About
ART+CULTURE

Enduring Vision

บทสนทนากับ นที อุตฤทธิ์…30 ปีความยืนยาวในวงการศิลปะด้วยเหตุผลว่าไม่อยากตกงาน

Beingthere Detour Be myguest FLAVOR Resound art+culture Insights Trends Business Insiders Balance Craftyard News
Read At ONCE
  • คุยกับ นที อุตฤทธิ์ ศิลปินชั้นนำของเมืองไทย กับแนวคิดการทำงานที่ยาวนานกว่า 30 ปี เคล็ดลับที่ทำให้เขาพัฒนาผลงานตลอดเวลา และไม่เคยหมดไฟในการเป็นศิลปิน รวมถึงเบื้องหลังการทำงานศิลปะตะวันตกคลาสสิก เพื่อหาคำตอบให้ตัวเอง

นที อุตฤทธิ์ คือหนึ่งในศิลปินชาวไทยที่มีชื่อเสียงระดับสากล ผ่านการทำงานร่วมงานในหลายประเทศทั่วโลก และได้รับการยอมรับถึงการสื่อสาร การตั้งประเด็นคำถามทางสังคมผ่านผลงานศิลปะ จนมีนักสะสมผลงานของเขาอยู่ทั่วโลก และมีชิ้นงานประมูลราคาสูงถึง 17 ล้านบาทมาแล้ว

ล่าสุดนทีมีนิทรรศการใหม่ “20+20” ร่วมกับ ริชาร์ด โค ไฟน์ อาร์ต เพื่อสื่อถึงการทำงานยาวนานระหว่างศิลปินและแกลเลอรียาวนาน 20 ปี รวมถึงเป็นนิทรรศการฉลองครบรอบ 20 ปีของ ริชาร์ด โค ไฟน์ อาร์ต

งานนี้เต็มไปด้วยผลงานหลากยุคหลายสมัยของนที สิ่งที่การันตีความสามารถของเขาได้เป็นอย่างดีคือทุกผลงานล้วนมีเจ้าของแล้ว แต่เป็นการหยิบยืมมาเพื่อแสดงถึงความสามารถรอบด้านของศิลปินคนนี้

ในความแตกต่างของผลงาน จากหลายช่วงปี หลายโปรเจกต์ หลายเทคนิค เรากลับพบถึงความยอดเยี่ยมที่ไม่เปลี่ยนไปในผลงานของเขา และหากไล่ดูตามรายปีก็เห็นชัดเจนว่า ผลงานของ นที อุตฤทธิ์ เพิ่มความน่าสนใจของตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ตามเวลาที่ล่วงเลยไป

ONCE มีโอกาสสนทนากับศิลปินคนนี้ที่ทำให้เรารู้ว่า อะไรคือแรงผลักดันให้ นที อุตฤทธิ์ สร้างผลงานต่อเนื่องยาวนาน 30 ปี และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ จนกลายเป็นศิลปินดังอย่างทุกวันนี้

นที อุตฤทธิ์

จุดเริ่มต้นการเป็นศิลปินเกิดขึ้นได้อย่างไร

“ตอนเป็นเด็กผมมีความรู้ด้านศิลปะจำกัดมาก มีความฝันแค่อย่างเดียวคืออยากวาดรูป อยากทำงานที่เกี่ยวกับศิลปะ ถ้าเกิดว่าทำให้เราอยู่ได้ก็คงจะดีมาก คิดอยู่แค่นั้น ไม่อยากไปทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ

ผมก็เรียนทางนี้มาตั้งแต่อายุ 13 ปี เรียนไปเรื่อยๆ พร้อมกับคิดว่า ถ้าไม่ทำงานศิลปะแล้วตัวเองจะทำอะไร เพราะไม่อยากตกงาน มาคิดได้ว่า ถ้าไม่อยากตกงาน ก็ทำงานศิลปะสิ ถ้าไม่หยุดวาดรูป ก็ไม่มีทางตกงาน เพราะฉะนั้น ผมเรียนจบ ก็เริ่มทำงานเลย ทำโดยที่ไม่เคยคิดว่าอยากจัดนิทรรศการ ไม่คิดว่าทำแล้วจะเอาไปขายที่ไหน หรือขายได้หรือเปล่า

