

Insect Chronicles
Yak Insect ศิลปินที่เล่าเรื่องแมลงผ่านจักรวาลมังงะเพื่อส่งเสียงปัญหาสิ่งแวดล้อม
- พูดคุยกับศิลปิน Yak Insect นักวาดภาพที่เล่าเรื่องราวผ่านจักรวาลแมลง Insect Hunter เหมือนกับการ์ตูนญี่ปุ่นที่เป็นแรงบันดาลใจจากวัยเยาว์ เพื่อสะท้อนปัญหามลพิษทางอากาศที่คนไทยต้องเผชิญ พร้อมกระตุ้นเตือนให้ทุกคนช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม
เป็นเรื่องปกติของผมที่จะใช้เวลาท่องโลกโซเชียลมีเดีย เพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ในการนำเสนอเรื่องราวผ่านตัวอักษร และวันหนึ่งผมก็ได้เห็นงานวาดภาพที่มีสีสันฉูดฉาดน่าสนใจ ก็ลองกดเข้าไปดูผลงานศิลปินคนนั้นให้มากขึ้นผ่านช่องทาง Instagram
ระหว่างดูผลงานของศิลปินคนนี้ไปเรื่อยๆ ผมก็เจอเรื่องราวที่น่าสนใจก็คือ ทุกภาพวาดของเขามีตัวการ์ตูนที่เป็นแมลงเป็นหัวใจสำคัญ และเมื่อสังเกตดีๆ ชื่อผู้ใช้ Instragram คนนี้ก็มีชื่อว่า “yakinsect” ซึ่งก็สื่อถึง “แมลง” มาตั้งแต่ต้น
ความอยากรู้เกิดขึ้นในความคิดทันที ผมสนใจมากว่าอะไรที่ทำให้ศิลปินคนหนึ่งที่มีสไตล์การวาดภาพด้วยสีสันที่ดูโดดเด่นจัดจ้านแบบนี้ ถึงเลือกสร้างธีมผลงานของเขาผ่าน “แมลง” ซึ่งในมุมของคนทั่วไปไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่น่าหลงใหลเท่าไหร่นัก รวมถึงตัวผู้เขียนเองที่กลัวแมลงอยู่พอสมควร
เมื่อมีคำถามก็ต้องค้นหาคำตอบ ผมทักข้อความส่วนตัวหาศิลปินรายนี้ และเกือบจะแห้วไม่ได้พูดคุย เพราะเขาอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี อย่างไรก็ดี คุณยักษ์มีคิวจะได้มาโชว์ผลงานที่กรุงเทพฯ พอดี และท้ายที่สุดผมก็ได้พบเจอกับนักสร้างสรรค์ผลงานคนนี้ เพื่อถามคำถามที่ผมอยากรู้ที่สุด จึงนำมาสู่การสัมภาษณ์พูดคุยครั้งนี้
ทำไมต้องเป็นแมลง? และแมลงจะเข้าถึงผู้คนผ่านงานศิลปะได้ยังไง? มาหาคำตอบไปพร้อมกัน
แมลงกู้โลก
“ช่วงประมาณปี 2022 ตอนนั้นผมอยู่เชียงใหม่แล้วฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาแรงมาก บางวันตื่นมาค่าฝุ่นเกิน 300 อากาศแย่ ต้องใส่หน้ากากกันสารพิษ แฟนผมก็ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ ตัวเราก็คิดอยากหาวิธีว่าทำยังไงจะให้คนหันมาใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อม?”
