Jamsan
‘จัมซัน’ นักวาดฝันร้ายจากซีรีส์ It’s OK to Not Be OK กับนิทรรศการปลุกฝันดีครั้งแรกในไทย
- ชวนคุยแบบเอกซ์คลูซีฟกับ ‘จัมซัน’ ศิลปินจากเกาหลีใต้ที่คนไทยตกหลุมรักข้างเดียวมานานจากงานอาร์ตในซีรีส์ดัง It’s OK to Not Be OK และ Encounter กับการมาจัดแสดงนิทรรศการในไทยครั้งแรกที่หอบเอาเพนติ้งใหม่เอี่ยมถึง 25 ภาพมาให้ชมกัน
‘จัมซัน’ ไม่เคยจัดแสดงนิทรรศการในไทยมาก่อน แต่ชาวไทยกลับคุ้นเคยผลงานของเขาแบบไม่รู้ตัวจากลายเส้นขยุกขยุยหม่นมัวในนิทานของ ‘’โกมุนยอง’ (ซอเยจี) นักเขียนผู้มีปมทางจิตใจในซีรีส์ It’s OK to Not Be OK (2020)
หรืออาจจะผ่านตามากับดิจิทัลอาร์ตว่าด้วยเจ้าชายและเจ้าหญิงที่พบกันใต้แสงจันทราจากซีรีส์ Encounter (2018) ที่คนดูติดตามไปกับความรักของพนักงานหนุ่ม พัคโบกอม กับท่านประธานหญิง ซงฮเยคโย
ขณะที่บางคนอาจออกเดินทางกลางหมู่ดาวไปกับเด็กหญิงตาโตและพลพรรคเก้าอี้หมีสีแดง กระบองเพชรเพื่อนรัก และดอกกุหลาบเจ้าน้ำตาในเพนติ้งชุด Red Chair ไปจนถึง Rose from the Stars
นี่คือครั้งแรกที่ ‘จัมซัน’ ออกเดินทางจากเกาหลีใต้มาเมืองไทย พร้อมนำผลงานศิลปะทั้งหมดนี้มากำนัลอาร์ตเลิฟเวอร์ในนิทรรศการ Jamsan’s Director’s Cut และพูดคุยแบบ Exclusive Talk กับ ONCE
โศกนาฏกรรมของคนวัยผู้ใหญ่
“สวัสดีครับ ผมจัมซัน ผมเป็นคนทำงานเพนติ้งและงานศิลปะ”
ศิลปินชาวเกาหลีใต้กล่าวแนะนำตัวเป็นครั้งแรกกับผู้เสพศิลปะชาวไทยที่มารวมตัวกันคับคั่งที่ Maison JE Bangkok
“ทุกคนน่าจะมาไกล แต่ผมน่าจะมาไกลกว่า” เขาหัวเราะเสียงแห้งเล็กน้อยเพราะเพิ่งลงเครื่องถึงเมืองไทยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ “ผมไม่ค่อยได้ไปไหนมากนัก และนี่คือการมาเมืองไทยครั้งแรก ซึ่งทำให้ผมได้รู้ว่า อ๋อ นี่สินะคือการมาเที่ยว”
ใครกันมาเที่ยวแต่แทบไม่มีเวลาได้ออกไปเที่ยวชมบ้านเมือง เมื่อจัมซันโดนรุมล้อมตลอดเวลาจากผู้หลงใหลในลายเส้นดิบกร้าวที่เล่านิทานฝันร้ายของ ‘โกมุนยอง’ นักเขียนนิทานสุดดาร์กในซีรีส์ It’s OK to Not Be OK ที่ตกหัวใจคอซีรีส์สายเกาทั่วโลก และกลายเป็นการจุดพลุให้จัมซันโด่งดังในชั่วข้ามคืนมาจนทุกวันนี้
“ภาพวาดชุดนี้คือการเดินทางของเด็กหญิงคนหนึ่งไปยังที่ต่างๆ” จัมซันบอกเล่าอยู่เบื้องหน้าภาพเด็กหญิงนั่งเก้าอี้สีแดง ภาพเปิดเพนติ้งชุด Red Chair “ผมพยายามวาดลายเส้นออกมาให้ดูน่ารัก เพื่อจะได้เข้าถึงทุกคนได้ง่าย แต่เนื้อความที่อยากถ่ายทอดมาจากมุมมองชีวิตของคนวัยผู้ใหญ่”