ทำเพราะแค่ไม่อยากตกงานแค่นั้น และได้ทำงานตามความรู้ที่เรียนมา ไม่ได้ไปทำงานอื่น”

พอผมทำงานได้จำนวนหนึ่ง ก็ได้จัดนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรก รู้สึกว่าน่าจะปี 1994 ตอนนั้นดีใจมาก หลังจากนั้นก็คิดว่า “ถ้าได้แสดงงานศิลปกรรมแห่งชาติสักครั้งก็คงจะดีนะ” พอได้แสดงก็คิดต่อว่า “ถ้าได้รางวัลสักครั้งก็คงจะดีนะ” พอได้รางวัลก็คิดต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตผมเป็นแบบนี้ คิดเป็นลำดับขั้นไป ก็พาตัวเองเดินไปเรื่อยๆ ครับ 10 ปี 20 ปี แป๊บเดียว 30 ปีแล้ว ผ่านไปไวมากนะครับ”

ถ้าคิดแบบนั้นในตอนนี้มันอาจไม่เวิร์กหรือเปล่า?

“โลกในอดีตช้ากว่าโลกปัจจุบันมาก ทุกวันนี้เราคิดว่าโอกาสมีเยอะ มีช่องทางโซเชียลมีเดีย แต่การแข่งขันก็สูงตามไปด้วย ผมคิดว่าวิธีการที่ผมทำมันยังเวิร์กกับยุคก่อน ยังพอสามารถพาตัวเองเข้าสู่การเป็นศิลปินได้ ถือว่าตัวเองโชคดี

พอผมทำงานได้จำนวนหนึ่ง ก็ได้จัดนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรก รู้สึกว่าน่าจะปี 1994 ตอนนั้นดีใจมาก หลังจากนั้นก็คิดว่า “ถ้าได้แสดงงานศิลปกรรมแห่งชาติสักครั้งก็คงจะดีนะ” พอได้แสดงก็คิดต่อว่า “ถ้าได้รางวัลสักครั้งก็คงจะดีนะ” พอได้รางวัลก็คิดต่อไปเรื่อยๆ

ชีวิตผมเป็นแบบนี้ คิดเป็นลำดับขั้นไป ก็พาตัวเองเดินไปเรื่อยๆ ครับ 10 ปี 20 ปี แป๊บเดียว 30 ปีแล้ว ผ่านไปไวมากนะครับ”

พอผมทำงานได้จำนวนหนึ่ง ก็ได้จัดนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรก รู้สึกว่าน่าจะปี 1994 ตอนนั้นดีใจมาก หลังจากนั้นก็คิดว่า “ถ้าได้แสดงงานศิลปกรรมแห่งชาติสักครั้งก็คงจะดีนะ” พอได้แสดงก็คิดต่อว่า “ถ้าได้รางวัลสักครั้งก็คงจะดีนะ” พอได้รางวัลก็คิดต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตผมเป็นแบบนี้ คิดเป็นลำดับขั้นไป ก็พาตัวเองเดินไปเรื่อยๆ ครับ 10 ปี 20 ปี แป๊บเดียว 30 ปีแล้ว ผ่านไปไวมากนะครับ”

30 ปีถือว่ายาวนานมาก แล้วอะไรทำให้ไฟในการทำงานของนทีไม่หายไปเลย?

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่สิ่งที่ผมบอกได้แค่สภาพแวดล้อมรอบตัวผมสอนให้เป็นคนแบบนี้ ย้อนไปสมัยเรียน ผมมองว่าตัวเองมีเวลาทำงานน้อยมากเพื่อจะได้ส่งอาจารย์สักชิ้น แต่ผมกับเพื่อนทุกคนมีเวลาน้อยเท่ากันหมด ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะบริหารเวลาที่มีให้ทำงานได้เต็มที่มากกว่า

คุณจะเอาเวลาไปทำงาน ไปเที่ยว ไปดื่มได้หมดนะ เพราะสุดท้ายวัดกันตอนส่งงานว่างานของใครจะดีที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาเวลาไปใช้แบบไหน ผมเลือกเอาเวลาไปทำงานก่อนเสมอ ให้ความสำคัญกับงานก่อน เที่ยวก็อยากเที่ยว ผมคิดแค่ว่าถ้าเราจัดความสำคัญให้ถูกต้อง จะส่งผลดีกับเราในอนาคต”

นที อุตฤทธิ์

ฟังแล้วเหมือนเป็นคนบ้างาน?