ยักษ์ Insect หรือ สมโชค มหาชานนท์ ตอบคำถามเราถึงที่มาที่ไปในการวาดรูปแมลง เมื่อคำตอบของเขากลับวนไปหาเรื่อง PM 2.5 และปัญหาสิ่งแวดล้อม ยิ่งทำให้เรื่องราวของเขาน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
“ผมคิดว่าอยากวาดอะไรสักอย่างออกมา แต่เป็นสิ่งที่ชอบด้วย มาคิดได้ว่าตอนเป็นเด็กชอบจับแมลง ชอบจับด้วง ผีเสื้อ แมลงปอ ก็คิดว่าตัวเราก็เป็นเหมือนกับนักจับแมลงคนหนึ่งนะ
“ก็เลยเริ่มต้นตั้งโปรเจกต์ขึ้นมาว่า ‘Insect Hunter’ เป็นเรื่องราวของนักจับแมลง”
ผมหันไปจ้องผลงานภาพของยักษ์ที่ตั้งอยู่ และคิดในใจว่า “อ้าว มีเนื้อเรื่องด้วยเหรอเนี่ย?” และก็ได้พบว่า สตอรีที่ถ่ายทอดผ่านงานศิลปะของศิลปินรายนี้มีความน่าสนใจไม่แพ้ภาพของเขา
“ผมเริ่มต้นจากไอเดียว่า ‘ถ้าโลกนี้ไม่มีแมลงจะเป็นยังไง?’ ในความเป็นจริงของโลกแมลงมีส่วนในการขยายพันธ์ุพืชมากถึง 70% ผมก็เลยสร้างเรื่องราวขึ้นมาว่า ถ้าวันหนึ่งโลกแทบไม่เหลือแมลงอยู่แล้ว โลกก็ไม่มีต้นไม้ พอไม่มีต้นไม้ โลกก็มีฝุ่นมีมลพิษมากขึ้น เกิดเป็นเรื่องราวของเราขึ้นมา”
“สำหรับผมต้นไม้ในโลกนั้น ก็เหมือนซอมบี้ สิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้ว (เพราะไม่มีอากาศให้หายใจ) แต่ยังตายไม่ได้ และอยู่รอดไปวันๆ ด้วยการกินสิ่งมีชีวิต
“ผมคิดว่าคนคงคาดไม่ถึง ถ้าเราวางเรื่องให้ต้นไม้กลายมาเป็นศัตรูกับแมลง ผมคิดว่าต้นไม้สามารถอยู่ได้ทุกที่ ที่ไหนก็มีต้นไม้
และคงน่าสนใจถ้าวันหนึ่งต้นไม้ที่อยู่รอบตัวเราต้องกลายเป็นวายร้ายในเนื้อเรื่องนี้”
แรงบันดาลใจจากการ์ตูนญี่ปุ่น
เรื่องราวที่ยักษ์ Insect สร้างสรรค์ขึ้นมา มีตัวละครเอกทั้งหมด 3 ตัว ตัวแรกคือ “ดีด้า” หญิงสาวสวมชุดแมลง ตัวเอกของเรื่องราวที่คอยไล่จับแมลง หวังสร้างโลกที่น่าอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง สองคือ “คาม” ตัวด้วงผู้ช่วยของดีด้า และสามคือ “มาร์โก้” เด็กน้อยผู้ชายครึ่งคนครึ่งแมลง ทั้ง 3 ตัวละครคือผู้ดำเนินเรื่องราวในจักรวาลดิสโทเปียแห่งนี้ และเป็นผลงานหลักที่ยักษ์ใช้สร้างสรรค์งานภาพของเขาอีกด้วย
ความพิเศษคือตัวละครทั้ง 3 ตัวมีแรงบันดาลใจที่เกี่ยวข้องกับศิลปิน ไม่ว่าจะเป็นตัวเอกอย่างดีด้า ที่ยักษ์หยิบผมหยักศกของแฟนในชีวิตจริงมาใส่ให้ตัวละคร … ชื่อของ “คาม” ตัวด้วงสุดน่ารักก็เอามาจากภาษาอีสาน ซึ่ง “คาม” = ด้วง สะท้อนพื้นเพอีสานของเจ้าตัว (ยักษ์เกิดที่ขอนแก่น) และท้ายที่สุดมาร์โก้ซึ่งพิเศษกว่าใคร เพราะตัวละครนี้มาจากลูกชายของยักษ์โดยตรง แถมชื่อมาร์โก้เหมือนกันซะด้วย