จัมซันในวันนี้ใช้วิธีพลิกกลับจากสมัยวาดหนังสือนิทาน 5 เรื่องจากซีรีส์ It’s OK to Not Be OK ที่กลายเป็นหนังสือขายดีและสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในเกาหลีใต้ให้ผู้ใหญ่กลับมาอ่านนิทานสุดดาร์ก แต่ในเพนติ้งชุด Red Chair และ Rose from the Stars เขาแฝงโศกนาฎกรรมที่คนวัยผู้ใหญ่พานพบอย่างแยบยลยิ่งขึ้น ความเจ็บปวดโศกศัลย์ถูกบอกเล่าผ่านสัญญะที่แลดูอ่อนหวานเป็นมิตร
• ดอกกุหลาบคือภาพแทนของความรักที่เราละเลยไป
• ต้นกระบองเพชรคือความเจ็บปวดที่เรากักเก็บไว้
• บ้านสีฟ้าคือความเศร้าและความเจ็บปวดที่ผมเคยชีวิตอยู่ในบ้านหลังหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว
• บางภาพมีรูปดาวตกอยู่บนพื้นบ้าง หรือดาวที่กำลังตกจากฟากฟ้าบ้าง ดาวเป็นตัวแทนของช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต ซึ่งอาจจะผ่านไปแล้วหรืออาจจะยังมาไม่ถึงก็ได้
• สีแดงคือความโลภ เวลาที่เราใช้ชีวิตไป เราย่อมต้องมีบางสิ่งที่เราอยากมีอยากได้ ในรูปคือหมีสีแดง เพื่อให้เก้าอี้เดินทางไปกับเด็กหญิงได้ทุกที่ จึงเปลี่ยนเก้าอี้ให้เป็นหมีสีแดง
“ในทุกๆ ภาพของผมน่าจะมีความหวังแฝงอยู่ในนั้นด้วย” จัมซันเหลียวมองเพนติ้งทั้ง 25 วาดที่โอบล้อมรอบตัวเขาไว้ “ผมเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ผมแตกต่างก็คือ ผมเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการถ่ายทอดความคิดให้เป็นภาพ”
K-Drama สู่ K-Art
จัมซันทำงานคอนเซ็ปต์อาร์ต ดิจิทัลอาร์ต และเพนติ้งมากว่า 25 ปีแล้ว แต่จุดเปลี่ยนสำคัญครั้งที่ 2 ในอาชีพของเขา (ตามอ่านได้ว่าจุดเปลี่ยนครั้งแรกคืออะไร) มาในรูปของโอกาสได้วาดภาพประกอบให้กับซีรีส์ It’s OK to Not Be OK ในปี 2020 เมื่อตัวละครเอกของเรื่อง ‘โกมุนยอง’ รับบทโดยนักแสดงซอเยจีมีอาชีพเป็นนักเขียนนิทาน ซึ่งต้นธารเรื่องเล่าของเธอมาจากห้วงเวลามืดมิดในวัยเด็ก ทั้งการเห็นพ่อทำร้ายแม่ โดนแม่ทารุณร่างกายและจิตใจ
เธอใช้ปมใหญ่ในชีวิตมาเขียนนิทานดำข้นคลั่ก เป็นต้นว่า เด็กชายที่เติบโตมาด้วยการกินฝันร้าย เจ้าหมาที่โดนพันธนาการชั่วนิรันดร์เพราะมันชาชินกับโซ่ตรวน กลุ่มคนที่ออกตามหาใบหน้าที่แท้จริงแต่สิ่งแท้จริงยิ่งกว่าคือพวกเขาไม่กล้าลุกขึ้นตามหาความสุข เด็กชายซอมบี้ที่แม่สละร่างกายให้กัดกิน หรือเด็กหญิงที่งดงามราวกับเจ้าหญิงแต่ทำอะไรเองไม่เป็นนอกจากรอให้แม่ป้อนทุกอย่างให้
