นโยบายเปลี่ยนรถโดยสารสาธารณะที่ยังคงใช้น้ำมันอยู่ของเมืองให้เป็นรถไฟฟ้าทั้งหมด 450 คันนี้ ถูกประกาศออกมาเมื่อเดือนต.ค.ปีที่แล้ว ฟังดูอาจจะเป็นโจทย์ยากสำหรับบางประเทศ แต่ไม่ใช่นโยบายขายฝันสำหรับนอร์เวย์แน่นอน เพราะเป็นที่รู้กันว่านอร์เวย์ถือเป็นผู้บุกเบิกการปฏิวัติการขนส่งสีเขียวของโลกอยู่แล้ว จากการมีส่วนแบ่งต่อหัวของ EV สูงที่สุดในโลก

แถมทุกวันนี้บนถนนในเมืองออสโลก็มีรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันแล้ว รวมถึงเครือข่ายรถไฟฟ้า รถราง เรือข้ามฟากและรถบัสไฟฟ้ามากกว่า 200 คันที่ดำเนินการไปแล้ว ที่สำคัญยังตั้งเป้ารถยนต์ใหม่ทุกคนที่ขายในประเทศจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าหรือไฮโดรเจนทั้งหมดภายในปี 2025

โครงการนี้ใช้งบประมาณ 500 ล้านโครน หรือราว 1,600 ล้านบาท ซึ่งหน่วยงามด้านการขนส่งของออสโลมองว่าคุ้มค่าในระยะยาวแน่นอน เพราะไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการบำรุงรักษา แต่ยังช่วยลดสภาวะโลกร้อนและดีต่อสุขภาพของประชาชนจากลดมลพิษทางอากาศ เมื่อรายงานขององค์การสหประชาชาติระบุว่า การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากกว่า 300,000 ราย มีสาเหตุมาจากมลพิษทางอากาศในอียู ปี 2019 แม้ว่าออสโลจะลดการปล่อยมลพิษลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่การจราจรบนท้องถนนยังคงเป็นสาเหตุสำคัญในการปล่อยมลพิษมากที่สุดของเมือง

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคาดหวังว่าโปรเจ็กต์นี้จะทำให้ออสโลเป็นเมืองที่น่าอยู่ขึ้นและกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับนักเดินทาง พร้อมกับเป้าหมายจะเป็นเมืองที่จะปลอดมลพิษแห่งแรกของโลกภายในปี 2030 ด้วยกลยุทธ์ทำเมืองให้เป็นมิตรกับผู้คนมากขึ้น เช่น การปรับปรุงเส้นทางเดินเท้า ทางจักรยาน และอาคารประหยัดพลังงาน

ถึงตอนนั้น…เราเชื่อว่า ออสโล จะไม่ใช่แค่เดสติเนชั่นในใจของใครต่อใคร แต่จะเป็นแบบอย่างให้เมืองอื่นๆ ในโลกที่กำลังถูกบีบให้หันมาเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยสภาวะโลกร้อนและเต็มไปด้วยมลพิษ