นอกจากตัวเด่นและวายร้ายแล้ว ยักษ์ยังใส่ 2 ตัวละครพิเศษเข้ามา นั่นคือก้อนเมฆ 2 ก้อน สีน้ำเงินและสีม่วง ซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไรกับเนื้อเรื่องเลย (ฮา) แต่ศิลปินคนนี้เปิดเผยว่า อยากใส่เข้ามา เป็นเหมือน Easter Egg ที่คนไม่ค่อยเห็น ขณะเดียวกันยักษ์ก็อยากใช้ก้อนเมฆแทนคนทั่วไปที่ไม่ได้ทำอะไรกับปัญหาสิ่งแวดล้อม แค่มองเห็นและรับรู้ แต่ก็ไม่ทำอะไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนกับก้อนเมฆทั้ง 2 ก้อนในเรื่องนี้
ฟังเรื่องราวทั้งหมดในจักรวาล Insect Hunter จนเข้าใจ แต่ผมก็เริ่มไม่แน่ใจว่า ตกลงคุยกับศิลปินสาย Painting หรือนักวาดการ์ตูนมังงะกันแน่ จนอดถามไม่ได้ว่า อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาอยากสร้างสรรค์เรื่องราวของตัวเองขึ้นมา โดยผ่านงานภาพ กับโปรเจกต์ที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
“ตอนเด็กผมเป็นคนแปลกๆ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร เด็กคนอื่นเขาเตะบอล แต่ผมชอบไปจับแมลงอยู่หลังโรงเรียน นั่งดูการ์ตูนอยู่คนเดียว โลกส่วนตัวสูงนั่นแหละ
“ผมเป็นเด็กยุค 80s ก็โตมากับ Dragon Ball ทำให้เราชอบการ์ตูนสไตล์แอ็กชันไปด้วย สังเกตว่างานภาพของผมจะเหมือนภาพในหนังสือการ์ตูน มีการเคลื่อนไหว ไม่ใช่ยืนแบบทื่อๆ พอโตมาหน่อยก็ชอบ Akira ได้อิทธิพลเกี่ยวกับพวก Sci-fi โลกอนาคตมาอีก
“หลังจากนั้นผมก็มาชอบ Jojo ล่าข้ามศตวรรษ ถ้าสังเกตลายเซ็นของผมจะได้แรงบันดาลใจมาจาก Jojo อยู่เหมือนกัน รวมถึงสีสันที่นำมาใช้ด้วย เพราะ Jojo เป็นการ์ตูนที่มีความหลุด และก็มีแฟชั่นในตัวเองด้วย”
“การ์ตูนมีอิทธิพลกับผมมาก จริงๆ อาชีพแรกที่อยากทำในชีวิตคือเป็นนักวาดการ์ตูน แต่พอรู้ว่าอาชีพนี้ไม่ได้สร้างรายได้ในประเทศไทย ก็เลิกความฝันไป ไปทำอย่างอื่นแทน
“แต่สุดท้ายการ์ตูนมีอิทธิพลกับผมเยอะมากจริงๆ ที่ได้มาทำตรงนี้ก็เพราะอยากลองสร้างเรื่องราวการ์ตูนของตัวเองบ้าง เก็บนำแรงบันดาลใจที่สะสมมาสร้างผลงานในสไตล์ของเรา”
3 ปี 2 ชิ้น
คุยกันมาได้สักพัก เราเข้าใจถึงที่มีที่ไปในการสร้างสรรค์ผลงานของยักษ์ แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบแมลงแบบผม คนที่ไม่ได้วิ่งจับแมลงตอนเป็นเด็กแบบยักษ์ เจอแมลงเป็นต้องวิ่งหนี ถ้าเป็นมนุษย์มีหางก็คงจุกก้น ก็อดถามไม่ได้ว่า ไม่กลัวคนเข้าไม่ถึงผลงาน หรือกลัวว่าคนจะไม่เปิดใจกับเรื่องราวที่มีแมลงเป็นตัวเอกหรือเปล่า?