ใครที่เคยดูซีรีส์เรื่องนี้ย่อมเป็นประจักษ์พยานถึงความมหัศจรรย์ของศิลปะแห่งเรื่องเล่าและเรื่องราวที่เต็มไปด้วยศิลปะ ผู้คนจึงควานหาตัวกันให้ควั่กว่าใครกันคือเจ้าของลายเส้นขยุกขยุยในเรื่องราวสุดขมุกขมัวนี้
“ผมไม่ได้ดูอะไรเลย ไม่ได้ดูบทด้วย” จัมซันเล่าเบื้องหลังการวาดภาพประกอบให้กับซีรีส์เรื่องดัง “เพราะว่าตอนที่ทำผลงานชิ้นนี้ ผมมีเวลาค่อนข้างน้อย เหมือนอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องวาดออกมาแล้ว ผมทำงานศิลปะเชิงพาณิชย์แบบนี้มา 20 กว่าปีแล้ว เวลาจะเริ่มงาน ผมต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้ว่าจ้างและกลั่นกรองออกมาอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญคือเราต้องตัดสินใจให้เร็ว
“ด้วยความที่ผมมีประสบการณ์การทำงานแนวนี้มาก่อนจึงเข้าใจคอนเซ็ปต์ได้เร็ว พอผมรับบรีฟจากผู้กำกับก็ต้องเอาสิ่งที่อยากจะวาดกับเวลาที่จำกัดมาชั่งน้ำหนักกันแล้วตัดสินใจว่าจะวาดออกมาอย่างไร ผมข้าใจว่างานที่ผมทำน่าจะออกมาในซีรีส์แค่ไม่กี่วินาที ผมจึงเลือกถ่ายทอดความรู้สึกผ่านลายเส้น ตอนนั้นพอคุยกับผู้กำกับเสร็จก็มาคิดหาวิธีว่าจะให้คนดูเข้าใจเรื่องราวและความรู้สึกภายใน 3 วินาทีได้อย่างไร และที่ผมเลือกลายเส้นแบบนี้เพราะคิดว่าน่าจะทำให้เกิดความรู้สึกร่วมของคนดูได้เร็ว กลายเป็นว่าคนดูเองก็ชื่นชอบ ผลงานของผมเลยได้ปรากฏอยู่ในซีรีส์มากขึ้นไปด้วย ผมเองทำงานวาดรูปมานานมาก แต่ผลงานในซีรีส์เรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่จะจดจำไว้อย่างดีเลย
“พอย้อนคิดแล้วก็เป็นการทำงานที่เหนื่อยเหมือนกันนะ” จัมซันหัวเราะเริงร่าขณะพาเดินชมงานวาดประกอบจากซีรีส์ It’s OK to Not Be OK ซึ่งเรามองคนวาดกับชิ้นงานสลับกันไปมาแล้วได้แต่สงสัยว่า ชายหน้ายิ้มเหมือนหมีสีแดงที่เขาวาดขึ้นมานี้ ต้องมีมุมลับอับแสงในตัวมากมายเพียงไร จึงสามารถถ่ายทอดโศกนาฏกรรมของชีวิตสุดดาร์กเหล่านี้ออกมาได้อย่างเข้าอกเข้าใจถึงเพียงนี้
“การใช้ชีวิตในโลกใบนี้มีทั้งความสนุกและความน่ากลัวปะปนกันไป” เขาหยุดยืนหน้าสเก็ตช์ภาพเมื่อหลายปีก่อนของตัวเอง ราวกับเหลือเชื่อเหมือนกันที่สร้างงานปริมาณมหึมาขนาดนี้ได้ในชั่วเวลาสั้นๆ “ผมชอบวาดซอมบี้เพราะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายและเข้าใจความหมายแฝงได้ ส่วนที่เลือกวาดเป็นนิทานเด็กก็เพราะเป็นวิธีถ่ายทอดเรื่องราวที่ไม่ได้อ้อมโลกมากเกินไป ขณะเดียวกันก็ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวโต้งๆ ตรงๆ ขนาดนั้น”
