มองชีวิตชีวา Books & Belongings ร้านหนังสือย่านบางจากผ่าน 3 นักเขียนโปรดของ ‘โย-กิตติพล’
- มาค้นพบโลกของหนังสือผ่านสายตาของ โย-กิตติพล สรัคคานนท์ เจ้าของร้าน Books & Belongings ร้านหนังสืออิสระที่อยู่คู่ชุมชนนักอ่านย่านสุขุมวิท 95 มากว่า 10 ปี จะมีเรื่องไหนบ้างที่เป็นเล่มโปรดของเขา ไปดูกัน
รู้จัก 3 หนังสือ-นักเขียนคนโปรดในใจของเจ้าของร้าน Books & Belongings ร้านหนังสืออายุกว่า 10 ปี หนึ่งเดียวกลางซอยสุขุมวิท 95 ยังคงเชื่อมโยงผู้คนให้แวะเวียนเข้ามาผลัดกันค้นพบ และพัดพาหนังสือจากร้าน Books & Belongings กลับไปเปิดอ่านในสถานที่ใหม่
เราไม่ได้มานั่งคุยกับ ‘โย-กิตติพล สรัคคานนท์’ ถึงเรื่องของจุดเริ่มต้นในการทำร้าน Books & Belongings ว่าเป็นมาอย่างไร แต่มาเพราะการดำรงอยู่ของร้านหนังสือในซอยที่ถัดจากความวุ่นวายของถนนสายสุขุมวิทที่ทำให้เราอยากมองโลกของหนังสือผ่านเลนส์ของโย ผู้ดูแลร้านหนังสือที่ยังมีชีวิตแห่งนี้ ว่าแพสชันหรือความหลงใหลในหนังสือแบบไหนที่ทำให้ที่นี่ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีผู้คนแวะเวียนเข้ามา รวมถึงลูกค้าเก่าที่อยากสนับสนุนร้านหนังสืออิสระแบบนี้อยู่เสมอเป็นเวลานานจนเข้าปีที่ 12 แล้ว

Books & Belongings เกิดขึ้นจากโย โดยเริ่มต้นเมื่อปี 2013 ในซอยสุขุมวิท 91 ต่อจากนั้น วิกกี้-วิชุตา โลหิตโยธิน ก็เข้ามาเป็นหุ้นส่วนในจังหวะที่ต้องย้ายร้านมาอยู่สุขุมวิท 95 ในช่วงยุคโควิด-19 พอดี หนังสือในร้านเกิดจากความสนใจของคู่หูโย-วิกกี้ ที่โยมักอ่านงานสไตล์ปรัชญา วรรณกรรม และสายวิชาการ ขณะที่วิกกี้มักจะอ่านนวนิยายร่วมสมัย และหนังสือความรู้ทั่วไป ตั้งแต่สังคม ภาพยนตร์ ศิลปะ หรือแม้แต่พวกตำราอาหาร เรียกได้ว่าโยมักอ่านหนังสือที่มีโทนจริงจังและเข้มขรึม ในขณะที่หนังสือของวิกกี้มีโทนของความสนุก ความผสมผสานและหลากสีสันปะปนกันไป เป็นเหตุผลที่โยบอกกับเราว่า “จริงๆ แรกเริ่มเดิมทีหนังสือของที่นี่ไม่ได้มีหลากหลายขนาดนั้น มีแค่ 2-3 หมวดหลักๆ เท่านั้นแหละ”



นอกจากการเป็นร้านหนังสือแล้วโย-วิกกี้กับมิตรสหายยังก่อตั้งสำนักพิมพ์เล็กๆ ชื่อว่า “B&B Press” สำนักพิมพ์เล็กๆ ที่เปรียบเสมือนร่มคันใหญ่ที่กว้างพอจะรวบรวมหนังสือตั้งแต่ซ้ายเบาสบายไปจนถึงซ้ายที่ซ้ายกว่าที่สังคมไทยเข้าใจ รวมไปถึงงานแปลทั้งคลาสสิกและร่วมสมัยที่น่าสนใจ ตรงตามแนวคิดของสำนักพิมพ์

