- ชวนอ่านมุมมอง ‘เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์’ ผ่าน HEAVY นิทรรศการที่เปรียบเสมือนการทบทวนชีวิตของผู้กำกับคนนี้กับช่วงเวลาที่ผ่านมา ก่อนเข้าสู่การสร้างสรรค์เนื้องานใหม่ของเต๋อในวัย 40
เต๋อ-นวพล ผู้กำกับไทยที่ทำหนังพรีเซนต์สไตล์ของตนเองได้ชัดเจน แต่ละเรื่องยังหาลูกเล่นการเล่าในรูปแบบใหม่ๆ ไม่เคยซ้ำ กว่า 10 ปีเต๋อทำหนังมาแล้ว 8 เรื่อง แต่เขากลับเขียนคำอธิบายใน ‘HEAVY’ นิทรรศการล่าสุดทำนองว่า ‘ผมไม่สามารถแตะต้องผลงานของตนเองได้’ อาจเพราะไฟล์หนังที่เหมือนลอยอยู่ในอากาศ ฉายจบรอบก็คือจบ จะมีก็แค่โปสเตอร์โปรโมตหนัง พร็อพและเสื้อผ้าบางชิ้นของตัวละครที่พอจะเก็บได้ ซึ่งทำให้ผู้กำกับไอเดียแร๊งส์คนนี้กลับรู้สึกแบบนั้น
เต๋อต้องกลับไปขุดไฟล์ภาพถ่ายในฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำมากมายกว่า 50,000 รูป คัดเหลือ 120 รูป มาพรินต์ใส่กรอบขนาดเกือบ 2 เมตร ตั้งเป็นกองพะเนินกลางห้องจัดแสดงให้ฟีลเสมือนพื้นที่ขุดเจาะก้อนความทรงจำที่คนดูจะต้องมารื้อ ขน ยกภาพเหล่านั้น “น้ำหนัก” ที่เกิดจากการยกภาพถ่ายนั่นล่ะที่ทำให้ผู้กำกับคนนี้รู้สึกเหมือนได้แตะต้องผลงานของเขาจริงๆ สักที
วันนี้เราจะพาเขาทบทวนความเป็นเต๋อในช่วงวันเก่าๆ ก่อนก้าวเข้าสู่วัย 40 ผ่านบทสนทนาว่าด้วยเรื่องทั่วไปที่เขาดันตอบได้อย่างคนเข้าใจโลกสุดๆ
ที่ผ่านมา HEAVY กว่าที่คิด
“ชีวิตครึ่งหนึ่งของเราวนเวียนอยู่กับโลกของการทำหนังมาตลอดเลย” เต๋อพูดขึ้นเหมือนกำลังรีวิวชีวิตที่ผ่านมา ซึ่งในวันข้างหน้าก็คงไม่ต่างกัน แม้ในวันนี้เขามาในบทบาทเจ้าของนิทรรศการ แต่นิสัยชอบทดลองเสมือนอยากลองปรุงอาหารรสแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา ก็ยังเป็นซิกเนเจอร์ที่เอฟซีพร้อมใจหยิบช้อนขึ้นชิมเสมอ
HEAVY แม้เล่นกับพื้นที่และผู้คนคล้ายกับ I Write You A Lot (2016) และ Secondhand Dialogue (2019) สองนิทรรศการครั้งก่อนของเขา แต่ครั้งนี้เต๋อเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น
“เราแค่สร้างพื้นที่ใหม่ วางภาพถ่ายเป็นกองๆ เพื่อให้ผู้คนมาพบเจอกัน พอคุณเจอพื้นที่ใหม่ คุณจะเกิดความรู้สึกใหม่ เกิด Interact ระหว่างคนกับสิ่งของและระหว่างคนกับคนด้วยกัน เพราะรูปหนักมากต้องเรียกคนอื่นมาช่วยกันยก ความรู้สึกหนักและเหนื่อย เป็นใจความหนึ่งของเราเลย พอคุณต้องยกมันจะเกิดคำถามว่า ทำไมเราต้องมาออกแรงกับเรื่องพวกนี้วะ มันสำคัญด้วยเหรอ”
สารภาพว่าตอนยกภาพ เราก็เกิดคำถามนั้น กระทั่งเดินออกจากแกลเลอรี นาทีที่เดินหลงทางจนต้องพึ่ง Google Map ช่วยประเมินเส้นทางให้เสร็จสรรพ ถึงค่อยเก็ตว่าเราหลงลืมการได้อยู่กับรายละเอียดไปนานแค่ไหน เอาเป็นว่าในยุคนี้เราคงไม่มีโมเมนต์มานั่งรื้อกองแผ่นซีดีเหมือนจีนจากเรื่อง ‘ฮาวทูทิ้ง…ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ’ อีกแล้วล่ะ
