About
ART+CULTURE

10 Years of Yoon

10 คำถามกับ 10 ปีบนเส้นทางศิลปิน ‘ยูน-ปัณพัท’ ที่มีปรัชญา นิทาน และพอดแคสต์เป็นเพื่อนรับมือทุกฉากชีวิต

Beingthere Detour Be myguest FLAVOR Resound art+culture Insights Trends Business Insiders Balance Craftyard News
Read At ONCE
  • คุยกับ ‘ยูน-ปัณพัท’ ถึงเบื้องหลังแรงบันดาลใจในการสร้างงาน และบทบาทที่มากกว่าการเป็นนักวาดภาพประกอบตลอด 10 ปี ผ่าน 10 คำถามที่ทำให้รู้จักยูนมากกว่าเคย

หลายคนคงรู้จัก ‘ยูน-ปัณพัท’ ในฐานะศิลปินไทยที่ร่วมงานกับ GUCCI และคอลแล็บกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกมามากมาย ซึ่งยูนเองบอกเราว่า เธอยินดีที่จะคุยเรื่อง GUCCI เสมอ เพราะนั่นคือหนึ่งในผลงานที่ยูนภาคภูมิใจอยู่ตลอดเหมือนกัน

ยูน-ปัณพัท เตชเมธากุล ศิลปินนักวาดภาพประกอบ ดีไซเนอร์ ผู้กำกับศิลป์ และอีกหลายบทบาทที่ยูนได้สร้างสรรค์ผลงาน เรียกได้ว่าตลอดระยะเวลา 10 ปี ของการโลดแล่นในวงการศิลปะของยูนช่างมีสีสันที่จัดจ้าน สนุกสนาน แต่ก็แฝงไปด้วยความหมายมากมายที่ยูนอยากจะส่งสารถึงผู้เสพผลงานของเธอเช่นกัน

แต่วันนี้เราไม่ได้มาคุยกับยูนถึงผลงานที่ผ่านมาหรอก เราแค่อยากรู้จักยูนมากขึ้นว่า อะไรคือเบื้องหลังผลงานสุดยูนีกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบนเส้นทางศิลปินของยูน ที่นอกจากจะมีความอ่อนช้อย สดใส และมีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ผลงานของยูนยังแฝงเรื่องราวที่อยากสื่อสารผ่านภาพเอาไว้มากมาย ONCE เลยอยากพาไปเจาะแรงบันดาลใจของยูนผ่าน 10 คำถาม ที่อ่านจบแล้วเราเชื่อว่าทุกคนจะรู้จักยูนมากขึ้นไปอีกขั้นแน่นอน

ยูน-ปัณพัท

01 RECAP ช่วงชีวิต 10 ปีที่ผ่านมาฉบับยูน-ปัณพัทให้ฟังหน่อย

โห…จริงๆ แล้วหลายปีที่ผ่านมาเราฟังพอดแคสต์เยอะมาก มีช่วงหนึ่งที่ฟังคำที่เขาพูดในพอดแคสต์กันว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม คนเราควรมี Worst Case Scenario ทดเอาไว้ในใจเสมอ ซึ่งจริงๆ เราได้เรียนรู้ว่า การที่เอาแต่มอง Worst Case Scenario มันกลายเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเราได้ย้อนมองว่า จริงๆ แล้วการที่จะรับมือกับเรื่องบางอย่าง เราอย่าไปโฟกัสว่ามันจะแย่ที่สุดหรือดีที่สุด แต่ให้รับมือกับมันอย่างเป็นธรรมชาติ รับมือให้เป็นตัวเอง อย่าฟังคนอื่นเยอะจนเกินไป 10 ปีที่ผ่านมาของชีวิตทั้งการทำงานและชีวิตส่วนตัว ทำให้เราคิดได้ว่า อย่าคิดมากจนเกินไปและฟังเสียงตัวเองเถอะ

