- จากสถานที่สุดลึกลับสำหรับการลักลอบขายเหล้าเถื่อนในยุค Prohibition ช่วงปีค.ศ. 1920-1933 ของสหรัฐอเมริกา กลายเป็นคอนเซ็ปต์หลักของค็อกเทลบาร์สุดเท่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดินของโรงแรม ให้บรรยากาศความเป็นบาร์ลับที่จะไม่ลับอีกต่อไป…
- เรากำลังพูดถึง Abandoned Mansion บาร์ใต้ดินสไตล์แก๊งสเตอร์อเมริกัน ย่านสุขุมวิทซอย 14 Speakeasy Bar ที่มาในคอนเซ็ปต์ Gangster ยุค 1930 พร้อมค็อกเทลซิกเนเจอร์ที่ตั้งชื่อตามอาชญากรดังในอดีต เช่น จอห์น ดิลลิงเจอร์, อัล คาโปน, เบบี้เฟซเนลสัน เป็นต้น
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ! ช่วงครึ่งปีหลังมานี้มีบาร์เปิดใหม่ให้เราได้ไปเช็กอินแทบทุกเดือน มากกว่านั้นแทบทุกร้านมักมีคำติดสอยห้อยตามท้ายว่าเป็น ‘บาร์ลับ’ แต่อยู่ในยุคโซเชียลแบบนี้ ร้านที่ว่าลับก็คงไม่ลับอีกต่อไป…วันนี้เราจะเปิดลายแทงอีกหนึ่งพิกัดที่ซ่อนตัวอยู่ใต้โรงแรม The Coach ย่านสุขุมวิท 14 กับร้านที่มีชื่อว่า Abandoned Mansion (อะแบนดอน แมนชั่น)
บาร์ใต้ดินแห่งใหม่ คอนเซ็ปต์ Gangster ยุค 1930 ได้แรงบันดาลใจจากช่วงเวลาหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ยุคที่บาร์แบบ Speakeasy ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด พร้อมๆ กับการมาของบรรดามาเฟีย และอาชญากรรมใต้ดินทั้งหลายแหล่ บาร์แห่งนี้จำลองบรรยากาศยุคนั้นไว้ได้อย่างน่าสนใจ
• Secret Cocktail Bar
Speakeasy แปลตรงตัวว่า ‘ค่อย ๆ พูด’ เป็นศัพท์สแลงที่อยู่คู่สังคมอเมริกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการบังคับใช้กฏหมายห้ามผลิตและซื้อขายสุราในสหรัฐอเมริกา จนทำให้ผู้คนต้องเสาะหาที่สังสรรค์กันแบบลับๆ บาร์ต่างๆ ต้องย้ายลงมาเป็นธุรกิจใต้ดิน อาศัยการบอกต่อแบบปากต่อปาก จนกลายเป็นต้นแบบของ ‘บาร์ลับ’ ที่เปิดในยุคนี้หลายๆ แห่ง เพราะหลายคนมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเสน่ห์และความสนุก
Speakeasy Bar จึงเป็นอีกตัวเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการค้นหา เพราะแต่ละร้านจะมีทางเข้าที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็ซ่อนตัวอยู่หลังครัวร้านอาหาร บ้างก็ใช้ฉากกิจการอื่นบังหน้า หลายครั้งเราเลยต้องขุดสกิลความช่างสังเกตออกมาใช้เพื่อมองหาป้ายร้านและทางเข้าสุดลี้ลับ
แต่มันก็คือเสน่ห์ของบาร์ลับที่เป็นสารกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของนักสำรวจยามค่ำคืน …ความตื่นเต้นในการค้นพบแหล่ง Hang Out ใหม่ๆ จึงถือเป็นความสนุกอย่างหนึ่ง
เรายกให้ อะแบนดอน แมนชั่น เป็นอีกหนึ่งในบาร์ลับที่สอบผ่านเรื่องบรรยากาศ อาหาร และเครื่องดื่มในคอนเซ็ปต์น่าสนใจ ด้านในตกแต่งกลิ่นอายธีมแก๊งสเตอร์อเมริกันในช่วงทศวรรษที่ 1930 แม้จะอยู่ในชั้นใต้ดิน แต่ก็มีเพดานสูงโปร่งทำให้เราไม่รู้สึกอึดอัด ประดับเฟอร์นิเจอร์โทนสีทอง และน้ำเงินแบบวินเทจไว้ทั่วทั้งบาร์ ชวนสะดุดตาตั้งแต่ทางเดินลงมายังชั้นใต้ดิน พรมทอสีแดงทอดยาวสุดปลายบันได ทั้งยังมีมุมฮิตไว้ให้เราได้ถ่ายรูปเช็กอินกันแบบเก๋ๆ พร้อมวางพร็อพไว้ให้เราได้เลือกตามชอบแบบจัดเต็ม