“ตอนแรกก็คิดว่าแมลง คนเข้าถึงยาก จริงๆ แล้วแมลงอยู่ใกล้ตัวเรามาก แต่คนก็มองข้ามมากที่สุดเช่นกัน เพราะเรามองแต่แมลงที่น่ารำคาญ ยุง แมลงวัน แมลงสาป เพราะฉะนั้น ผมก็วางคอนเซปต์ไว้ก่อนเลยว่า จะไม่วาดแมลงกลุ่มนี้
“แมลงยังมีอะไรให้หยิบมาเล่าได้อีก อย่างเช่น ตัวด้วง คนญี่ปุ่นชอบมากตัวด้วง เอามาเป็นตัวละครในการ์ตูนหรือเกมเยอะมาก หรืออย่างอียิปต์ ด้วงก็เป็นสัญลักษณ์ของเทพ
“ขนาดโปเกมอนยังมีแมลงเป็นตัวละครเลย อยากให้คนมองแมลงในมุมนี้มากกว่า ก่อนจะทำเรื่องราวตรงนี้ ผมก็ไปหาหนังสือแมลงมาอ่าน ไปพิพิธภัณฑ์แมลง พอได้รู้ว่า จริงๆแล้ว แมลงปีกแข็งคือสายพันธุ์แมลงที่มีเยอะมากที่สุด เลยมาโฟกัสตรงนี้ดีกว่า”
การสร้างสรรค์ผลงานผ่านความรักในแมลงไม่ใช่ปัญหา แต่ความท้าทายที่ศิลปินรายนี้ต้องเผชิญคือการลงหลักปักฐานสร้างผลงานอยู่ที่อุดรธานีเป็นหลัก และไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะสร้างฐานคนติดตาม หากเทียบกับศิลปินในกรุงเทพมหานคร
ยักษ์เล่าว่า เขาเคยจัดนิทรรศการโชว์ผลงานของตัวเองมาแล้วที่อุดรธานี แต่ด้วยความไม่ใช่เมืองที่พร้อมในการจัดแสดงด้านศิลปะ ทำให้เขาต้องโชว์ผลงานในร้านกาแฟ ซึ่งไม่ตอบโจทย์กับทั้งศิลปินและคนชมงาน สุดท้ายผลลัพธ์จึงไม่ได้ออกมาในแบบที่คาดหวัง
ศิลปินคนนี้เล่าแบบตรงไปตรงมาว่า ตั้งแต่ช่วงปี 2022 ที่เขาเริ่มต้นสร้างโปรเจกต์นี้มาจนถึงปี 2024 เขาขายผลงานไปได้ถ้วนๆ 2 ชิ้น … ใช่แล้วอ่านไม่ผิด ในระยะเวลาร่วม 3 ปี มีคนมาซื้องานภาพของเขาแค่ 2 ชิ้นเท่านั้น
“ผมไม่ได้คิดว่า วาดรูปนี้ออกมาแล้วจะขายได้ไหม? หรือทำออกมาแล้วต้องให้คนมาสนใจอะไรขนาดนั้น ศิลปะก็เป็นแบบนี้ครับ มีทั้งคนที่เข้าใจงานของเรา และไม่ได้เข้าใจ
“ผมทำโปรเจกต์นี้เพื่อความสนุกของตัวเอง ผมมีเรื่องราวที่อยากจะเล่า อยากบอกให้คนอื่นเข้าใจ ผมสนุกกับตรงนี้มากกว่า เหมือนที่เราพูดคุยกันอยู่ตอนนี้
“ผมแค่อยากทำให้ตรงนี้มันสนุกก็พอ ขายได้ก็ดีนะ แต่ผมจะไม่คิดถึงเรื่องนั้น ผมแค่อยากสร้างเรื่องราวให้สนุกขึ้นมา ให้คนสนุกไปกับเรา แค่นั้นก็พอ อีกอย่างผมมีลูก ก็สร้างเรื่องราวนี้ขึ้นมา อย่างน้อยพอเขาเติบโตขึ้น เขาได้เห็นว่าเราสร้างเรื่องราวอะไรเอาไว้ แค่ให้ลูกเราได้เห็น ผมว่าก็เพียงพอแล้ว”
ยักษ์เล่าทิ้งท้ายว่า อย่างน้อยปี 2025 เขาสามารถขายงานภาพไปได้แล้วอย่างน้อยก็ 7 ชิ้น (และจากที่ติดตามผ่าน Instagram เขาก็ขายงานภาพได้เพิ่มอีกจากการมาออกงานที่กรุงเทพฯ) และเจ้าตัวก็กล่าวว่า อย่างน้อยเวลาผ่านไป มีคนเข้าใจผลงานของเขามากขึ้น แค่นั้นก็มีความสุขแล้ว
