รีสอร์ตบัวขาว สาขาเกาะซิซิลี

แขกระดับซูเปอร์ริชเดินทางหนีหนาวมาพักร้อนบนหมู่เกาะในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่มีแดดจ้า 2,500 ชั่วโมงต่อปี และอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 26 องศาเซลเซียส

พวกเขาปักหมุดที่โรงแรมซึ่งแขวนตัวหมิ่นเหม่บนยอดผา เปิดรับวิวเอ็ทนา ภูเขาไฟประเภท ‘แอคทีฟ’ ที่หมายความว่าอาจปะทุเมื่อใดก็ได้ จะชมวิวภูเขาไฟจากระเบียงห้องพักหรือขณะแหวกว่ายในสระว่ายน้ำไร้ขอบยาว 21 เมตรบนยอดเขาก็ได้เช่นกัน

ทั่วโรงแรมตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมโบราณ อาทิ ระเบียงคดที่มีเสาหินล้อมรอบลานกว้าง หรือชมงานศิลปะที่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ เช่น ภาพเขียนฝีมือลูกศิษย์คาราวัจโจ ปรมาจารย์แห่งศิลปะสไตล์บาโรกในศตวรรษที่ 16 ไปจนถึง Moor’s Head หรือแจกันกระเบื้องหัวคนลงสีด้วยมือ งานคราฟต์เอกลักษณ์ของซิซิลี

ที่นี่ยังมีห้องอาหารมิชลินสตาร์ 1 ดวง Principe Cerami ที่เสิร์ฟจานพิเศษแบบซิซิลี อาทิ แก้มวัวอบเสิร์ฟพร้อมเวอร์มุธ ไวน์เรียกน้ำย่อย และพาสตาคาเปลเลตติไส้ไก่ต๊อก

ตัวโรงแรมแบ่งออกเป็น 2 ปีก ปีกดั้งเดิมก่อสร้างขึ้นสมัยศตวรรษที่ 14 ส่วนปีกล่าสุดสร้างขึ้นเมื่อปี 1896 มีห้องพักทั้งหมด 111 ห้อง ขนาดตั้งแต่ 27 จนถึง 232 ตารางเมตร

ป้ายโรงแรมโชว์หราว่า White Lotus Resort & Spa Sicily ในซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 2 แต่ในความเป็นจริงที่นี่มีชื่อว่า San Domenico Palace

โรงแรมระดับซูเปอร์ริชบนหนึ่งในพื้นที่ยากจนที่สุดของยุโรป

ซาน โดเมนิโก พาเลซ นั้นเดิมเป็นอารามนักบวชคาทอลิกในเมืองทาร์ออมีนา บนเกาะซิซิลีในปี 1374 ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโรงแรมในปี 1896 ต้อนรับแขกวีวีไอพี อาทิ Oscar Wilde, King Edward VIII, Truman Capote, Audrey Hepburn, Sophia Loren และคู่รัก (ในเวลานั้น) Elizabeth Taylor กับ Richard Burton ฝ่ายหญิงฟาดแมนโดลิน (พิณอิตาลี) เข้าให้ที่หัวของสามีสุดเลิฟ กลายเป็นตำนานประจำโรงแรมตราบจนปัจจุบัน

เมืองทาร์ออมีนา ที่ตั้งของโรงแรมซานโดเมนิโก พาเลซ ยังเป็นเมืองเดียวบนเกาะซิซิลีที่เปิดรับให้เกย์เข้ามาอยู่อาศัยได้ และปัจจุบันอดีตอารามนักบวชและฐานทัพของนาซีแห่งนี้ได้ตกทอดเป็นกิจการของเครือโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ – ที่สนนราคาห้องพักหน้าไฮซีซั่นเริ่มต้นที่ 3,000 – 5,000 ยูโรต่อคืน – บนพื้นที่ที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป

