About
ART+CULTURE

Teardrop Reborn

การกลับมาของ Golden Teardrop งานระดับตำนานของ ‘อริญชย์ รุ่งแจ้ง’ กับผลึกความคิดในวันที่ซื่อสัตย์กับตัวเอง

Beingthere Detour Be myguest FLAVOR Resound art+culture Insights Trends Business Insiders Balance Craftyard News
Read At ONCE
  • อริญชย์ รุ่งแจ้ง ศิลปินชั้นนำของเมืองไทยพางาน Golden Teardrop ที่เคยจัดแสดงใน Venice Biennale ปี 2013 กลับมาอีกครั้ง พร้อมความหมายที่ไม่เปลี่ยนไป มาฟังแนวคิด ตัวตน แรงบันดาลใจ และสิ่งที่ทำให้ศิลปินวางมือจากการสร้างผลงานใหม่ไปหลายปี

อริญชย์ รุ่งแจ้ง คือหนึ่งในศิลปินไทยที่โด่งดังระดับนานาชาติ ผ่านประสบการณ์การทำงานศิลปะมากมายทั่วโลก ทั้งเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ปกติเขาไม่ค่อยได้กลับมาแสดงผลงานที่ประเทศไทยเท่าไหร่นัก และระยะหลังก็หายหน้าหายตาไปจากวงการศิลปะ

หลังจากกลับมารับบทบาทเป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดงาน Thailand Biennale 2025 อริญชย์กลับมาเปิดนิทรรศการของเขาเอง…Golden Teardrop ผลงานที่เคยสร้างชื่อให้เขาในงาน Venice Biennale ปี 2013 โดยนำมาจัดแสดงอีกครั้งที่ Museum of Contemporary Art หรือ MOCA Bangkok รวมถึงผลงานชิ้นใหม่ซึ่งจะจัดแสดงอยู่ที่ MOCA แบบถาวรอีกด้วย

การกลับมาครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการนำผลงานระดับแถวหน้าของศิลปินกลับมา แต่เป็นโอกาสสำคัญที่พาเราไปพูดคุยกับความเปลี่ยนแปลงของศิลปินจากปี 2013 มาถึงปี 2025 ทั้งผลงานและตัวตนของอริญชย์ รุ่งแจ้ง เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

หลายคำตอบของเขา ทำเอาเราอึ้งไปเหมือนกัน แต่นี่คือเรื่องราวจากอดีตถึงปัจจุบันของ อริญชย์ รุ่งแจ้ง ทั้งตัวตน ความรู้สึก แรงบันดาลใจ และประวัติศาสตร์อันซับซ้อนที่ทำให้ทั้งตัวศิลปินและผลงาน Golden Teardrop ในปี 2025 … เป็นไปในแบบที่เป็น

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

ไอเดียตั้งต้น Golden Teardrop มาจากไหน?

จุดเริ่มต้นน่าจะปี 2010 หรือ 2011 ตอนนั้นผมไปเป็น Artist Residence ที่นิวยอร์ก เป็นโครงการให้ศิลปินได้จับคู่กับคนต่างประเทศ ทำงานกับศิลปินอเมริกันที่ไม่ใช่คนอเมริกัน ตอนนั้นผมได้จับคู่กับคนโดมินิกัน เราก็คุยกันว่า อะไรคือจุดร่วมทางประวัติศาสตร์ เพราะเราอยู่ไกลกัน

เราก็หาจุดเชื่อมไปที่การค้าน้ำตาลของยุโรป สมัยก่อนยุโรปผลิตน้ำตาลเองไม่ได้ ต้องมาเอาน้ำตาลที่ภูมิภาคเรา ทีนี้มันเกิดการปฏิวัติทางเกษตรกรรมขึ้น (Second Agricultural Revolution) เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวคิดทางเกษตรกรรม ทำให้เกิดเรื่องการค้าทาส การล่าอาณานิคม เพื่อเอาพื้นที่เอาแรงงานไปทำการเกษตร ซึ่งก็เกิดการล่าอาณานิคมทั้งในพื้นที่อเมริกากลางของโดมินิกัน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของไทย

