

- คุยกับผอ.CEA สงขลา ถอดแนวคิดงานเทศกาลสร้างสรรค์ของภาคใต้ ที่ไม่ใช่เป็นเพียง festival สร้างสีสันชั่วคราว แต่คือ Living Lab ของเศรษฐกิจสร้างสรรค์สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นได้จริง
คิดเหมือนเราไหมว่าทุกวันนี้ชีวตเหมือนอยู่ท่ามกลางพายุลูกใหญ่ โรคระบาด ภัยธรรมชาติรุนแรง เศรษฐกิจผันผวน รวมถึงความเครียดที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าใครก็คงรู้สึกได้ว่าตัวเลข GDP ที่เราได้ยินกันอยู่ทุกวันนั้น มันบอกได้ว่าชีวิตเรามั่นคงจริงเหรอ? แม้แต่กลุ่มคนรุ่นใหม่ก็เริ่มหันมาถามตัวเองกันแล้วว่าสิ่งสำคัญที่สุดอาจไม่ใช่ตัวเลขบนกระดาษ แต่คือคุณภาพชีวิตที่ดีและความสุขที่จับต้องได้
ความสุขคือสิ่งที่เราแสวงหา และเป็นสิ่งที่ภาคใต้ได้หยิบยื่นให้เราผ่านการจัดงาน Pakk Taii Design Week 2025 งานเทศกาลสร้างสรรค์ที่จัดต่อเนื่องปีนี้เป็นปีที่ 3 และเพิ่งจบลงไปอย่างสวยงามที่ผ่านมา ONCE ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ฆฤณ กังวานกิตติ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สงขลา หรือ CEA สงขลา เขาบอกชัดว่า นี่คือแซนด์บ็อกหรือพื้นที่ทดลองที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า “ความสบายใจ” สามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้
ปักษ์ใต้บายใจ
Pakk Taii Design Week 2025 ไม่ได้เป็นเพียงเวทีแสดงศิลปะหรือการออกแบบเหมือนที่เราคุ้นเคย แต่ถูกออกแบบให้เป็น “สนามทดลองเชิงนโยบาย” หรือ Policy Sandbox ที่จะพิสูจน์ว่าเศรษฐกิจซึ่งตั้งอยู่บนฐานของ “ความสบายใจ” จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนได้จริง
ผอ.CEA สงขลา อธิบายว่าแนวคิดที่เรียกว่า “De-Stress Economy” หรือ “เศรษฐกิจแห่งความสบายใจ” ได้รับการนิยามอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการจัดหมวดหมู่ศักยภาพของ 14 จังหวัดภาคใต้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ แต่ละกลุ่มสะท้อนรูปแบบการใช้ชีวิตและอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ได้แก่ ความสงบ ความผ่อนคลาย การปลดปล่อย และความไร้กังวล
“เราอยากพิสูจน์ว่า ความสบายใจ ไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่สามารถกลายเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้จริง” ผอ.ฆฤณกล่าว
ด้วยการตีความเช่นนี้ จังหวัดต่างๆ จึงไม่ได้ถูกนำเสนอเพียงในมิติภูมิศาสตร์หรือการท่องเที่ยว แต่ถูกมองในฐานะ “คุณค่าทางอารมณ์” ที่ตอบสนองผู้บริโภคยุคใหม่ซึ่งกำลังมองหาคุณภาพชีวิตครบทุกมิติ ตั้งแต่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ไลฟ์สไตล์สร้างสรรค์ จนถึงนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม
“ครั้งนี้เป็นปีที่ 3 เราตั้งใจจะขยายความให้ครอบคลุมทั้ง 14 จังหวัดของภาคใต้ เพื่อเล่าว่าแต่ละพื้นที่มีอะไรดี และสามารถต่อยอดอนาคตไปในรูปแบบไหนบ้าง”

และนี่เองจึงเป็นที่มาของคอนเซปต์หรือธีมงานในปี 2025 ว่า “South Paradise มาใต้ บายใจให้ถึงหวัน” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทั้ง 14 จังหวัดมาจัดงานกองรวมกันในเมืองสงขลา เนรมิตพาวิลเลียนที่แสดงศักยภาพของจังหวัดตัวเองโดยดึงจุดแข็งจากจังหวัดต่างๆ มาเล่าเรื่องให้น่าสนใจในมุมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
Reposition + Leave Legacy
“เราพยายามมองว่างานนี้ไม่ใช่แค่เทศกาล แต่คือแพลตฟอร์มที่แสดงศักยภาพของคนใต้ และทดลองเอา asset ของท้องถิ่นมาต่อยอดให้กลายเป็นสินค้าหรือบริการใหม่ๆ”
การเล่าเรื่องที่ยึดโยงกับ “asset” ของท้องถิ่นอย่างแนบแน่น ไม่ว่าศรัทธาทางศาสนา วิถีชีวิตชุมชน ตลาดอาหารพื้นบ้าน หรือภูมิทัศน์ธรรมชาติ ล้วนสามารถกลายเป็นวัตถุดิบตั้งต้นของการออกแบบทั้งนั้น