เสียงเล็กๆ เพื่อธรรมชาติ
นอกจากผลงานภาพที่สร้างสรรค์แล้ว โปรเจกต์ Insect Hunter ก็ยังมีการทำหุ่นฟิกเกอร์ทำมือที่ยักษ์และรุ่นน้องร่วมกันทำขึ้นมาเพื่อออกวางจำหน่าย และเขายังมีอีกหลายโปรเจกต์ที่อยากทำผ่านเรื่องราวนี้ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน หรือเกม เพื่อให้คนเข้าถึงเรื่องราวที่เขาสร้างสรรค์ขึ้น
เพราะไม่ว่าจะมองสิ่งที่เขานำเสนอในฐานะภาพวาด การ์ตูน งานศิลปะ หรืออะไรก็ตามแต่ สิ่งที่ยักษ์ Insect ยังคงต้องการนำเสนอมากที่สุดผ่านงานที่เขาทำ ก็คือปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เราทุกคนกำลังต้องเผชิญอยู่
“ผมแค่อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ปัญหาพวกนี้มันหายไป อะไรใกล้ตัวที่ทำได้ ผมก็ทำ อย่างผมทำงานที่ต้องใช้สเปรย์ ก็พยายามเลือกใช้สเปรย์ที่ไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อม ไม่ใช้สารเคมี บางงานผมก็เลือกทำงานเพนต์อย่างเดียว ไม่ให้เกิดสารเคมีบางอย่างขึ้นบนโลก
“ผมทำโปรเจกต์นี้ ก็อยากให้วิธีการทำงานของผมมันดีต่อโลกเช่นกัน อยากให้คนเห็นว่า เราทำตรงนี้ เราเห็นความสำคัญกับมันจริงๆ ไม่ได้แค่อยากทำให้มันเท่ อยากให้ชีวิตเราช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น
“ผมเชื่อว่าการรักษาสิ่งแวดล้อมต้องใช้เวลา ถ้าผมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนรู้ว่า แมลงมีความสำคัญกับธรรมชาติ แมลงมีส่วนในการขยายพันธ์ุพืช เป็นเสียงเล็กๆ ก็พอใจแล้ว
“แมลงเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ยังทำอะไรให้โลกตั้งมากมาย เราเป็นมนุษย์ทำไมจะไม่ทำอะไรให้โลกบ้าง”
ยักษ์เผยว่า ทุกอย่างที่เขาทำกับโปรเจกต์ Insect Hunter คือสิ่งที่เขาเรียกว่า “งานที่เขารัก” เพราะทำให้เขาได้อะไรกลับมาเสมอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“ผมไม่เบื่อเลยนะที่ได้วาดรูป บางทีต้องออกไปธุระข้างนอกก็เซ็งนะ อยากอยู่บ้านนั่งวาดรูปมากกว่า บางทีวาดทั้งวันทั้งคืน ความสนุกมันอยู่ตรงนี้
“ผมอยากวาดรูปทุกวัน ไม่เคยคิดว่าวาดรูปแล้วจะขายได้ไหม ถ้าเรามัวแต่คิดว่าจะขายได้หรือไม่ได้ ก็จะไม่สนุก กลายเป็นมานั่งเครียดอีก ผลงานก็ไม่ดีอีก
“ผมทำตรงนี้เพราะผมมีความสุข และคิดว่ากำไรที่ได้ คือคนมาเห็นงานเราแล้วได้อะไรกลับไปหรือเปล่า? แค่ชอบงานผม ผมพอใจแล้ว”
ติดตามผลงานของ Yak Insect เพิ่มเติมได้ที่
Facebook: Yak Insect
Instagram: yakinsect