“สำนักพิมพ์เล็กๆ ของเราทำเอาสังคม เพราะเราไม่ได้หวังเรื่องกำไรอะไรจากตรงนี้ เป็นเหมือนหน้าที่ของเราที่มีต่อชุมชนมากกว่า ในส่วนร้านหนังสือ ลูกค้าที่ยังแวะมาที่ร้านเรา นอกจากต่างชาติและนักอ่านขาจรแล้ว ก็ยังมีลูกค้าเก่าที่ยังคงสนับสนุนเราเสมอมา แวะมาเยี่ยมเยียน มาซื้อหนังสือที่นี่อยู่เรื่อยๆ นอกจากนี้เรายังมีส่วนลดสำหรับสมาชิกในแบบที่เป็นมิตรกับคนซื้ออีกด้วย”



ความหลงใหลในหนังสือของโย-วิกกี้ทำเอาเราอยากเห็นโลกของหนังสือในสายตาของทั้งคู่ว่า มองหนังสือด้วยเลนส์แบบไหน ที่ทำให้ร้าน Books & Belongings ยังคงอยู่กับผู้คนและชุมชนนักอ่านจนถึงตอนนี้ แต่เนี่ยเสียดายที่รอบนี้วิกกี้ไม่ได้มานั่งคุยกับเราด้วย เราเลยเอาลิสต์หนังสือและนักเขียนแค่เฉพาะของโยมาแชร์ให้กับทุกคนได้เก็บเข้าลิสต์หนังสือที่น่าอ่านกัน

📖 มาร์แซล พรุสต์ (Marcel Proust) กับหนังสือ “In Search of Lost Time”
“ไม่รู้ว่ารู้จักไหม แต่จริงๆ เป็นนักเขียนที่กินเนสส์บุ๊กบันทึกเอาไว้ด้วยว่า นี่คือนวนิยายที่ยาวที่สุดในโลก เพราะมีความยาวประมาณ 4,000 หน้านะ”
โยเล่าว่า เขาชอบหนังสือเล่มนี้เป็นพิเศษ เพราะเป็นนวนิยายที่ปลายทางคือการค้นพบว่า มาร์แซ็ลตัวเอกของเรื่องต้องการเป็นนักเขียน พรุสต์พาเราย้อนกลับไปยังห้วงเวลาต่างๆ และการค้นหาก็คือการเล่าเรื่องราวมากมากมายเกี่ยวกับตัวตนและชีวิตของตัวเอก ที่มีเสี้ยวส่วนของชีวิตพรุสต์เองแทรกซ่อนอยู่ เป็นการเล่าที่ยิ่งกว่าการยกเรื่องราว ‘ตั้งแต่จำความได้’ คือตัวละครเอกของเรื่องได้ย้อนกลับไปเรื่องราวก่อนเขาจะเกิด หรือเริ่มจำความได้ด้วยซ้ำไป กระทั่งมาร์แซ็ลเติบโตและได้มีความรักและแต่งงาน มันเป็นอีกผลงานชั่วชีวิตของมาร์แซล พรุสต์ ที่ทำให้เราได้เห็นเรื่องราวมากมายในสังคม แนวคิด และการเมืองที่เป็นช่วงรอยต่อระหว่างศตวรรษที่ 19-20 รวมถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นผ่านเรื่องเล่าของมาร์แซ็ล

“นวนิยายของพรุสต์เหมือนมีให้เราทุกอย่าง ทุกรสชาติ และความคิดของเขาก็ลึกซึ้ง ชวนให้พินิจพิเคราะห์ ทั้งในประเด็นศิลปะ วรรณกรรม ความเป็นสังคม-การเมือง หรือแม้กระทั่งชีวิต เขาอาจไม่ใช่นักปรัชญา แต่นักปรัชญาจำนวนมากต่างก็อ้างอิง และเรียนรู้ผ่านผลงานของเขา ที่บางแง่มุมก็ลึกซึ้งไม่น้อยกว่านักปรัชญา นวนิยายของพรุสต์ไม่เพียงแสดงให้เราเห็นถึงวิธีเขียนที่เยี่ยมยอดที่สุดในยุคสมัยหนึ่ง แต่ยังทำให้ได้รู้ว่า วรรณกรรมสามารถสร้างให้เรามองเห็นมุมมองใหม่ๆ จากชีวิตได้อย่างไร”