งานศิลปะคือศิลปะของการอ่านระหว่างบรรทัด
When A Man Met A Woman
อีกห้องเป็นผลงานในลายเส้นและสไตล์ที่ต่างไปจากสิ้นเชิงกับงานภาพประกอบนิทานและเพนติ้ง จัมซันนำเราไปชมดิจิทัลอาร์ตที่กลายไปเป็น Intro Sequence ของ Encounter ซีรีส์รักดราม่าสุดละมุนของลูกจ้างหนุ่ม (พัคโบกอม) ที่พบรักกับท่านประธานหญิง (ซงฮเยคโย)
พวกเขารักกันมากพอจะยอมให้ทั้งโลกเกลียด และจัมซันถ่ายทอดความรักที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนี้ด้วยภาพชายหนุ่มกับเจ้าหญิงลอยล่องไปอยู่เหนือจันทร์ ครองคู่กันท่ามกลางคำอวยพรของดวงดารา ราวกับบอกใบ้บทสรุปที่ว่า ความรักเอาชนะทุกสิ่ง
หลังจากเห็นลายเส้นอันหลากหลายและศักยภาพในตัวของศิลปินจากเกาหลีใต้ มีผู้ชมงานหลายคนทาบทามให้เขาไปร่วมงานด้วย “ตอนนี้งานเยอะมาก” เขาตอบเป็นเชิงออกตัว “ที่ผ่านมามีคนชวนไปทำโปรเจกต์ด้วยเยอะ ก่อนจะรับงานไหน ผมจะถามก่อนเลยว่าต้องวาดเยอะแค่ไหน ถ้าต้องวาดเยอะๆ ผมก็ทำไม่ไหวเหมือนกัน อย่างที่เห็นสภาพผมในตอนนี้ที่ทำงานหนักมาก” เขาก้มลงมองดูตนเองในเสื้อยืดสีดำ กางเกงสีดำ สนีกเกอร์สีพื้น ทุกอย่างบนตัวเขาเรียบง่ายอย่างที่หากเดินผ่าน คุณจะไม่คิดว่าเขาเป็นศิลปินผู้มีจินตนาการสุดแฟนตาซีและใช้สีได้น่าอัศจรรย์เช่นนี้
หากนั่นก็เป็นสิ่งที่ผู้คนชื่นชมเขา หนึ่งในนั้นคือ Elsie Lu หนึ่งในสองผู้ร่วมก่อตั้ง Maison JE ที่บอกถึงเหตุผลที่ชวนจัมซันมาเปิดนิทรรศการในไทยครั้งแรก
“เคยเห็นผลงานของเขาที่ไต้หวัน คาแรกเตอร์ที่เขาทำออกมาก็เจ๋งมาก คนไทยเองก็รู้จักผลงานของเขาจากซีรีส์ทั้งสองเรื่องดีอยู่แล้วด้วย เราชื่นชอบในผลงานของเขามากๆ เลยไปคุยกับเขาว่าอยากให้มาแสดงงานที่เมืองไทย ซึ่งเขาไม่เคยมามาก่อนด้วย” เอลซีกล่าว
“เป็นคนไต้หวันที่อยู่ไทยมา 12 ปีแล้ว ส่วนตัวเป็นนักสะสมงานศิลปะ ซื้อไปซื้อมาก็มีแพสชัน และอยากจะทำแกลเลอรีที่ไทย เพราะได้เห็นงานของศิลปินไทยที่เจ๋งๆ เยอะมาก แต่ทำไมศิลปินไทยไม่ค่อยไปแสดงงานที่ต่างประเทศ ส่วนศิลปินจากต่างชาติก็มาแสดงงานที่ไทยน้อย เลยคิดว่าเราตั้งใจนำศิลปินจากต่างประเทศมาแสดงงานที่นี่และพาศิลปินไทยไปแสดงงานที่ไต้หวันและที่อื่นๆ เดือนหน้า Maison JE Teipei ก็จะเปิดและใหญ่ด้วย เอลซีกับโจนัส พี่ชายวางแผนจะไปเปิดที่ประเทศต่างๆ ช่วยๆ กันทำเพื่อวงการศิลปะค่ะ”
EXCLUSIVE INTERVIEW
จัมซัน – ขุนเขาที่หลับใหล
