Creative Hub
‘เจม – เชอรี่’ คู่รักสายครีเอทีฟ กับบ้านที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่า และห้องทำเพลงทรงเรือดำน้ำ
- เปิดบ้าน ‘เจม- ชัยบวร ศรีลูกหว้า’ นักทำเพลงมืออาชีพ และ ‘เชอรี่- วิภานี กาญจนาภิญโญกุล’ นักเขียนอิสระและนักทำงานคราฟต์ พาไปดูสเปซสร้างจากเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่าที่สามารถนั่งทำงานครีเอทีฟได้ทุกมุม พร้อมห้องทำงานทรงเรือดำน้ำที่เป็นกรุเก็บของสะสมสายดนตรีอย่าง Synthesizer จากยุค 80
เราก้าวเข้ามาอยู่ในรั้วบ้านเจมและเชอรี่พร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง โครงสร้างปูนเปลือยที่มีทางเข้าคล้ายกับห้องหลบภัยทักทายเราที่หน้าประตู ก่อน ‘เชอรี่’ นักเขียนอิสระและนักทำงานคราฟต์ดีไซน์น่ารัก จะนำทางเราไปหน้าบานประตูไม้เก่าๆ ซึ่งมีกอไม้เลื้อยกอใหญ่พันเกี่ยวอยู่ ราวกับว่ามีใครตั้งใจมาผูกไว้อย่างไรอย่างนั้น
ประตูเปิดออกแสดงให้เห็นถึงบรรยากาศอบอุ่นในตัวบ้าน ที่แม้จะไม่เป็นสัดเป็นส่วน ไม่เรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว แต่ก็แสดงให้เห็นถึงคาแรกเตอร์ผู้อยู่อาศัยเป็นอย่างดี
เรารับชาและคุกกี้จากเชอรี่ พอดีกับที่ ‘เจม’ สามีนักทำเพลงของเธอ ที่ทุกคนน่าจะคุ้นหูผลงานของเขาดีจากเพลงไตเติลซีรีส์ ‘เด็กใหม่’ เข้ามาร่วมวงใน “ห้องหลุม (Sunken)” ของตัวบ้าน
แล้วก็ได้ฤกษ์ที่เราจะเริ่มพูดคุยกัน…
Home from Scratch
“เพิ่งนึกขึ้นได้ วันนี้วันฮัลโลวีน ครบรอบ 14 ปีที่เราย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้พอดี” เชอรี่พูดขึ้นในช่วงต้นของบทสนทนาพร้อมรอยยิ้ม คงไม่มีวันไหนจะเหมาะกับการเล่าเรื่องบ้านที่เธอและคนรักร่วมสร้างกันมาเท่าวันนี้แล้วแหละ
ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว หลังจากตระเวนหาบ้านอยู่นาน เจมเเละเชอรี่พบที่ดินเปล่าผืนนี้ที่โครงการในเครือโรงเรียนรุ่งอรุณเเถวบางขุนเทียน บรรยากาศธรรมชาติๆ ริมคลอง กับราคาที่ไม่สูงมากทำเอาติดใจ ทั้งคู่เลยพร้อมใจกันปักหมุดว่าต้องเป็นที่นี่!