📖 Maurice Blanchot Reader รวมข้อเขียนและผลงานวรรณกรรมของมอริส บลองโชต์ (Maurice Blanchot)
“ข้อเขียนของมอริส บลองโชต์ถือเป็นผลงานที่เปลี่ยนแปลง หรือทำให้ผมที่เคยฝักใฝ่สนใจแค่การเขียนความเรียง หรือบทวิจารณ์วรรณกรรมตามแนวขนบทั่วไป ได้เห็นว่า จริงๆ แล้วมีผลงานที่สามารถเป็นได้ทั้งวรรณกรรมและบทวิจารณ์ กระทั่งทำให้ได้เห็นว่า จริงๆ แล้ว งานจำพวกเรื่องแต่งและบทความไม่จำเป็นจะต้องแยกจากกัน แต่สามารถผสานรวมกันได้เป็นอย่างดี”
นั่นทำให้โยได้เริ่มเขียนงานจำพวกเรื่องแต่ง เรื่องสั้น หลังจากเคยเขียนแค่บทวิจารณ์ตามแนวขนบ การได้อ่านข้อเขียนของบลองโชต์ทำให้โยได้ทดลองเล่าความคิดหรือความรู้สึกบางอย่าง ผ่านเรื่องราวและชีวิตของตัวละครที่เขาจินตนาการขึ้น และพบว่าเขาตัวเองก็มีด้านของนักเขียนเรื่องสั้นและเรื่องแต่ง
“ผมคิดว่า มอริส บลองโชต์เป็นนักเขียนที่ช่วยให้เห็นความเป็นไปได้ของวรรณกรรม และทำให้หนังสือเล่มแรกของผม กลายเป็นรวมเรื่องสั้น แทนหนังสือรวมบทความหรือบทวิจารณ์ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจมากเมื่อมองย้อนกลับไป”

📖 Cinéma I-II ปรัชญาว่าด้วยภาพยนตร์ของจิลล์ เดอเลิซ (Gilles Deleuze)
เขาเป็นนักคิดชาวฝรั่งเศสที่ได้ใช้ภาพยนตร์มานำเสนอแนวคิดทางปรัชญา และไม่เพียงแค่นั้น แต่เดอเลิซยังแลเห็นว่า นักปรัชญา นักเขียน หรือศิลปินเอง มีความเหมือนกันอยู่ นั่นก็คือเป็น ‘ผู้สร้างสรรค์’ การได้เริ่มต้นอ่านงานของเดอเลิซ แม้ด้วยความยาก-ความทุกข์ทรมานใจ แต่ก็ทำให้เราได้ค้นพบภาพยนตร์ และวรรณกรรมอีกมากมายที่เขาอ้างอิง
“จิลล์ เดอเลิซทำให้ผมเห็นว่า ปรัชญาคือการสร้างสรรค์ผ่านแนวคิด (Concept) หากนักเขียนสร้างสรรค์ผ่านข้อเขียน จิตรกรสร้างสรรค์ผ่านเทคนิคต่างๆ สี เส้น ทีแปรง เดอเลิซก็มองว่า นักปรัชญาคือผู้สร้างแนวคิดบางอย่างขึ้นมา การอ่านงานของเดอเลิซในแง่นี้ทำให้ผมรู้สึกว่า ปรัชญาที่มักถูกอ้างอิงถึงความตาย การทำความเข้าใจความตาย เหมือนดังคำกล่าว/ชื่อบทความชิ้นสำคัญของมงแตญ (Montaigne) ที่ว่า ‘To philosophized is to learn to die.’ ได้กลายเป็นปรัชญาที่มีชีวิต หรือทำให้ผมได้เห็นด้านที่เป็นการสร้าง หรือกำเนิดขึ้นใหม่ และนี่ก็เหมือนจะเป็นหัวใจสำคัญของข้อเขียนทางปรัชญาของเดอเลิซที่ส่งผลกระทบต่อตัวผมเอง โดยเฉพาะการค้นหาชีวิตจากการผลิตสร้างข้อเขียน เรื่องเล่า ศิลปะ และแม้แต่ความคิดบางอย่างที่ผลักดันและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา”

ความคิดของนักปรัชญาคนนี้ทำให้โยได้ค้นพบแนวความคิดใหม่ๆ ที่ถ้าเมื่อไหร่เขาเริ่มจมดิ่งกับความคิดหนึ่ง หรือสภาพของสังคมตรงหน้าสิ้นหวัง วิธีการมองโลกแบบเดอเลซทำให้โยพยายามประกอบสร้างเครื่องมือทางความคิดใหม่ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้าง หรือแม้แต่เป็นอาวุธในการต่อสู้กับความหดหู่ไร้ทางออก อาจสรุปเป็นคำพูดง่ายๆ ให้เราเห็นภาพว่า “การอ่านงานของเดอเลิซบางทีก็เหมือน การอัดกาเฟอีนเข้าไปในความคิดของเรา”

นอกจากนักเขียนคนโปรด 3 คน และหนังสือ 3 เล่มที่โยชื่นชอบจนหยิบมาแนะนำแล้ว เราขอให้โยหยิบหนังสือ 1 เล่มในร้านที่นิยามความเป็น Books & Belongings ได้ดีที่สุดมาให้เราดูหน่อย ซึ่งหนังสือเล่มหนาเตอะที่โยเลือกมาใช้นิยามร้าน Books & Belongings คือ “The Anatomy of Melancholy” โดยโรเบิร์ต เบอร์ตัน (Robert Burton) ที่ครั้งแรกสุดเขาใช้นามปากกว่าเดิมว่า เดโมไครตัส จูเนียร์ (Democritus Jr.)
โยอธิบายว่า จริงๆ แล้ว โรเบิร์ต เบอร์ตัน ต้องการเขียนเพื่อขจัดความเศร้า เพื่อให้เราเข้าใจภาวะของความโศกตรม ด้วยความรื่นรมย์ และสนุกสนาน ดังนั้นมันจึงเป็นทั้งตำราและวรรณกรรมที่เขียนผ่านองค์ความรู้ทางการแพทย์ในยุคก่อนสมัยใหม่ ซึ่งมีความเข้าใจเกี่ยวกับร่างกายแตกต่างจากยุคปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นผลงานที่เรายังสามารถอ่านและค้นพบอะไรใหม่ๆ ได้เสมอจากด้านที่เป็นวรรณกรรมของมัน

“ผมว่างานของเบอร์ตันเล่มนี้อาจเข้าใกล้นิยามความเป็นร้านในแง่ที่มีทั้งความเป็นวรรณกรรม ปรัชญา ซึ่งสามารถอ่านได้ด้วยความสนุกสนาน
“และภายในหนังสือ Anatomy of Melancholy ก็เต็มไปด้วยหนังสือมากมายที่ถูกอ้างถึง คัดลอกมาไว้ภายใน และที่น่าจะใกล้เคียงกันกับแนวทางในร้านของเรา เราอยากให้หนังสือเป็นเครื่องมือต่อต้านความเศร้า ความทุกข์ ความผิดหวัง คือเราหวังว่าร้านเราจะมีหนังสือสักเล่มที่ทำให้คนอ่านเข้าใจความทุกข์ ความเศร้าของตนเอง และสามารถพ้นผ่านห้วงเวลาแย่ๆ ไปได้ และนี่ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นแนวคิดของร้าน Books & Belongings ในมุมมองของผม”



ใครอยากรู้ว่า ปรัชญาการฮีลใจคนจากความทุกข์ด้วยความรู้จะเป็นหนังสือหน้าตาแบบไหน ลองปล่อยใจแล้วหลบหลีกความวุ่นวายจากถนนสุขุมวิท มาหลบพักใต้ร่มแห่งความรู้กันได้นะ เพราะไม่แน่ว่าบางคนอาจจะค้นพบหนังสือที่เป็น Hidden Gem ในร้านนี้แบบไม่คาดคิดได้เหมือนกัน