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

หลังจากนั้นได้ไปยืนหน้าร้านขนมน้ำตาลในย่านควีนส์ ก็คิดถึงเรื่องขนมน้ำตาล นึกย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์ เรามาคิดว่าเรื่องธรรมดาในชีวิต จริงๆ แล้วสามารถพาเราไปสู่จุดไหนได้บ้าง ก็เป็นไอเดียสำคัญที่อยากสื่อออกไปผ่านงานชิ้นนี้ ส่วนเรื่องรูปทรงเอามาจากขนมทองหยอดที่คิดค้นโดยเท้าทองกีบม้า ทั้งหมดก็เป็นจุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจของผลงาน

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

มันมีอะไรลึกซึ้งกว่าที่เราเข้าใจกันหรือเปล่า?

ผลงานชิ้นนี้ซับซ้อนมากกว่าแค่เรื่องการค้าน้ำตาล หรือการหยิบสิ่งง่ายๆ ในชีวิตประจำวันไปต่อยอดเพื่อความสุนทรีของตัวเรา จริงๆ แล้วงานของผมจะพูดถึงประวัติศาสตร์ที่ไม่ถูกพูดถึงเสมอ ทำให้เห็นประวัติศาสตร์ผ่านงาน ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์เข้าด้วยกัน

แน่นอนว่างานนี้ยังพูดถึงประเด็นชาตินิยมด้วย เพราะทำอยู่ในช่วงประมาณปี 2011 – 2013 ช่วงที่ไทยมีประเด็นเรื่องชาตินิยมในเวทีการเมือง ชิ้นงานนี้จึงตั้งคำถามว่า “ชาตินิยมมีอยู่จริงไหม?” เพราะถ้าเรามองประวัติศาสตร์คือการรวมกันของหลายปัจจัย ประวัติศาสตร์อาจจะไม่ใช่เครื่องมือแสดงความเป็นชาตินิยมเพียงอย่างเดียวก็ได้

เราแค่อยากบอกว่า ชาตินิยมไม่ใช่แก่นของประวัติศาสตร์ แต่ประวัติศาสตร์มาจากจุดต่อร่วมกันมากมาย พันกันเยอะแยะวุ่นวายไปหมด

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

ตอนไปโชว์ที่เวนิซ ไม่ได้มีแค่ผลงานประติมากรรม แต่มีผลงานวิดีโอไปด้วย?

ใช่ๆ ก็ไปสัมภาษณ์เองนี่แหละ (ยิ้ม) วิดีโอพูดถึงความสัมพันธ์ทับซ้อนของประวัติศาสตร์ คือเวลาพูดถึงประวัติศาสตร์ เราพูดถึงแต่สิ่งที่อยู่ในหนังสือ แต่เราสามารถหาได้จากอีกแหล่ง ซึ่งก็คือเรื่องราวส่วนตัวที่ไม่ปรากฏในหนังสือ

วิดีโอนี้เล่าเรื่องราวของผู้หญิงญี่ปุ่นซึ่งเป็นภรรยาของเพื่อนผมเอง เธอมาเปิดร้านขนมหวานในไทย ทำทองหยิบทองหยอดขาย ขณะเดียวกันก็เล่าถึงชีวิตของครอบครัวที่เคยได้รับผลกระทบจากการโดนทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

เรากำลังพูดถึงเรื่องราวที่ถูกซ่อนไว้ในประวัติศาสตร์ ซึ่งจริงๆ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของภรรยาเพื่อน แต่คือเรื่องที่คนเป็นล้านประสบชะตาแบบเดียวกัน เป็นเรื่องใหญ่มาก จึงจำเป็นต้องหยิบยกชีวิตมนุษย์คนหนึ่งขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่า ผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์ใหญ่ สร้างความสะเทือนใจให้กับคนตัวเล็ก

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

ทำไมถึงเลือกใช้สีทอง?