“ยกตัวอย่างเรามีเวลางาน 1 สัปดาห์เท่ากัน คนอื่นสร้างงานได้ 3 แบบ แต่ผมจะสร้างงาน 20 แบบ เท่ากับว่าผมมีตัวเลือกที่จะมีผลงานที่ดีถึง 20 แบบ … ผมโตมากับความคิดแบบนี้ และมันกลายเป็นวิธีคิด วิธีการทำงานของผมโดยไม่รู้ตัว

อยากตื่นสาย ขี้เกียจ ไม่อยากทำงาน อารมณ์พวกนี้มีตลอด แต่มันรู้สึกผิดกับตัวเอง รู้สึกผิดในจิตใจ ก็ต้องตื่นเช้ามาทำงานเหมือนเดิม คือผมไม่ได้เป็นคนบ้างานนะ เพียงแต่ว่าสังคมหล่อหลอมให้เป็นแบบนี้ กลายเป็นวิถีชีวิต กลายเป็นอาชีพจริงๆ เป็นทัศนคติ เป็นไดเรกชันในการทำงานที่ทำให้เรายังอยู่ในลู่ทางตลอด คนอาจจะคิดว่า ‘มีชื่อเสียงแล้ว ทำงานน้อยลงดีกว่า’ แต่ผมมองว่ายิ่งมีชื่อเสียงมาก มีความสำเร็จมาก ความรับผิดชอบต้องมากขึ้นไปด้วย งานก็ต้องมีคุณภาพมากขึ้น

นที อุตฤทธิ์

นที อุตฤทธิ์

นที อุตฤทธิ์

ห้ามคิดว่า ‘เราดังแล้ว เราจะทำอะไรก็ได้’ ผมมองว่า เรามีสัญญาผูกมัดกับสังคมอยู่นะ คือสังคมอาจจะไม่ได้มาคาดหวังอะไรในตัวผมหรอก แต่ผมมองว่าผมมีสัญญาผูกกับอาชีพ วิชาชีพของเราอยู่ ที่ต้องทำให้ดีขึ้น

เคยดูคนแข่งวิ่ง 100 เมตรไหม? คนชนะเฉือนกันเสี้ยววินาทีเองนะ นักกีฬาทุกคนที่ไปแข่งคือคนเก่งทุกคน แต่การจะเป็นผู้ชนะที่เฉือนคนอื่นแค่เสี้ยววินาที มันยากมาก ต้องใช้ทั้งกำลังกาย กำลังใจ”

นที อุตฤทธิ์

นที อุตฤทธิ์

นที อุตฤทธิ์

สำหรับคุณศิลปะคืออะไร?

“ศิลปะคืองานที่ต้องใช้การสื่อสาร มันคือภาษาที่ใช้ร่วมกันในสังคม เพราะฉะนั้น ศิลปะมีเหตุมีผลของมันอยู่แล้ว แต่เราชอบไปปฏิเสธมุมนี้ เพราะคนมักคิดไปว่า ศิลปะเป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก

สมัยที่ผมเป็นอาจารย์ เคยถามนักศึกษาว่า ‘คุณบอกว่า ทำงานใช้อารมณ์ แต่ตอนทำผลงานนี้ออกมา คุณมีสติหรือเปล่า? ถ้ามี นั่นหมายความว่า คุณใช้ความคิด การเลือกสี การจัดองค์ประกอบ กระบวนการทุกอย่างผ่านความคิดหมด’ ศิลปะมีเหตุมีผลในตัวอยู่แล้วครับ ยิ่งบวกกับสภาพแวดล้อมยุคสมัยที่ผมโตมา ทำให้ความคิดของผมเป็นแบบนี้”

นที อุตฤทธิ์

เวลาทำงาน ให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากที่สุด?