เจมรับหน้าที่เขียนแบบบ้านร่วมกับสถาปนิกที่ปรึกษาที่ทางโครงการจัดหามาให้ ด้วยความที่ชอบสะสมไม้เก่าและของวินเทจต่างๆ เขาเลยมีประตูไม้เก่าจากเชียงใหม่ พื้นไม้เก่าที่รื้อมาจากโรงเรียน ช่องลมเหล็กดัดเก่าจากอาคารในพม่า ฯลฯ ที่ถูกเรียกรวมๆ กันว่า ‘อะไหล่’ ซะเยอะ แปลนบ้านที่กำลังจะสร้างจึงออกแบบให้รับกับไซซ์ของอะไหล่เหล่านี้
“ก็เลยออกมาแปลกๆ ไม่มีสัดส่วนอะไรเลย” เชอรี่บอก พร้อมใช้มือนำสายตาเราไปที่ชุดหน้าต่างไม้และตู้ไม้ตู้ใหญ่ ซึ่งเป็นตัวกะเกณฑ์สำคัญให้ห้องที่เรากำลังนั่งอยู่ พูดง่ายๆ ก็คือ ดีไซน์ของบ้านหลังนี้ไม่ได้มีวิธีคิดอะไรที่พิเศษ อยากได้อะไรก็เติม อยากมีห้องที่ดูเป็นหลุม (ต่ำลงไปจากพื้นที่อื่นๆ ในตัวบ้าน) ก็มี และทำยังไงก็ได้ ให้สเปซนี้สามารถบรรจุของที่ทั้งคู่มีอยู่แล้วได้
“บวกกับว่ามันเซฟคอสต์ด้วยนะ เทียบกับว่าเราสั่งทำบานหน้าต่างอะลูมิเนียมบานเลื่อนอะไรอย่างเงี้ย ไซซ์เดียวกันขนาดเดียวกัน ใช้ไม้เก่าถูกกว่าตั้งเยอะ” เจมเสริม การคุมงบก็เป็นอีกหนึ่งโจทย์หลัก
นอกเหนือจากนี้ อีกสิ่งที่ต้องคำนึงในการทำบ้าน ก็คือเรื่องความเป็นส่วนตัวที่ทั้งคู่หวงแหนมากๆ นี่แหละ บ้านหลังนี้เลยไม่เหมือนหลังอื่นๆ ในโครงการเลย ไม่มีระเบียง หรือหน้าต่างบานใหญ่ๆ ที่เปิดอ้าให้ได้เห็นการใช้ชีวิตภายในบ้าน แต่กลับเป็นช่องเล็กๆ ที่ปล่อยให้แสงลอดผ่านเข้ามาแทน “คอนเซปต์เราประมาณแบบแอบดูเนอะ เราไม่ค่อยชอบให้ใครเห็นเรา แต่เราชอบส่องคนอื่น (หัวเราะ)” เจมหยอกล้อถึงความเป็นอินโทรเวิร์ตของตัวเองอย่างขำขัน
Way of Living
ถ้าถามว่ากิจกรรมในแต่ละวันของคู่รักคู่นี้มีอะไรบ้าง คำตอบคงไม่พ้นการทำงาน ทำงาน และทำงาน… “เราสองคนชอบทำงานและทำงานที่บ้าน” คือสิ่งที่ทั้งคู่บอกสถาปนิกที่ปรึกษาไป ตอนได้รับคำถามว่า ใช้พื้นที่ในบ้านนี้ยังไง
เชอรี่ที่ทำงานเขียนและงานคราฟต์เป็นหลัก ชี้ให้เราเห็นโต๊ะที่ซ่อนอยู่ทุกมุมในบ้าน บวกกับคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หนังสือ และอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยที่วางกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ แสดงให้เห็นว่าเธอไม่มีข้อจำกัดทางพื้นที่ในสเปซนี้ ทุกๆ จุดเป็นที่นั่งทำงานของเธอหมด และมักปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของเธอและเจมในแต่ละช่วงชีวิต