สีทองคือภาพเชิงประวัติศาสตร์ พอเห็นสีทอง เรานึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะวัสดุมันเชื่อมโยงกับคุณค่า ความเชื่อ ถือเป็นสิ่งที่มีมูลค่า

แต่ว่าในวิดีโอที่เอาไปฉาย แสดงทั้งชีวิต ภาพความเป็นจริง เรื่องราวในประวัติศาสตร์ ผ่านวัตถุที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือเราอยากเล่นกับความขัดแย้งที่ว่า ทองคือสิ่งที่ใกล้กับคนไทยผ่านพระพุทธรูป เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อ แต่พอพูดถึงทอง กลับดูเป็นเรื่องของคนชนชั้นสูง แม้จะมาอยู่ในงานศิลปะ

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

จริงๆ งานของคุณก็ใช้สีทองบ่อยเหมือนกัน เพราะอะไร?

เรื่องวัสดุ (ทองเหลือง) ก็เรื่องหนึ่ง เรื่องสุนทรียภาพก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องความหมายคือสีทองมีคุณค่า เพราะเรากำหนดให้มันมีคุณค่า เพราะถ้าเราไม่กำหนดความหมายให้ มันก็ไม่มีความหมาย

เราไม่ได้จะเสียดสี แต่แค่อยากบอกว่า สีทองไม่ได้มีความหมายแค่ศาสนาหรือบุคคลสำคัญ แต่มันมีเรื่องของคนตัวเล็กด้วย อย่างขนมทองหยิบทองหยอดแบบนี้ ซึ่งงานของผมพูดถึงคนตัวเล็ก พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของชีวิตแบบธรรมดาสามัญ

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

ทำไมตัดสินใจกลับมาทำผลงาน Golden Teardrop อีกครั้งในปี 2025?

เรายังเห็นว่า ปัญหาที่เคยพูดไว้ยังอยู่ การเอาเปรียบทางการค้า การใช้ประโยชน์จากมนุษย์ การใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ มันไม่ได้เปลี่ยนไปไหน เพราะฉะนั้นถึงงานจะอายุเกิน 10 ปีแล้ว เรายังตีความใหม่ได้เสมอ

อย่างตอนนี้มีเรื่องเครือข่ายเข้ามา คือเรื่องของพรมแดนที่เรามองไม่เห็น เพราะอย่างตอนทำในปี 2013 เราพูดเรื่องชาตินิยม ก็เป็นเรื่องพรมแดนที่มีอยู่จริง แต่ทุกวันนี้เราพูดถึงพื้นที่ที่อยู่ในอากาศ แต่มันมีคุณค่า และคนสามารถเอาคุณค่านั้นมาซื้อพื้นที่จริงได้อะไรแบบนี้ ซึ่งทุกวันนี้ก็มีปัญหาเยอะนะพื้นที่ในอากาศพวกนี้

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

เรามองศิลปะเป็นแรงกระตุ้น เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างอิมแพ็ก บางทีมนุษย์ถ้าได้ข้อมูลแต่เราไม่รู้สึก ข้อมูลที่ได้รับมาก็จะหายไป งานศิลปะมีความสำคัญในการทำให้เข้าถึงใจคน คือการถูกฝัง ถูกประทับอยู่ในความรู้สึก อยู่ในจิตใจ

ศิลปะเป็นมิติหนึ่งที่อยากให้คนคิดมากขึ้นว่า บางทีผลลัพธ์ที่มหาศาลก็ทำลายคนตัวเล็กตัวน้อยเหมือนกัน อันนี้คือสิ่งที่อยากให้คนดูได้จากผลงาน

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

ทำไมประวัติศาสตร์กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานของคุณ?