“ครั้งนี้เป็นปีที่ 3 เราตั้งใจจะขยายความให้ครอบคลุมทั้ง 14 จังหวัดของภาคใต้ เพื่อเล่าว่าแต่ละพื้นที่มีอะไรดี และสามารถต่อยอดอนาคตไปในรูปแบบไหนบ้าง ซึ่งสิ่งที่เราอยากส่งออกมีอยู่ 3 เรื่อง คือสิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ สิ่งที่ผู้คนมองหา และสิ่งที่แต่ละเมืองสามารถเสนอได้”
ดังนั้น เมื่อ asset เหล่านี้นำมาผ่านการตีความโดยนักสร้างสรรค์หรือนักออกแบบร่วมสมัย ก็จะถูกแปลงร่างเป็นสินค้า บริการ หรือกิจกรรมที่สร้างคุณค่าใหม่ ตัวอย่างเช่น นครศรีธรรมราชที่ใช้ทุนทางศรัทธามาต่อยอดสู่ spiritual wellness และ retreat หรือพัทลุงที่ใช้พันธุ์ข้าวท้องถิ่นมาตีความเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามเพื่อสื่อสารกับตลาด
แนวทางนี้เราคิดว่าน่าจะเป็นการ repositioning ภาคใต้ครั้งใหญ่ จากจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวแบบเดิมๆ ไปสู่พื้นที่แห่งนวัตกรรมสร้างสรรค์ที่เชื่อมต่อกับเทรนด์ Global Wellness Economy ซึ่งมีมูลค่ากว่า 5.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐและกำลังเติบโตต่อเนื่องในปัจจุบัน
และไม่ใช่แค่การจัดงานเพียงอย่างเดียว หากการสร้างมรดกหรือ leave legacy ให้เมืองก็มักเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงอยู่เสมอ ผอ.ฆฤณ ได้ยกตัวอย่างว่า สำหรับภาคใต้แล้ว สิ่งที่เป็นมรดกของงานเทศกาลที่เห็นได้ชัด น่าจะเป็นการทำตลาดสร้างสรรค์หรือการสร้างสเปซสาธารณะชั่วคราวในย่านเมืองเก่าซึ่งส่งมอบให้เทศบาลฯ นำไปต่อยอดได้ เพราะเทศกาลจะไม่ได้หยุดเพียงแค่การสร้างสีสันช่วงเวลาสั้นๆ แต่มีเทศกาลต้องเป็นหนึ่งในเครื่องมือวางรากฐานให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระยะยาวได้ด้วย
นอกจากนี้ ความร่วมมือกับ World Heritage Georgetown กลายเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับงาน Pakk Taii Design Week จากเทศกาลสร้างสรรค์ในภูมิภาค สู่เวทีเชื่อมโยงระดับนานาชาติ ผอ. CEA สงขลาย้ำกว่า การจับมือครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการแสดงออกทางศิลปะ แต่คือการต่อยอด Soft Power ของภูมิภาคใต้ และทำให้แนวคิด De-Stress Economy มีมิติการสื่อสารที่กว้างขึ้น เชื่อมโยงทั้งท้องถิ่น เพื่อนบ้าน และโลกในเวลาเดียวกัน
ส่งเสริม ecosystem
ผอ.CEA สงขลาอธิบายต่อว่า การทำให้ narrative ของ “เศรษฐกิจแห่งความสบายใจ” แตกต่างจากเทศกาลท่องเที่ยวทั่วไปถือเป็นโจทย์ใหญ่ เช่นเดียวกับการรักษา legacy ให้คงอยู่ นับจากนี้ CEA สงขลาจะไม่หยุดเพียงสร้างงานที่เป็น prototype แต่ยังพร้อมส่งเสริมการสร้าง ecosystem ที่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นสร้างความร่วมมือจากท้องถิ่น มหาวิทยาลัย หรือผู้ประกอบการ
แต่หากความคิดนี้ถูกต่อยอดไปจนถึงที่สุด ภาคใต้จะมี narrative ใหม่ที่ทรงพลัง ไม่ใช่แค่ทะเลหรืออาหาร แต่คือการเป็น “South Paradise” ดินแดนแห่งการเยียวยาและคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งการใช้ Emotional Value Positioning แบบ “สงบ ผ่อนคลาย ปลดปล่อย และไร้กังวล” เช่นนี้ ยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการดึงดูดการลงทุน ทั้งในธุรกิจ wellness การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ไลฟ์สไตล์สร้างสรรค์ และนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม
“เป้าหมายของเราคือการใช้ creative economy ไปยกระดับเศรษฐกิจของเมือง และทำให้ผู้คนเห็นศักยภาพที่แท้จริงของภาคใต้” บทบาทของ CEA สงขลาจึงไม่ใช่แค่ผู้จัดงาน แต่คือผู้ออกแบบ “นโยบายเชิงพื้นที่” ที่ใช้เทศกาลเป็นเครื่องมือพิสูจน์ และหาก De-Stress Economy สามารถแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจน ได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง ภาคใต้จะก้าวสู่การเป็น Living Lab ของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นได้จริงในอนาคต