หลังจากกิจกรรม Fan Signing แจกลายเซ็นให้กับด้อม Red Chair กันแล้ว คุณศิลปินจัมซันยังใจดีให้เวลาพูดคุยแบบเอ็กซ์คลูซีพกับ ONCE แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ เพราะพลังชีวิตเขาขึ้นขีดเตือนแล้ว แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงเขาจะกลับมาเมื่อคนซักถามเกี่ยวกับผลงานของเขาอย่างใส่ใจ และเขาก็เอาใจใส่ตอบเหมือนพูดถึงลูกๆ แสนรักของตัวเอง
ทำไมวาดหน้าเด็กผู้หญิงไม่แสดงอารมณ์ทุกรูปเลย
การวาดหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ออกมาคือสิ่งที่ผมพยายามทำมากที่สุดเลยนะ เป้าหมายสูงสุดของผมคืออยากให้คนถามว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงทำหน้าแบบนี้ตลอดเวลา และสิ่งที่ยากมากๆ อีกอย่างคือการวาดปาก เพราะปากจะเป็นตัวดึงอารมณ์ในรูปนั้นๆ ได้ มันเป็นเส้นตรงเล็กๆ ที่ต้องใช้พู่กันเบอร์เล็กวาด ตอนวาดมือผมสั่นมาก ปากเด็กคนนี้น่าจะบางกว่าตอนผมเซ็นลายเซ็นเสียอีก
คุณเคยโพสต์อินสตาแกรมถึงเพนติ้งลำดับที่ 40 ซึ่งเป็นรูปวาดเด็กผู้หญิงตาโตคนนี้ว่าเคยส่งไปประมูลเมื่อสองปีก่อน จากนั้นก็ไม่เคยพบกับภาพนี้อีกเลย หากใครได้ครอบครองภาพนี้ไป ช่วยดีเอ็มมาหาที คุณรู้สึกอย่างไรกับภาพที่ถูกขายไป
อืม มันเป็นรูปเมื่อ 3 ปีก่อน และขายไปแล้ว ผมคิดถึงรูปเหล่านั้นมาก แต่จริงๆ แล้วก็ต้องรับความรู้สึกว่างเปล่าจากการขายรูปเหล่านั้นไปให้ได้ และผมก็วาดรูปใหม่ๆ ออกมาอีกอยู่ดี เหมือนกับว่าเราชอบสุนัข แต่เราคงไม่สามารถเลี้ยงสุนัขได้ 100 ตัวหรอกใช่ไหม
แต่รูปเหล่านี้ไม่ว่ามันจะไปอยู่ที่ไหน มันได้มอบการปลอบประโลมหรือการปลอบใจให้แก่ผู้คนได้ นี่คืองานที่ผมต้องทำและเป็นงานที่สำคัญมากๆ สำหรับผมด้วย มีบ้างบางปีที่ผมไม่ได้ขายรูปที่ชอบมากๆ สัก 2-3 รูป มันอาจไม่ใช่รูปที่ดีที่สุด บางทีเป็นแค่รูปที่สเก็ตช์เอาไว้ ผมจะเก็บไว้เป็นของขวัญให้กับตัวเอง
จุดเปลี่ยนสำคัญครั้งแรกในอาชีพของคุณคือ ก่อนหน้านี้คุณเคยทำงานเป็นอาร์ตไดเร็กเตอร์ แต่สุดท้ายตัดสินใจลาออกมาเป็นศิลปิน และก็เป็นศิลปินที่ไม่เป็นที่รู้จักนานเป็น 20 ปีเลย อะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจหันหลังให้กับงานที่มั่นคงแล้วมาทำงานศิลปะ
จริงๆ แล้วความฝันในวัยเด็กของผมคือนักวาดการ์ตูน พอผมลองทำงานอื่นๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่าผมไม่ได้วาดออกมาจากตัวเอง ผมรู้สึกเหมือนเอาความคิดของคนอื่นมาวาดมากกว่า การได้ทำสิ่งที่มาจากความคิดของตัวเองสำคัญมากสำหรับผม แต่การได้ไปทำงานเหล่านั้นเหมือนทำงานเพื่อขายออกไป เป็นงานเลี้ยงปากท้อง แต่มันไม่ใช่ความฝันของผมเลย ผมแยกแยะได้ว่าอะไรคืองานที่ผมอยากทำจริงๆ กับงานที่ทำเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง
เส้นทางของผมต่างไปจากคนที่เริ่มต้นมาก็เป็นศิลปินตั้งแต่แรก ซึ่งแบบนั้นจะยิ่งเหนื่อยกว่าด้วยซ้ำ แต่ผมเป็นคนมองตามความเป็นจริงจึงเลือกจะทำงานที่เลี้ยงปากท้องได้ก่อน แล้วค่อยพยายามเอาสิ่งที่ตัวเองอยากทำเข้ามาในชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะเป็นวิถีทางที่ต่างกันและทางนี้อาจทำให้เราประสบความสำเร็จในสิ่งที่อยากทำช้าหน่อย แต่ก็ทำให้ผมจับจุดได้เร็วกว่าคนอื่น เพราะเคยทำงานในสายอาร์ตมาก่อนแล้ว ผมคิดว่าเป็นวิธีที่แตกต่างกันแค่นั้น
เวลามีคนที่เพิ่งเข้ามาทำงานสายอาร์ตใหม่ๆ มาขอคำปรึกษา ผมมักจะบอกไปว่าอย่าคิดมาก ต้องเริ่มลงมือทำก่อน มันก็มีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ แต่อย่าไปกังวลกับมันมากนัก ให้เริ่มลงมือทำก่อน ความฝันของผมคือการเป็นคนวาดรูป สร้างสรรค์ศิลปะ จริงๆ แล้วการที่เราเอาสิ่งที่เราชอบมาเป็นงาน สุดท้ายเราก็ยังชอบมันอยู่ดี การเป็นนักวาดรูปเป็นสิ่งที่ผมอยากเป็นมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และผมแค่อยากให้คนมองว่าผมคือคนที่ถ่ายทอดเรื่องราวและความรู้สึกต่างๆ
โฟโต้บุ๊กของคุณจัมซันมีเรื่องราวและลายเส้นที่ดูดาร์ก น่ากลัว ไม่ได้สดสวยน่ารักเหมือนงานอื่นๆ อะไรที่ทำให้คุณคิดฉีกตัวเองออกมาทำงานในลักษณะนี้
ผมอยากให้ลายเส้นและเรื่องราวแบบนี้เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของผมเลย มันเป็นลายเส้นค่อนข้างพิเศษ เวลาวาดรูปเหล่านี้ใช้เวลาไม่เท่าไรก็เสร็จแล้ว แต่งานเพนติ้งนี่ใช้เวลานานมาก รูปหนึ่งหลายสัปดาห์กว่าจะเสร็จ งานเพนติ้งง่ายตอนคิด ผมมีภาพในหัวหมดแล้วว่าจะวาดอย่างไร แต่ต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าจะเสร็จ ผมไม่มีความอดทนมากขนาดนั้นเลยจริงๆ เพราะมันเป็นสีน้ำมันด้วย เลยใช้เวลาวาดนาน
งานเพนติ้งของคุณมีฝีแปรงชัดเจนมาก เป็นความตั้งใจจะทำให้มีสัมผัสของมนุษย์ในยุคเอไอที่ generate รูปได้เนี้ยบกริบหรือเปล่า