เริ่มตั้งแต่เด็กเลย คุณพ่อไปทำงานที่เยอรมนี ประมาณ 2 ขวบครึ่งท่านก็เสีย คุณแม่มาเล่าให้ฟังทีหลังว่า คุณพ่อโดนซ้อมที่นั่น เพราะโดนคิดว่าเป็นคนฟิลิปปินส์ แล้วท่านป่วยอยู่แล้ว พอโดนทำร้ายอาการหนักต้องกลับมาที่ไทยแล้วก็เสียชีวิต

ตอนเด็กก็ไม่เข้าใจว่า “ทำไมพ่อต้องโดนซ้อม แล้วเป็นคนฟิลิปปินส์มันทำไม?” คือไม่เข้าใจเรื่องการเหยียดผิว แต่ก็อยากเข้าใจสาเหตุว่า ทำไม อะไรทำให้คนเกลียดพ่อถึงต้องโดนซ้อม

ก็เริ่มอ่านประวัติศาสตร์ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ชอบเลย เพราะประวัติศาสตร์นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้คนตัวเล็กๆ แบบเราได้รับผลกระทบ ประวัติศาสตร์ทำให้เข้าใจว่า สาเหตุคืออะไร ปัจจัยที่ทำให้เกิดคืออะไร

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

ชอบอ่านประวัติศาสตร์แนวไหนมากที่สุด?

ชอบหมดนะ ปรัชญาก็ชอบ มองว่าเป็นสิ่งที่เกิดมาก่อนตัวเรา ก็ควรรู้ไว้ อย่างปรัชญาตะวันตกกับตะวันออกก็ไม่เหมือนกัน คนกรีกก็มีความคิดอีกแบบหนึ่งตามสภาพสังคมของเขา ก็ต้องศึกษาถ้าเราอยากเข้าใจ

บางทีเวลาไม่เข้าใจอะไร กลับไปย้อนดูจุดเริ่มต้นในประวัติศาสตร์ก็เข้าใจมากขึ้นนะ คือความสนุกในการคิดของเรา

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

คุณเปลี่ยนความสนใจในประวัติศาสตร์เป็นผลงานศิลปะด้วยวิธีไหน?

ศิลปะเหมือนม่านหนาที่กั้นระหว่างสิ่งที่เราเห็นกับความเป็นจริง หน้าที่ของศิลปินคือทำให้ม่านตรงนี้บางลงให้มากที่สุด เพราะทำยังไงก็ไม่มีวันเป็นความจริง ความจริงเกิดขึ้นไปแล้ว กว่าหลายร้อยปีก่อน

ความเป็นจริงกับความไม่เป็นจริงคือสิ่งที่เราต้องนำเสนอให้ได้ ซึ่งการทำงานศิลปะให้ได้ดีต้องมีคุณภาพในการตัดสินใจ คุณภาพในการพิจารณา จะอ่านหนังสือกี่เล่ม จะมีประสบการณ์แค่ไหนก็ตาม แต่ ณ จุดที่เราต้องตัดสินใจในการทำออกมา ถ้าไม่มีการฝึกฝน ก็ไม่มีคุณภาพ ถ้าฝึกฝนให้ช่ำชองก็มีคุณภาพ ผมก็ฝึกฝนเยอะมากเหมือนกัน ถ้าฝึกมาก เราจะรู้ว่าผลลัพธ์ต่างกัน มันคือเรื่องความเข้าใจในตัวเอง การฝึกฝนในตัวเองด้วยเหมือนกัน

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

คุณผ่านบทบาทมาเยอะ ศิลปิน ภัณฑารักษ์ ตอนนี้เป็นคนดูภาพรวมงานใหญ่อย่าง Thailand Biennale ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อมองย้อนกลับไป คุณเห็นอะไรบ้าง?