“สิ่งสำคัญที่สุดคือผมคิดถึงเป้าหมายการทำงาน อะไรที่ทำให้เป้าหมายของงานที่ผมต้องสื่อออกไปชัดเจนขึ้น เช่น ผมชอบวาดรูป ชอบมากแต่มันมีข้อจำกัด … ผมไม่ได้ชอบทำงานประติมากรรม แต่ถ้าผมเห็นศักยภาพที่สามารถสื่อสารออกมาได้ดีกว่า ผมก็จะทำ ถ้าไม่ชอบก็ต้องหาทางให้ชอบให้ได้ สุดท้ายถ้าชั่งน้ำหนักแล้ว งานแบบนี้เหมาะสมกับรูปแบบไหนมากกว่าก็ต้องทำแบบนั้น

ยกตัวอย่าง ผมไปเชียงใหม่ ชอบขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นไปด้วยตัวเองมากๆ ผมไม่ชอบนั่งเครื่องบิน แต่ถ้าต้องไปทำงานมีเวลาเดินทางแค่นิดเดียว ก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปไม่ได้ ก็ต้องนั่งเครื่องบิน ถึงไม่ชอบก็ต้องนั่ง

นที อุตฤทธิ์

นที อุตฤทธิ์

ผมให้ความสำคัญกับเป้าหมายของงาน เพราะศิลปะคือการสื่อสาร งานศิลปะไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อสนองความรู้สึกของตัวเราเองเพียงเดียว แต่ทำมาเพื่อคนอื่นด้วย มีคนอีกมากมายที่ดูผลงานของเรา ยกตัวอย่างประมาณปี 1999 ผมเคยให้คุณแม่ผมเป็นเรื่องราวหลักของนิทรรศการผม ผมก็อยากวาดรูปแม่ แต่คุณแม่ก็ถามว่า ‘ใครจะมาสนใจอยากดูรูปแม่?’

ผมก็มานั่งคิดต่อว่า คนดูที่จะมางานนิทรรศการผม ต้องเดินทางฝ่ารถติดมาชมรูปภาพป้าแก่ๆ ที่เขาไม่ได้รู้สึกผูกพันอะไรด้วย เขาจะอยากดูไหม? เพราะฉะนั้น ปลายทางของงานศิลปะคือการสื่อสารอะไรบางอย่างออกไป ซึ่งผมก็ไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องคุณแม่ แต่เราเล่าเลือกผ่านความรักได้ เพราะความรักคือภาษาสากล ใครก็เข้าใจ มันคือจุดร่วมกัน เข้าถึงคนได้ เข้าถึงคนหมู่มากได้”

นที อุตฤทธิ์

นที อุตฤทธิ์

วิธีไหนที่ทำให้สามารถเรียนรู้วิธีการทำงานใหม่ๆ ได้ตลอด?

“สิ่งแรกคือต้องหาความเร้าใจ หาความท้าทายให้ตัวเองก่อน ความท้าทายเหมือนผงชูรส จะทำให้เราทำงานได้สนุกขึ้น ผมรู้สึกว่ายังรู้ไม่หมด มีความรู้มากมายที่ยังรอผมอยู่บนโลก ในขณะที่เวลาชีวิตของผมเหลือน้อยลง ซึ่งก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะตายตอนไหน แค่อยากใช้เวลาให้คุ้มที่สุด

ทุกวันนี้อะไรที่ผมคิดว่าไม่จำเป็นกับชีวิต ผมไม่ทำเลยนะ ผมสงวนเวลาไว้ให้กับสิ่งที่มีค่าสำหรับผม ชีวิตผมไม่มีอะไรเลยครับ ตื่นเช้า ไปสตูดิโอ ทำงาน กลับบ้าน 2-3 ทุ่มนอน ชีวิตผมมีแค่นี้ แต่ผมชอบนะ”

นที อุตฤทธิ์

ผลงานของนทีมักมีกลิ่นอายตะวันตกอยู่เสมอ อะไรคือแรงผลักดันให้ทำงานรูปแบบนี้?