หลังจากทีมงานซีรีส์สำรวจโรงแรมกว่า 70 แห่งในกรีซ ตอนใต้ของฝรั่งเศสและอิตาลี ก็ตกหลุมรัก San Domenico Palace แห่งนี้ทันที ความหรูหราหมาเห่าของที่นี่ละหนึ่ง ฉากหลังที่ดูเป็นฤดูร้อนตลอดเวลาก็ใช่ แต่บรรยากาศที่เหมือนถูกครอบไว้ในฟองอากาศปลอมๆ ต่างหากที่โดนใจทีมงานสุด เพราะนั่นละคือสิ่งที่ซีรีส์ White Lotus ต้องการจะแซะ

David Bernad โปรดิวเซอร์ของซีรีส์ The White Lotus กล่าวว่า วัฒนธรรมการท่องเที่ยวแบบที่คนรวยจะไปพักตามโรงแรมหรูมีจุดเด่นตรงที่คนเหล่านี้ไม่ได้มองออกไปข้างนอก พวกเขามองกลับเข้ามาหาตัวเองตลอดเวลา คนรวยจึงมักไปพักโรงแรมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมพรั่งเกินกว่าที่ต้องการด้วยซ้ำ เพื่อจะได้ขลุกอยู่แต่ในโรงแรม พวกเขาไม่ได้ต้องการออกไปท่องเที่ยวสัมผัสชีวิต ศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติหรือแม้แต่จะกินอาหารตามร้านในท้องถิ่น

โรงแรม San Domenico Palace จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะเป็น White Lotus Resort & Spa Sicily เพราะถ้าโรงแรมอยู่ในกรุงโรม แขกก็จะออกไปเที่ยวและกินข้าวข้างนอก แต่ถ้าอยู่ในซิซิลี แขกจะต้องกินอาหารที่ในโรงแรม

ในทางกลับกัน ชาวเมืองทาร์ออมีนาที่อยู่ในละแวกโรงแรมหรูก็แทบไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกับที่นี่เลย เพราะราคาค่าบริการทุกสิ่งอย่าง “แพงเกินไปสำหรับคนธรรมดา” เจ้าของบาร์แถวสถานีรถไฟในทาร์ออมีนากล่าว แต่ชาวเมืองก็มิได้ขัดข้องที่ตนเองไม่ได้ใช้ประโยชน์ทางตรงจากโรงแรมหรู เพราะยิ่งคนรวยมาพักที่นี่กันเยอะๆ ก็ยิ่งดีต่อทาร์ออมีนา เมืองที่พึ่งพารายได้หลักจากการท่องเที่ยว

กระแส White Lotus ช่วยโปรโมตการท่องเที่ยวซิซิลี

Lorenzo Maraviglia ผู้จัดการทั่วไปของ San Domenico Palace บอกว่า ในซีรีส์ได้ฉายแสดงพลวัตระหว่างพนักงานกับลูกค้าตรงตามจริงอย่างยิ่ง เนื่องจากลูกค้าระดับซูเปอร์ริชที่จ่าย 5,000 ยูโร หรือประมาณ 184,000 บาทต่อคืนนั้น มาพร้อมความคาดหวังสูงลิ่ว พนักงานโรงแรมจึงต้องแก้ปัญหาไม่คาดคิดมากมาย อาทิ ไข่ที่ลูกค้าสั่งมาเสิร์ฟให้ช้าเกินไปนิดหน่อย ไปจนกระทั่งวิกฤตอย่างครีมในคาปูชิโนน้อยเกินไป ลูกค้าอาจถึงขั้นกล่าวว่าพนักงานโรงแรมทำลายการพักร้อนของพวกเขาเลยทีเดียว

Armond ตัวละครที่รับบทจีเอ็มโรงแรมในเรื่องก็รับมือวิกฤตที่คล้ายๆ ภูเขาไฟเอ็ทนาปะทุย่อมๆ เหล่านี้อยู่มิเว้นวาย ซึ่งทำให้คนดูสนุกติดหนึบพอๆ กับการเดาว่าทำไมตัวละครในเรื่องจึงตาย ตายเพราะอะไร ใครเป็นคนฆ่า