นอกจากนี้ยังมีซิการ์เลานจ์และระเบียงด้านบนกรุกระจกโดยรอบที่สามารถมองเห็นพื้นที่ภายในร้านได้ทั้งหมด ที่นี่มีดนตรีสดทุกวันทั้งแจ๊สและป๊อป เพิ่มบรรยากาศภายในบาร์ให้ดูสนุกสนานแบบครบรส
ก่อนพูดถึงค็อกเทล เราขอว่าด้วยเรื่องของอาหารจานเด็ดก่อนเลยละกัน เริ่มด้วยเมนูประจำร้านที่ไม่ว่าใครมาก็ต้องสั่ง The Godfather Wagyu Burger (580บาท) เบอร์เกอร์ขนมปังชาโคลเนื้อวากิวนำเข้าจากออสเตรเลีย เสริมรสด้วยซอสบาบีคิวโฮมเมด เสิร์ฟพร้อมมันเวจทอด ขนาดพอดีกำลังอิ่มท้อง
ส่วนใครที่อยากได้เมนูที่เบาท้องลงมาหน่อยเราแนะนำเป็น Octopus Salad (460บาท) สลัดปลาหมึกยักษ์ที่เชฟใช้กรรมวิธีซูวีจนเนื้อนุ่มฉ่ำ ทั้งยังได้ความสดชื่นจากแตงโมในขนาดพอดีคำ เสิร์ฟพร้อมซอสโยเกิร์ตและผักสลัดบอกเลยว่ากินเพลิน
จบท้ายกันที่เมนูใหม่ของทางร้าน อย่าง Moscato Alfredo (320บาท) ไอศกรีมไวน์ ออนท็อปด้วยซอสช็อกโกแลต มิกซ์เบอร์รี่สด และมาสเมโล่ ใครไม่ดื่มแอลกอฮอล์แนะนำให้สั่งของหวานทานเล่นก็ดีไม่แพ้กัน
• Story & Detail
เมนูที่เสิร์ฟใน อะแบนดอน แมนชั่น ได้แรงบันดาลใจมาจากเหล่าอาชญากรชื่อดังในอดีตที่ FBI ต้องการตัวในช่วงทศวรรษที่ 1930 นำมาสร้างสรรค์ค็อกเทลซิกเนเจอร์ในธีมต่างๆ เช่น ‘จอห์น ดิลลิงเจอร์’ ที่มีส่วนผสมของเหล้ารัมฮาวานากับน้ำตาลทรายขาว ใบสะระแหน่ มะนาวฝาน น้ำมะนาว และไซรัปคีเฟอร์ผสมโซดา
ว่าแล้วก็เปิดเมนูสั่งเครื่องดื่มกันหน่อย…เล่มเมนูถูกดีไซน์มาให้เรานึกรูปแบบหนังสือพิมพ์ประกาศจับในยุคนั้น โทนสีและสัมผัสกระดาษที่เลือกใช้ยิ่งเสริมบรรยากาศบนโต๊ะอาหารให้น่าตื่นตาตื่นใจ
และถ้าจะพูดถึงค็อกเทลซิกเนเจอร์ของ อะแบนดอน แมนชั่น ก็ต้องเป็น ‘อัล คาโปน’ นักเลงในยุครุ่งเรืองที่ได้สร้างองค์กรอาชญากรรมและการนำเข้าและค้าสุราเถื่อน ส่วนผสมของเครื่องดื่มเมนูนี้ประกอบด้วย วอดก้ากับซอสสตรอว์เบอร์รี่ ซอสแบล็คเบอร์รี่ ซอสราสเบอร์รี่ มะนาว และน้ำเชื่อมวานิลลา จัดเป็นค็อกเทลรสชาติเข้ม
ขยับมาที่เมนู MA BARKER (420บาท) แก้วนี้น่าจะเหมาะกับสาวๆ เพราะมีความหวานความหอมจาก พิงค์จิน ชาเบอร์รี่ และยังได้ความสดชื่นจากเลม่อน แก้วนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากลักษณะนิสัยของอาชญากรหญิงที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการอันเลวร้ายในยุคนั้น แต่แท้จริงเธอไม่ได้มีบทบาททางอาชญากรรม เป็นเพียงหญิงสาวที่มีจิตใจอ่อนโยนเหมือนอย่างผู้หญิงทั่วไป
ส่วนอีกแก้วที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ BONNIE AND CLYDE (430บาท) เป็นเรื่องราวคู่รักอาชญากรที่ยอมสละชีวิตเพื่อให้พวกพ้องหนีรอดจากการจับกุม ค็อกเทลแก้วนี้จึงมีสองเลเยอร์ ส่วนผสมหลักคือ จิน (American Dry Gin) และไวน์หวาน (Moscato Grape) อีกเลเยอร์จะเป็นไวโอเลตจิน เพิ่มสีสันและรสชาติให้แก้วนี้ดูน่าสนใจ
ใครอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศจากร้านประจำ เราแนะนำให้ลองมา อะแบนดอน แมนชั่น ดูสักครั้ง ยิ่งถ้าเป็นคอดนตรีแจ๊สและกำลังมองหาค็อกเทลบาร์ดีๆ แห่งใหม่ให้ได้ไปแฮงเอาต์ ที่นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีเลยล่ะ
Abandoned Mansion
ตั้งอยู่ชั้น B2 ของโรงแรม The Coach สุขุมวิท 14
เปิดให้บริการ วันอังคาร – วันอาทิตย์ ตั้งแต่ 18:00 – 02:00 น.
โทร 02 259 7007 หรือ dining@abandonedmansionbkk.com