“ถ้าสังเกตรูปที่วาดหรือตุ๊กตาที่ทํา ทุกตัวจะหน้านิ่งๆ หน่อย คิดว่าเพราะตัวเองเป็นคนนิ่งๆ มั้ง น่าจะออกมาจากตัวเราเอง” ด้วยความที่แรงบันดาลใจในการทำงานส่วนใหญ่ของเชอรี่ มาจากอารมณ์ความรู้สึกภายใน ตกเย็นเธอก็จะไปเดินเล่นให้ขนมหมาในโครงการหมู่บ้าน มองพระอาทิตย์ตกดินที่ริมคลอง ด้วยเหตุผลที่ว่า “มันฮีลดี” ก่อนจะมาถักโครเชต์ ทำแพตเทิร์น ทำตุ๊กตาต่อ
ด้านเจมที่เริ่มจากการทำเพลง Jingle 15 วินาที จนตอนนี้เริ่มมารับงานสเกลที่ใหญ่ขึ้นแล้ว ก็ใช้เวลาอยู่นานในการหาพื้นที่ของตัวเอง จากแรกเริ่มที่ทำบนโต๊ะได้ เพราะมีคอมพ์แค่เครื่องเดียว ก็เริ่มมีลำโพง มีอุปกรณ์มาเพิ่ม เพื่อซาวด์ที่แปลกใหม่ จนต้องขยับขยายไปทำบนพื้นบ้าง ชั้นลอยบ้าง
“เวลามีงานเข้ามา เราจะคิดถึงของในบ้านก่อนเลยว่า เราจะใช้อะไรได้บ้าง บางทีนั่งมองอุปกรณ์ทํางานก็แบบ เฮ้ย ตัวนี้ทําเสียงแบบได้นี้เหรอ? เอาอันนี้มาใช้ดีไหม? อะไรอย่างงี้” เจมอธิบายถึงกระบวนการการทำงานของเขา ที่เริ่มจากเสียงสุดยูนีคจากอุปกรณ์ชิ้นต่างๆ
Musical Submarine
แต่นานวันเข้า อุปกรณ์ที่ว่านั้นก็เพิ่มพูนขึ้นซะจนแทบไม่มีที่วาง แถมการทำเพลงก็เป็นกิจกรรมที่มีเสียง เจมเลยตัดสินใจสร้างห้องทำงานแยกออกมาจากตัวบ้าน ซึ่งก็คือโครงสร้างปูนเปลือยหน้าบ้านที่เราได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้นั่นเอง!
โดยเจมค่อยๆ ประกอบร่างสร้างขึ้นมาบนพื้นที่ป่ากล้วยรกๆ เขานำปล่องเล็กๆ มาติดด้านบนตัวอาคาร พร้อมหน้าต่างทรงกลม ส่วนประตูเหล็กก็สั่งทำโดยถอดแบบมาจากประตูเซอร์วิสบนสะพานพระราม 9 ทำให้ภาพรวมออกมาเหมือนห้องหลบภัยหน้าตาแปลกประหลาด ที่เพื่อนบ้านพร้อมใจเรียกกันว่า ‘เรือดำน้ำ’ จนคู่รักจะไม่เรียกตามก็ไม่ได้
พื้นที่ 18 ตารางเมตรที่แบ่งเป็น 2 ชั้น อัดแน่นด้วยเครื่องดนตรี เครื่องเล่นแผ่นเสียง คอมพิวเตอร์ และ Synthesizer ยุค 80 จาก Junk Shop ในญี่ปุ่นที่เจมสะสม แต่ละเครื่องให้เสียงต่างกัน ทำให้เขามีเยอะซะจนห้องทำงานมีที่พอสำหรับคนเพียง 2 คนเท่านั้น “เขามีแต่ผู้ชายแพ้ล้อใช่ไหม? อันนี้ผู้ชายแพ้ปุ่ม (หัวเราะ)” เชอรี่พูดแซวสามีผู้คลั่งเพลงแนว City Pop มาแต่ไหนแต่ไร และเป็นที่รู้จักประมาณนึงในวงการคนสะสม Synthesizer
เจมเล่าว่า เขาตั้งใจให้ชั้นล่างเป็นโซนไว้ทำงานลูกค้า งาน Computer Music ส่วนชั้นบนไว้ทำงานเชิงทดลองที่เขาจะเล่นกับอุปกรณ์เพื่อเสียงแปลกๆ