“เพราะผมไม่มีวันเปลี่ยนมันได้ จึงอยากเข้าใจ…คือแบบนี้ ผมคิดมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วว่า เราเป็นคนเอเชีย แต่ทำไมเราต้องใช้องค์ความรู้จากตะวันตกทั้งหมดเลย แทบไม่ได้เรียนอะไรเกี่ยวกับฝั่งเอเชีย จนผมสงสัยว่า ‘ทำไม’ ทำไมโลกศิลปะตะวันตกกับตะวันออกถึงห่างกันขนาดนี้

พอสงสัยก็เหมือนอยากรู้ อยากรู้จักกับความรู้พวกนี้ให้มากขึ้น อยากลงไปลึกมากขึ้น แก่นความคิดทางศิลปะของพวกเขาคืออะไร อยากรู้ เพราะสุดท้ายจะได้กลับมาเปรียบเทียบว่า ศิลปะตะวันตกดีกว่าศิลปะตะวันออกจริงไหม คือผมไม่ได้ทำงานในสไตล์ตะวันตกเพราะว่าชอบ แต่มันเป็นเรื่องจำเป็น”

นที อุตฤทธิ์

นที อุตฤทธิ์

นที อุตฤทธิ์

นที อุตฤทธิ์

เพราะอะไรครับ?

“เพราะมันคือช่องทางสื่อสารที่เราสามารถส่งข้อความที่เราอยากพูด อยากวิจารณ์ พาทัศนคติของเราออกไปได้ ยกตัวอย่างเรื่องความงาม มาตรฐานใครเป็นคนกำหนด? ก็ตะวันตก คนเอเชียก็ยึดแบบตะวันตก เอาจริงๆ องค์ความรู้ส่วนใหญ่ก็มาจากฝั่งตะวันตก ผมรู้สึกว่าโลกถูกกำหนดด้วยอิทธิพลฝั่งตะวันตก ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเป็นแบบนี้มานาน

ยกตัวอย่าง ผมเข้าเรียนที่วิทยาลัยช่างศิลป์ ผ่านพิธีครอบครู แต่งชุดขาวแบบพราหมณ์ไปหาอาจารย์ ผ่านพิธีส่งต่อสกุลช่าง อาจารย์จับมือเขียนลายกนก แต่พอถึงเวลาเรียนจริงๆ องค์ความรู้ที่ได้เรียนมาจากตะวันตกหมดเลย ตอนเรียนผมไม่ได้คิดอะไรนะ แต่พอเรียนจบมานั่งคิด ก็เห็นว่าการเรียนศิลปะไปทางตะวันตกหมด สุดท้ายพอเราเข้าใจ อย่างน้อยทำให้เราวิจารณ์ได้ อะไรที่เราสงสัย เราตอบได้ เราส่งเมสเสจออกไปได้ผ่านผลงานของเรา เหมือนเราเห็นตะวันตกพูดเรื่องนี้ และเรารู้สึกอะไรบางอย่าง เราก็สร้างผลงานขึ้นมาพูดแบบตะวันตก บางทีก็เอาคำตอบแบบตะวันออกเข้าไปด้วย”

นที อุตฤทธิ์

คุณทำงานผ่านมุมมองของตะวันตกเยอะมาก ถ้ามองย้อนกลับมาคุณคิดว่าได้อะไร?

“สิ่งสำคัญที่สุดข้อหนึ่งคือทำให้ภูมิใจในตัวเอง เห็นว่าคนตะวันตกไม่ได้ต่างจากเรา นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด เราต้องเคารพตัวเอง ถ้าเราเคารพตัวเอง คนอื่นก็จะเคารพเรา แต่ถ้าเราไม่เคารพตัวเอง ก็ไม่มีใครมาเคารพเรา”

อยากรู้จักตัวตนเขามากขึ้น ลองแวะไปชมนิทรรศการ 20+20 ของนที อุตฤทธิ์ จัดแสดงจนถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2025 ที่ริชาร์ด โคห์ ไฟน์ อาร์ต เปิดให้เข้าชมทุกอังคาร-เสาร์ 111.00-19.00 น.
Facebook: https://www.facebook.com/rkfineart
Instagram: https://www.instagram.com/rkfineart/
Website: https://rkfineart.com/