนพอดี เมื่อมองผ่านสวนเข้าไปก็จะเห็นแม่น้ำกับสะพานหินเป็นฉากหลังเต็มตา ไม่มีอะไรบดบังทัศนียภาพของป้อมนี้ และถ้าหากการเดินทางกินแรงมากไปก็แวะมาฝากท้องได้ โรงแรมนี้อยู่ห่างจากทางขึ้นเขาใหญ่แค่ 3 กิโลเมตรเอง

เครดิตภาพ : สมัชชา อภัยสุวรรณ / samatcha apaisuwan