A Place to Come Back
“อยู่มา 14 ปี อะไรคือความทรงจำที่ประทับใจที่สุดเกี่ยวกับบ้านหลังนี้” เราถาม ในฐานะคนชอบอยู่บ้านคิดว่าพวกเขาน่าจะมีอะไรเล่าเยอะแน่ๆ
“ประทับใจเวลาคนมา เขาจะชอบบอกกันว่าที่นี่ ใช้คำว่าอะไรดี…อบอุ่น เขาน่าจะรู้สึกว่ามันสบาย แล้วก็ถ้ามาอยู่ตอนกลางคืน บ้านเราจะมีแต่ไฟเหลืองๆ อันนี้ทำแบบซีรีส์ ‘Stranger Things’ (ชี้ไปที่ไฟกะพริบในตู้ไม้หลังโซฟา) ดูแล้วอยากมีไฟกะพริบบ้าง บางทีเพื่อนมาก็จะบอกว่า ‘มุมนี้น่ากินไวน์ว่ะ หรือบางคนมาก็จะ ‘ตรงนี้น่านั่งอ่านหนังสือนะเนี่ย’” เชอรี่ตอบและเจมก็คอนเฟิร์มว่าจริง
ความจริงทั้งคู่ก็ประทับใจในทุกๆ โมเมนต์นั่นแหละ เพราะบ้านนี้อยู่แล้วสบาย เพียงแต่ว่าพอเห็นคนมาแล้วรู้สึกดี ก็อดมีความสุขตามไปด้วยไม่ได้
สำหรับพวกเขาเอง ทั้งคู่ลงความเห็นตรงกันว่า “บ้านนี้คือที่ที่อยากกลับมา”
ไม่ว่าจะไปทำงาน หรือไปเที่ยว ไปได้ไม่นานก็เริ่มคิดแล้วว่า เมื่อไหร่จะได้กลับ เชอรี่ยกตัวอย่างว่า ขนาดอุตส่าห์ได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบเต็มวีซ่าถึง 2 สัปดาห์ ยังเริ่มหงอย เพราะคิดถึงบ้านเลย
และนั่นเป็นเพราะ มากไปกว่าการเป็นที่ที่อยากกลับมา ที่นี่คือ “ที่ที่อยู่แล้วสบายใจ เป็นตัวเองขั้นสุด” สำหรับเชอรี่ แถมยังเป็น “ที่ที่อยู่แล้วรู้สึกปลอดภัย” สำหรับเจม
ก่อนจากกัน เชอรี่พาเราไปทำหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของเธอ ซึ่งก็คือการเดินเล่นในหมู่บ้าน เธอทักทาย หมาตัวนั้นที ตัวนี้ที ก่อนท้องฟ้าจะค่อยๆ มืดลง พร้อมเสียงนกที่กำลังบินกลับรัง เราเดินตามเธอไปอีกสักพัก สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปแบบเต็มปอด ก่อนจะเดินเข้าไปเก็บของในห้องหลุม ที่ตอนนี้ไฟกะพริบถูกเปิดแล้ว! และได้แต่คิดว่าที่นี่อบอุ่นอย่างที่พวกเขาว่าจริงๆ ถ้ามีบ้านแบบนี้ เราก็คงไม่อยากไปไหนเหมือนกัน
ONCE ไม่ลืมขอ 1 ทริคแต่งบ้านจากเจมเเละเชอรี่มาฝากชาว Homebodies ทุกคน! : “จะเห็นได้ว่าบ้านเรามีดีเทลค่อนข้างเยอะ ซึ่งเราก็ชอบนะ แต่ก็สอนให้รู้ว่า ถ้าชอบแต่งบ้าน ทำตัวบ้านให้เรียบง่ายที่สุดจะดีกว่า โล่งๆ ไม่ต้องเยอะ เพราะบ้านที่แต่งง่าย ทำความสะอาดง่าย จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดี” – เจม