แต่ปัญหาอยู่ที่ไข่มาช้าหรือครีมในคาปูชิโนน้อยไปจริงหรือ จีเอ็มโรงแรมตัวจริงกล่าวว่า งานบริการนั้นหัวใจสำคัญอยู่ที่ความเข้าอกเข้าใจความเป็นมนุษย์ของลูกค้าผู้ร่ำรวยเหล่านั้น และทุกเรื่องมีเบื้องหลังทั้งสิ้น พนักงานโรงแรมต้องเข้าใจว่าก่อนจะมาเจอคาปูชิโน ลูกค้าอาจทะเลาะกับสามี มีปัญหาในครอบครัว มีเรื่องในบริษัท เจอวิกฤตโควิดหรือพิษเศรษฐกิจ ฯลฯ และปัญหาอีกร้อยแปดอย่างที่เข้ามาทำลายโลกของลูกค้า ดังนั้นพนักงานโรงแรมจึงไม่ได้มีหน้าที่เติมครีมคาปูชิโนให้มากขึ้นตามความต้องการ แต่ต้องบริหารจัดการอีโก้อันซับซ้อนของลูกค้า

และแม้ The White Lotus จะเปิดเรื่องมาด้วยความตายของตัวละคร แล้วเลี้ยงความสงสัยของคนดูไปเรื่อยๆ เพื่อให้เดาว่าใครทำ ทว่า เรื่องราวการฆาตกรรมในโรงแรมก็ไม่ได้ทำให้คนดูหวาดหวั่น สะท้อนได้จากผลการค้นหาคำว่า ‘Sicily’ ที่เพิ่มขึ้นในกูเกิล รวมทั้งคำว่า San Domenico Palace ที่มียอดค้นหาและยอดจองห้องพักเพิ่มขึ้นมากที่สุด ตั้งแต่กลับมาเปิดให้บริการใหม่ช่วงปี 2021 หรือบางคนก็ขอแค่เข้ามาดูเว็บไซต์ www.fourseasons.com/taormina ก็ทำให้ทราฟฟิกของเว็บโรงแรมแน่นขนัดขึ้น 70 เปอร์เซ็นต์

คนดูที่สู้ราคาห้องพักคืนละเหยียบแสนที่ San Domenico Palace ไม่ไหว ก็จับจองห้องพักในโรงแรมหรือรีสอร์ตอื่นๆ ในซิซิลีแทน จนทำให้การท่องเที่ยวของเกาะแห่งนี้คึกคักมาก เว็บไซต์ Expedia เรียกกระแสการท่องเที่ยวตามสถานที่ถ่ายทำซีรีส์โทรทัศน์ว่า set-jetting ล้อไปกับนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักที่เดินทาง (ด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว) ไปพักร้อนตามโรงแรมหรูทั่วโลกว่า Jetsetter

เดวิด เบอร์นัด โปรดิวเซอร์ของ White Lotus ซึ่งซีซั่น 1 ถ่ายทำที่ Four Seasons Resort Maui ในฮาวาย และซีซั่น 2 ที่เพิ่งจบไปถ่ายทำที่ San Domenico Palace เกาะซิซิลี กล่าวว่า

ผู้คนจะพูดถึงซีรีส์อย่างไรก็ได้เอาที่สะดวก แต่ความเป็นจริงก็คือซิซิลีคือเกาะอันยากจนและการท่องเที่ยวก็คืออุตสาหกรรมหลักของเกาะ ถ้าหากว่าซีรีส์จะช่วยสร้างผลกระทบในทางบวกและนำรายได้ที่มากขึ้น การจ้างงานที่มากขึ้น และโอกาสที่มากขึ้นแก่ซิซิลีได้ นั่นก็คือผลพวงอันยอดเยี่ยมของซีรีส์ และเป็นพลังของซอฟต์เพาเวอร์โดยแท้

ที่มา
https://www.nytimes.com/2022/12/25/style/is-it-time-for-a-white-lotus
https://www.travelweekly.com/Travel-News/Hotel-News/White-Lotus
https://robbreport.com/travel/resorts/san-domenico-palace-sicily
https://www.thrillist.com/travel/nation/white-lotus-season-2-hotel-taormina-italy
https://www.thethinkingtraveller.com/italy/sicily/towns-and-cities-in-sicily/taormina