พูดถึงหนังเรื่องนี้ การทิ้งข้าวของบางอย่างทำให้จีนนึกถึงอดีต แล้วการกลับไปยกภาพถ่ายในความทรงจำของตัวเอง เต๋อนึกถึงอะไร “มันจะไปพูดถึงความทรงจำในฐานะภาระแบบหนึ่งมากกว่าว่า นี่เราทำอะไรอยู่วะ แบกอะไรไว้อยู่ ภาพที่โชว์ก็คือเราในแต่ละช่วงวัย ตอนวัยรุ่นก็คิดอีกแบบ แต่พอตอนนี้ โห! มันหนักเหมือนกันนะ พอคุณทำหนังไป 8 เรื่องใน 10 ปี แล้วโลกของหนังมันไม่ปกติ มันสมมติขึ้นมา นักแสดงคนนี้พอคัตแล้วเป็นอีกคน มันมีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นตลอดเวลา เราก็ถ่ายรูปเยอะแบบตอนทำ เราไม่รู้ตัว พอมองย้อนกลับไป โอ้ เยอะแยะไปหมดจริงๆ”
มองโลกอย่างเต๋อ
ไม่ว่าจะถูกสัมภาษณ์มากี่ครั้ง เต๋อพูดเสมอว่าการทำหนังแต่ละเรื่องคือการบันทึกช่วงเวลาแต่ละวัยของเขา เต๋อใน Mary is Happy, Mary is Happy คงผ่านโลกมาน้อยกว่าเต๋อใน Die Tomorrow หรือเต๋อใน Fast & Feel Love จะเป็นยังไงถ้าขอให้เต๋อใน HEAVY ช่วยพูดถึงเต๋อคนก่อน
“อยากบอกตัวเองว่ามาถูกทางแล้ว ให้ไทม์ไลน์ที่ผ่านมาเป็นไปตามนั้นเลย คงจะดีถ้าเราไม่ต้องมารับรู้เรื่องต่างๆ ไปก่อนล่วงหน้า เราเลยคิดว่าที่ผ่านมาได้ทั้งหมด ก็เพราะความไม่รู้ ไม่คิดมาก แค่ทำในสิ่งที่อยากทำปีนี้ ทำไม่ได้ก็รอแป๊บ แต่ความยากของยุคนี้ คือมันรู้ไปหมด และรู้ว่าเราจะทำสำเร็จได้กี่แบบ หรือเฟลได้กี่แบบ จนไม่กล้าทำอะไร”
ท่ามกลางคนที่รู้ไปหมด เต๋อกลัวไหม เขาส่ายหน้า “เราไม่ค่อยกลัว มันผ่านพ้นอะไรหลายอย่างมาแล้ว แต่ว่าน้องๆ ที่เพิ่งเริ่มงาน สิ่งเร้ามันเยอะ ตอนเราไม่ได้มีสิ่งเร้าเยอะขนาดนี้ เช่น เราไม่ได้รู้ว่าผู้กำกับชาวต่างชาติในวัยเดียวกันเขาทำอะไรอยู่ ถ้ารู้เราคง เฮ้ย! เขาไปถึงไหนแล้ว เรามัวทำอะไรอยู่ การไม่รู้ว่าโลกเดินทางไปถึงไหน เราก็จะคิดเฉพาะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพอ วีคหน้าเราจะทำอะไร แต่เดี๋ยวนี้มันยากขึ้นแหละ จิตใจต้องเข้มแข็ง แต่ยุคนี้คุณสามารถหาคนที่สนใจอะไรเหมือนกันได้ง่ายมาก แต่ไม่ใช่ว่าคอนโทรลตัวเองไม่ได้ ก็เริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับคนนั้นคนนี้นะ”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ชวนสัมผัสได้ถึงความเข้าใจเพื่อนมนุษย์อย่างคนเจนโลกคนหนึ่ง และเพราะแบบนี้หนังของเต๋อแต่ละเรื่อง เรามักเห็นว่าตัวละครมีความซับซ้อนทางอารมณ์มากเหลือเกิน ทั้งยังทำให้เห็นความจริงอีกข้อด้วยว่า ผู้กำกับคนนี้สนใจผู้คนที่มาพร้อมความแตกต่างทางความคิดและการแสดงออกอยู่เสมอ