รู้ว่าอะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญมากขึ้น คือยุคนี้เรามีสองตัวตน ตัวตนที่ถูกฝังในสังคม กับตัวตนที่เราเป็นจริงๆ เรื่องของเรื่องคือเรารู้แล้วว่าอะไรสำคัญ คือการไม่เอาตัวเองไปอยู่ในตัวตนสาธารณะ เวลาทำงาน เราทำในสิ่งที่อยากพูดออกไป ได้คิด ได้ทำออกมา

สิ่งสำคัญที่สุดคือความซื่อสัตย์กับตัวเอง ถ้าพูดถึงความเปลี่ยนแปลงจากอดีตถึงปัจจุบัน นี่คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดแล้ว

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

การรู้จักตัวเองทำให้รู้สึกอะไร?

ทุกวันนี้มีพื้นที่ให้เราสร้างตัวตนในพื้นที่สาธารณะเยอะมาก แต่ใช่ตัวตนของเราจริงหรือเปล่า? การรู้จักตัวเองทำให้เราไม่อ่อนแอไปกับตัวตนสาธารณะ

ถ้าไม่ยึดตัวตนที่เป็นของเรา และไปพึ่งพาแต่ตัวตนสาธารณะ โดยปราศจากความซื่อสัตย์กับตัวเอง ก็จะเป็นแบบสังคมทุกวันนี้ ทุกคนเบิร์นเอาต์ สังคมถูกเผาไหม้ เพราะอยากประสบความสำเร็จกันตลอดเวลา เป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

ตัวผมที่ทำงานในฐานะศิลปินยังรู้สึกว่า การได้ทำงานศิลปะคือการเป็นตัวเอง และความซื่อสัตย์ต่อตัวเองคือผลงานที่เราทำ ไม่ใช่ความสำเร็จในการแสดงงาน หรือการถูกเผยแพร่ซ้ำๆ บนหน้าสื่อ

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

ปัจจุบันชอบทำงานแบบไหนมากที่สุด?

ตอนนี้ไม่ชอบทำงานนะ อยากนอน (ยิ้ม) ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ พูดตรงๆ ว่าช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เกิดการสูญเสียเยอะ คุณแม่ก็เพิ่งเสียไปเมื่อปีที่แล้ว เหมือนว่าเรายังไม่พร้อมทำงานเกี่ยวกับตัวเองเท่าไหร่ เลยมาเป็น Artistic Director ให้กับ Thailand Biennale เพราะเรายังได้ทำงานศิลปะอยู่ และเป็นหนทางที่ไม่ต้องทำงานของตัวเอง ไม่ต้องเล่าเรื่องของตัวเอง

แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุยตลอดนะ คือคุยกับเพื่อนคนหนึ่งที่บอกว่าทำงานปีละ 2,000 ชิ้น ก็คุยกันขำๆ ว่า ถ้าทำต่อไปอีก 25 ปี รวมกันเป็น 50,000 ชิ้นเลยนะ …ก็คิดว่าจะทำงานศิลปะจนกว่าจะตายนั่นแหละ ไม่แน่หลังจบงาน Thailand Biennale อาจจะกลับมาทำก็ได้

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

ทุกวันนี้ความสุขของคุณคืออะไร?

ไม่มีนะ คือเราไม่ได้เชื่อในเรื่องความสุขหรือความทุกข์ ไม่ได้ตีความอะไรแบบนั้น แต่เชื่อในเรื่องแรงบันดาลใจ เรื่องความประหลาดใจ ถ้าอะไรแบบนี้คือชอบมาก และเกิดขึ้นทุกวัน ผ่านการทำงานศิลปะนี่แหละ เพราะเป็นสิ่งที่ชอบ เป็นสิ่งที่มีแพสชัน พอมีแพสชันแล้วทำอะไรก็สนุก

เพราะฉะนั้นถ้าจะตอบคำถามก็คงตอบว่า ความสนุกคือการทำงานศิลปะนี่แหละ

อริญชย์ รุ่งแจ้ง

นิทรรศการ Golden Teardrop จัดตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2569 ที่ Museum of Contemporary Art (MOCA BANGKOK)
Facebook: https://www.facebook.com/mocabangkok/
Instagram: https://www.instagram.com/mocabangkok/
Website: https://www.mocabangkok.com/

Tags: