

B Myself
เบื้องหลังแอบสแตรกต์ Fast Stroke ของชนิดา อรุณรังษี จากฝีแปรงและผืนผ้าใบใช้บอกเล่าตัวตน
- สนทนากับ บี – ชนิดา อรุณรังษี ศิลปินสายแอบสแตร็กส์ กับทางเบี่ยงในชีวิตที่คดเคี้ยวไปมากว่าจะได้บรรจบบนเส้นทางศิลปิน
แอบสแตร็กส์อาจเป็นศิลปะนามธรรมที่บางคนอาจเข้าใจว่าดูยาก แต่เวลาดูงานศิลปะบางครั้งมันอาจไม่จำเป็นต้องเข้าใจไปเสียทุกเมสเสจ แค่รู้สึกว่างานชิ้นนั้นสนทนากับเราอย่างไรก็พอ
ศิลปะแอบสแตร็กส์อาจไม่ได้คุยกับเราเป็นถ้อยคำเสมอไป แต่สื่อสารกับเราในแง่อารมณ์ความรู้สึก และความรู้สึกนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในวันที่เราเห็นงานของ บี - ชนิดา อรุณรังษี ในสตูดิโอสีขาวสองชั้นของเธอ
คู่สีและลวดลายฟรีสไตล์ดูราวกับว่าศิลปินสาดอารมณ์แบบสุดตัว เหมือนเธอกำลังระบายเรื่องราวที่อัดแน่นอยู่ในใจใส่ลงไปบนผืนผ้าใบขนาดใหญ่ดูคล้ายเหมือนเสียงตะโกน เราว่านี่แหละคือเอกลักษณ์ของ บี–ชนิดา งานของเธอไม่ใช่แค่ภาพวาด แต่คือร่องรอยของการมีชีวิตอยู่ด้วยความซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง
ค้นหา
เส้นทางของบีอาจไม่ได้โรยด้วยแรงบันดาลใจตั้งแต่เด็กเหมือนศิลปินหลายคน แม้เติบโตในบ้านอวลด้วยเสียงดนตรี แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบวินัยของครอบครัวที่มองว่าศิลปะเป็นเรื่องรอง บีในวัยเด็กจึงทำตามหน้าที่มากกว่าการตั้งคำถาม เธอเป็นเด็กดี ไม่เกเร บีย้อนเล่าถึงชีวิตบนเส้นทางหักเหหลายต่อหลายครั้งของเธอ มุมหนึ่งฟังแล้วดูเป็นความสนุกในชีวิตและอะไรๆ ก็ดูเหมือนมั่นคงบนเส้นทางอาชีพแอร์โฮสเตส
“รู้สึกว่าเราไม่ fit in กับสังคมเท่าไหร่” เธอบอก แล้วเล่าต่อว่า ช่วงที่ได้รู้สึกถึงคำว่าศิลปะจริงๆ ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ทำงานเป็นแอร์โฮสเตสด้วย ยิ่งรู้จักศิลปะ ยิ่งหลง ยิ่งหลงก็ยิ่งรู้สึกผิดกับหน้าที่ เรื่องราวของบีที่เล่าให้เราฟัง มันช่างเต็มไปด้วยดีเทลมากมาย เราจึงขอรวบรัดตัดภาพของหนังเรื่องนี้ไปสู่จุดที่เธอตัดสินใจปิดฉากอาชีพหลังจากอยู่กันมานาน 12 ปี แล้วเริ่มต้นใหม่บนเส้นทางศิลปะเลยแล้วกัน

บ่มเพาะ
สำหรับบี ศิลปะคือสิ่งที่เธอใช้เพื่อ “ทดลองเรียนรู้ตัวเอง” โดยไม่มีแรงกดดัน ถึงไม่ได้เรียนศิลปะเป็นเรื่องเป็นราว แต่การช่างสังเกต ค่อยๆ ซึมซับ พอมีโอกาสเจอกับศิลปินรุ่นพี่อย่างชลิต นาคพะวัน ก็ใช้โอกาสนั้นเรียนรู้จากเขา
“เราสามารถใช้ชีวิตแบบนั้นได้ไหม?” บีเริ่มตั้งคำถาม และแม้จะตัดสินใจปิดฉากงานบนท้องฟ้าลงมาเริ่มงานกับผืนผ้าใบ แต่ก็ยังไม่เป็นเช่นนั้น เธอมีจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่กลายเป็นคุณแม่และมีลูกชายที่ต้องอุ้มชู บีวางพู่กันไปหลายปี แต่เธอมองว่า ช่วงนี้คือเวลาบ่มเพาะกับการสร้างงานศิลปะ จนกลายมาเป็นบี ชนิดา ในวันนี้
บีเริ่มวาดรูปพอร์เทรตลูกชายจากโมเมนต์ยามบ่ายที่แสงแดดตกกระทบใบหน้าหนูน้อยพอดี ภาพนั้นพาเธอกลับไปวาดรูปอีกครั้ง เธอวาดพอร์เทรตคนในครอบครัวโดยไม่เน้นความเหมือน แต่เขียนจากสิ่งที่รู้สึกกับคนคนนั้นโดยเฉพาะแววตาที่ต้องคอนเน็ก สื่อสารกัน เขียนพอร์เทรตถึงจุดหนึ่งก็อยากขยับมางานแอบสแตร็กส์ที่รู้สึกชอบอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป แม้ว่าเธอมีสกิลทางศิลปะมาระดับหนึ่งแล้วก็ตาม
เป็นฉัน