ผมคิดว่าในยุคเอไอนี้ การเติมเรื่องราวเข้าไปในผลงานเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ผมคิดว่าเรื่องราวที่ใส่เข้าไปในภาพต่างๆ จะทำให้ความรู้สึกและผลลัพธ์ออกมาต่างจากงานเอไอมากๆ เลย ผมคิดเรื่องนี้เยอะเหมือนกันนะ สิ่งที่เอไอทำไม่ได้คือการใส่เรื่องราว มนุษย์ในยุคเอไอจึงต้องทำในสิ่งที่เอไอทำไม่ได้ ถึงได้เห็นไงว่าผมพยายามเล่าเรื่องราวของภาพต่างๆ ให้คนฟังเยอะๆ ว่าที่มาที่ไปของแต่ละภาพเป็นอย่างไร
สุดท้ายผมคงไม่ได้ไปสู้อะไรกับเอไอหรอก เพราะพอถึงจุดหนึ่ง งานฝีมือมุนษย์ที่มีเรื่องราวจะเป็นสิ่งที่คนให้คุณค่า มันต้องเป็นเรื่องราวที่ศิลปินแต่ละคนบอกเล่าออกมา นี่คือบทสรุปที่ผมคิดเรื่องเอไอมาเยอะมากจากการที่ทำงานคอนเซ็ปต์อาร์ตในเกาหลีมา 20 กว่าปี
ลองเทียบกันง่ายๆ ก็ได้ ภาพที่ผมทำในคอมพิวเตอร์กับภาพที่ผมวาดเองกับมือ (ยื่นภาพที่เขาสเก็ตช์ขณะให้สัมภาษณ์ให้เรา) สุดท้ายแล้วคุณจะเลือกภาพไหน คุณคงจะเลือกภาพที่ผมวาดด้วยมืออยู่ดี ต่อให้เป็นภาพจากศิลปินคนเดียวกันก็เถอะ ใช่ไหมล่ะ ผมเริ่มทำงานศิลปะด้วยคอมพิวเตอร์ก่อนใคร แต่ก็เป็นคนที่ออกจากคอมพิวเตอร์ไวที่สุดเหมือนกัน พอกลับไปทำงานวาดคอมพ์นี่รู้สึกเหนื่อยมากเลย ในยุคที่เอไอสร้างรูปภาพได้แทนคน คนเราก็ต้องพยายามใส่เรื่องราวลงไปในผลงาน ศิลปินก็จะอยู่รอดในยุคนี้ได้ด้วยการใช้สตอรีครับ
Red Chair ในชีวิตจริงของคุณคืออะไร
ความโลภ สิ่งที่อยากมีอยากได้ เป็นสิ่งที่เห็นในชีวิตแล้วอยากได้มาเป็นของตัวเองนี่ละ สิ่งสำคัญไม่ใช่ตัวเก้าอี้ แต่คือสีแดงที่โอบล้อมตัวเด็กหญิงไว้ต่างหาก ฉะนั้นในอนาคต ผมอาจจะวาดภาพที่มีรถสีแดง รองเท้าสีแดง ฯลฯ ใช้สีแดงแทนสัญลักษณ์ของความโลภ ถ้าใช้ภาพเป็นสัญลักษณ์มันค่อนข้างตายตัวไปหน่อย แต่ถ้าเราใช้สีแทนสัญลักษณ์ มันจะใช้กว้างกว่า เราใช้สีแทนอะไรได้หลายอย่างมากกว่าใช้รูปใดรูปหนึ่ง จริงๆ แล้วผมอยากทำให้สีแดงเป็นสีประจำตัวของผมไปเลย งานนี้เป็นเก้าอี้สีแดง แต่งานอื่นๆ ก็อาจจะเป็นสิ่งของอย่างอื่นที่เป็นสีแดง เป็นตึกสีแดง หรือของอะไรก็ได้ที่เราอยากได้ นี่คือคอนเซ็ปต์ที่ผมคิดไว้
‘จัมซัน’ ทำไมคุณใช้ชื่อนี้ในการทำงานศิลปะ
ชื่อจริงของผมคือ ‘คังซัน’ ส่วน ‘จัมซัน’ ในภาษาเกาหลีแปลว่า ‘ขุนเขาที่หลับใหล’ ชื่อจัมซันให้ความรู้สึกว่าเป็นเรื่องของความฝันและความหวัง ผมก็เลยใช้ชื่อนี้ครับ
ขอบคุณภาพ : ภาพ: Maison JE Bangkok
ชมนิทรรศการ Jamsan’s Director’s Cut จัดแสดงระหว่างวันที่ 22 มิถุนายน – 21 กรกฎาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 11.00 – 19.00 น. ที่ Maison JE Bangkok (เมซง เจอี กรุงเทพฯ) ถนนสุรวงศ์ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