“การพูดคุยเพื่อศึกษาคนที่มาจากคนละเวลา ทั้ง Gen เด็กหรือ Gen ที่โตกว่า เราว่าเขาคิดเห็นอย่างไร บางทีได้เจอวิธีคิดด้วย โอ้! คิดอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ บางทีเอามาใช้กับงานก็ได้ เหมือนเป็นการเปิดทัศนคติ เปิดโอกาสให้เราได้แลกเปลี่ยนความแตกต่างโดยไม่ต้องเอาอายุมาเกี่ยวข้องหรอก”
เต๋อในวัย 40 ปี
“สิ่งที่เราสนใจจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เรื่องหมดไอเดียคงยังไม่เกิดขึ้นตอนนี้ แต่บางทีสมมติว่าอุตสาหกรรมหนังบังคับให้เราทำหนังแค่บางประเภท เช่น ให้ทำหนังวัยรุ่นโดนใจคนไวบ์นี้ มันก็มีสิทธิ์หมดไอเดียได้ เพราะตัวเราแก่แล้ว เราเล่าช่วงวัยนั้นไปหมดแล้ว จนไม่รู้จะเล่าอะไร ไม่มีอะไรบันดาลใจที่จะทำแล้ว” หนังเรื่องหน้าเต๋อตั้งใจจะเล่าเรื่องราวของคนวัย 40 กับสิ่งที่คนรุ่นนี้ต้องพบเจอ
“ผมคิดว่าอุตสาหกรรมหนังเราต้องเปิดกว้าง ไอเดียมันไม่มีวันหมดหรอก แต่พอคนอยู่ในโหมดการค้ามากๆ หรืออะไรที่ต้องทันสมัย แปลว่าคุณต้องหาช่องที่จะกลับไปตรงนั้นตลอดเวลา นักแสดงที่ผ่านประสบการณ์มาเยอะกลับไม่มีใครจ้างเล่นหนัง เพราะอายุมากขึ้น เพราะไม่มีพื้นที่ ไม่มีหนังที่เล่าเรื่องวัยนั้นๆ ถ้าเปรียบกับฮอลลีวู้ด ยิ่งแก่ยิ่งดัง เขามีคอนเทนต์รองรับนักแสดงทุกวัย อุตสาหกรรมการทำหนังบ้านเราในแต่ละฝ่ายจำเป็นที่จะต้องช่วยกันแก้ไขจุดนี้ไปทีละนิด เรามีวัยรุ่นยุคใหม่แล้วก็ให้เป็นหน้าที่เขา เราไม่ต้องไปแย่งเขา (หัวเราะ)”
เรากับเต๋อเดินกลับเข้าไปในห้องนิทรรศการ ยืนดูผู้คนรื้อกองภาพกองโตด้วยความอยากจะดูให้ครบที่ทำเอาเต๋อถึงกลับอมยิ้มอีกครั้ง บทสนทนาสุดท้ายจึงผุดเข้ามาในความคิด ‘HEAVY ตอบคำถามชีวิตตลอด 10 กว่าปีของเต๋อยังไง’
“HEAVY คือทั้งหมดที่เราสงสัยว่าตลอด 10 กว่าปีนี้ อะไรคือชีวิตกันแน่ ระหว่างนี้เราก็ค่อยๆ เคลียร์ข้อสงสัยไปเรื่อยๆ จากการเริ่มวิเคราะห์ตัวเองและสิ่งที่กำลังทำ ชีวิตที่ผ่านมา ก็มีทั้ง เออ… ตอนนั้นเราไม่น่าทำแบบนั้น หรือตอนนี้มันดีจังที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา งานนี้เหมือนการรีไวซ์ตัวเองมากกว่า คนเราควรจะมีเวลาทบทวนตัวเองสักหน่อยก็ดี จะได้รู้ว่าชีวิตก้าวต่อไป เราจะเลือกเอาอะไร ไม่เอาอะไร ถ้าไม่ทบทวนแล้วใช้ชีวิตไปเรื่อย ผมว่าเราก็คงไม่รู้จักตัวเองดีพอหรอก”
อยากให้ลองมาดูนิทรรศการ Heavy กันนะ อย่างน้อยน้ำหนักจากการยกในเวลาสั้นๆ อาจเป็นช่วงเวลาให้เราได้ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เผลอทำตกหล่นไปก็ได้
นิทรรศการ Heavy โดย เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์
ตั้งแต่วันนี้ – 11 พฤศจิกายน 2566 นี้
จัดแสดงที่ Bangkok Citycity Gallery
เปิดให้เข้าชมเวลา 13:00 – 18:00 น. (ปิดทุกวันอาทิตย์ – วันอังคาร)