เธอเชื่อว่า ศิลปะไม่เคยโกหก มันคือกระจกที่สะท้อนทุกความสับสน วุ่นวาย หรือความสงบในใจแบบตรงไปตรงมา การเขียนภาพแอบสแตร็กส์ของบีคืออีกก้าวหนึ่งที่เต็มไปด้วยความกล้า เพราะงานนามธรรมไม่ได้มีจุดยึดเกาะ ไม่มีกฎ ไม่มีแบบ เธอต้องลงมือในพื้นที่ที่ว่างเปล่า เผชิญกับความไม่แน่นอนตรงหน้า “งานช่วงแรกเรายังหาตัวเองไม่เจอ” เธอยอมรับ
การทดลองเทคนิคต่างๆ ล้มเหลวบ้าง สำเร็จบ้าง แต่สิ่งที่เธอได้กลับมาคือความเข้าใจว่า เราต้องเป็นตัวของเราเอง ยอมรับความเป็นตัวเอง และปล่อยให้มันไหลไปตามอารมณ์ความรู้สึกขณะนั้น
เรามองว่าจุดเด่นของงานบีคือ “สี” ที่จัดจ้าน ตัดกัน แม้ขณะที่เราพูดคุยกัน เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่าย แต่พอหันไปมองดูการใช้สีของเธอแล้ว “มันเป็นฉันในอีกเวอร์ชัน” เธอหัวเราะพร้อมย้ำว่า งานแต่ละชิ้นคือการสนองตัวเอง ไม่ใช่การทำเพื่อตลาด หรือเพื่อคำชมใดๆ
สิ่งที่บีสนใจคือการเชื่อมโยงระหว่างเธอกับผู้ชม ไม่ว่าจะเห็นภาพเดียวกันเป็นต้นไม้ หรือเป็นความวุ่นวายในหัวใจ ถ้ารู้สึกบางอย่างร่วมกันได้ นั่นคือความสำเร็จในผลงานชิ้นนั้นของเธอแล้ว
ร่องรอย
ศิลปะคือบันทึกของชีวิต เป็น “ร่องรอย” ที่บอกเล่าว่า เธอเคยมีชีวิต มีความรู้สึก มีวันที่เศร้าและวันที่ดี “บางทีงานชุดหนึ่งดำมาก เพราะเราหยิบช่วงนั้นของความรู้สึกขึ้นมาใช้”
บีไม่ได้ยึดติดกับคำว่า “สไตล์” เพราะเชื่อว่า ถ้าเรามัวแต่มองหาสไตล์ เราจะไม่มีวันเจอ “ต้องทำไปเรื่อยๆ จนเราพอใจ งานที่เติมเต็มเรานั่นแหละคือสไตล์ของเรา” เธอเชื่อว่า ความงามคือความไม่สมบูรณ์แบบ ธรรมชาติไม่มีอะไรเพอร์เฟกต์ ใบไม้ทุกใบต่างมีความงดงามในแบบของตัวเอง
ระหว่างบทสนทนาใน 2-3 ชั่วโมงที่ดูยาวนาน บีพาเราชมผลงานในสตูดิโอของเธออย่างสนุกสนาน เราถามว่าเธอใช้เวลานานไหมในการผลิตงานแต่ละชิ้น เธอบอกว่า ถ้าคอนเซปต์ไม่มา คิดยังไง ทำยังไง มันก็ไม่เกิด เหมือนยืนจ้องแคนวาสอยู่อย่างนั้นแต่ไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี
แต่ถ้าไอเดียมา ความรู้สึกใช่ เธอยอมรับว่าใช้เวลาไม่นานเลย ทุกอย่างจะเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เพราะเธอเป็นศิลปินที่ชอบสร้างสรรค์งานตามความคิดและสิ่งที่รู้สึกในช่วงนั้นที่ต้องทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสุดทาง น้อยครั้งมากที่จะหยุดพัก เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น แล้วกลับมาทำงานชิ้นนั้นต่อ
ไม่สำคัญว่าคนจะจดจำชื่อเธอได้หรือไม่ บีแค่อยากให้ภาพวาดของเธอเป็นสิ่งที่ “อยู่ในบ้านของใครบางคน” และทำให้เขารู้สึกดีทุกครั้งที่เดินผ่าน เธออธิบายว่า มันคงเป็นมรดกทางความรู้สึกที่ศิลปินคนหนึ่งอยากฝากไว้เท่านั้น
เราถามว่า วันหนึ่งบีจะขยับไปสู่ศิลปะอื่นๆ อย่างประติมากรรมไหม เธอพยักหน้า ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ และก็พร้อมเปิดใจทดลองอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา เมื่อเวลานั้นมาถึง เธอจะรู้สึกได้เอง แม้แต่การวาดภาพ เธอยังตอบไม่ได้ว่าจะวาดไปจนถึงอายุเท่าไหร่ รู้แค่ว่า “เราทำงานศิลปะเพราะมันคือชีวิต มันไม่ใช่งาน บอกไม่ได้หรอกว่าวันนี้บีพอใจแล้ว รู้ว่าตื่นมาแล้วยังอยากทำอยู่ คือคำตอบว่าทำไมถึงยังวาดรูป”
แล้วเราจะได้เห็นโซโลของบีกันอีกไหม…คำตอบซ่อนอยู่ในรอยยิ้มนั้น
ติดตามผลงานของบี ชนิดา กันได้ทาง IG : https://www.instagram.com/bechanida/