ถ้าให้ RECAP ช่วงนี้ รู้สึกว่าเราใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นมากเลย เพราะเราเริ่มมีการเดตแล้ว (หัวเราะ) เริ่มกลับมาโฟกัสเรื่องความสัมพันธ์มากขึ้น ได้เรียนรู้กับมันมากขึ้นด้วย เพราะเมื่อก่อนเราจะมีภาพในหัวว่า ถ้าอีกฝ่ายทำแบบนั้นคงเป็นเพราะเหตุผลนี้แน่ๆ เลย ในขณะที่เราเองก็เลือกที่จะแสดงออกผ่านการวาดภาพมากกว่าการแสดงออกไปตรงๆ หรือถ้าแสดงออก เรากลับแสดงออกด้วยอารมณ์โกรธแทน ช่วงเวลานี้ก็เลยเป็นช่วงที่เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น ได้มองรูปแบบความสัมพันธ์ไม่ให้เป็นแบบละครเยอะเกินไป เพราะบางทีที่เรามีภาพเป็นละครเยอะเกิน เราก็จะคิดว่าความโรแมนติกต้องมีแบบแผนหรือลำดับขั้นตอน 1 – 2 – 3 – 4

นอกจากเรื่องความสัมพันธ์แบบวัยรุ่น เราก็กลับมารับมือเรื่องอื่นๆ ในช่วงนี้อย่างที่ทุกคนกำลังเผชิญกันอย่างเรื่องสุขภาพ ซึ่งจริงๆ นอกจากเรื่องพวกนี้ เราคิดว่าทุกคนมีเรื่องบางอย่างที่ต้องรับมือแตกต่างกันไป บางอย่างเราก็ควรปล่อยให้เป็นธรรมชาติ ไม่ทำอะไรให้ยุ่งยาก อย่าไปคิดว่าเราจะตกขบวน เพราะทุกอย่างก็มีเวลาของมัน

ยูน-ปัณพัท

ยูน-ปัณพัท

เครดิตภาพ : ยูน ปัณพัท

ยูน-ปัณพัท

เครดิตภาพ : ยูน ปัณพัท

02 แล้วการรับมือกับชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติของยูน ได้เข้าไปอยู่ในงานของยูนบ้างไหม

อย่างนิทรรศการล่าสุด ‘I Prepared My Heart for the Next Moon’s Voyage’ เกิดจากเรามีช่วงที่นอนไม่หลับ ผู้เชี่ยวชาญมักบอกว่า ถ้ามีอาการวิตกกังวลจนนอนไม่หลับ เราต้องมีการสร้าง Closure บางอย่างขึ้นมา เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่เรากังวลอยู่มันจบแล้ว ซึ่งเราเคยไปทำเวิร์กช้อปการตัดกระดาษเป็นรูปสโนว์เฟลกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว พอได้ลองตัดสโนว์เฟลก มันคือการทำให้เราเข้าใจเรื่อง Closure นะ แต่อาจจะยังไม่มากพอ เราเลยเอางานพวกนั้นมาทำเป็นงานคอลลาจแทน เพราะโดยปกติแล้วการวาดรูป เรามักวาดบนกระดาษเปล่า โดยที่ไม่ได้เริ่มจากการทำลายบางอย่างก่อน วิธีการวาดรูปทั่วไปเลยไม่ได้สร้าง Closure อะไรให้เรา แต่เป็นแค่การวาดเพื่อแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาเฉยๆ แต่พอเป็นการทำงานคอลลาจกับกระดาษ ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นการเริ่มพิธีกรรมในแต่ละวัน ช่วงนั้นเราก็ทำคอลลาจทุกวันเลย เพราะนั่นคือวิธีที่ดีที่เราได้คุยกับตัวเองมากขึ้น ได้ใช้เวลากับตัวเอง จริงๆ

ยูน-ปัณพัท

เครดิตภาพ : ยูน ปัณพัท

ยูน-ปัณพัท

เครดิตภาพ : ยูน ปัณพัท

ยูน-ปัณพัท

เครดิตภาพ : ยูน ปัณพัท

ยูน-ปัณพัท

เครดิตภาพ : ยูน ปัณพัท

จริงๆ นิทรรศการ I Prepared My Heart for the Next Moon’s Voyage เราแอบมีความกดดันนะ เพราะโดยส่วนใหญ่นักสะสมจะเก็บงานแคนวาสกัน เขาจะกังวลการเก็บรักษางานกระดาษ หรือแกลเลอรีเองก็มักขอให้ทำงานแคนวาสด้วย แต่รอบนี้เราอยากแสดงงานกระดาษทั้งหมด ซึ่งทางแกลเลอรีก็โอเค คนสะสมงานเขาก็ชอบงานที่เราทำด้วย เพราะจริงๆ เราชอบงานกระดาษนะ กระดาษคือสิ่งที่ซึมซับแสงและเงาได้มากกว่า กระดาษสามารถสะท้อนแสงได้นุ่มนวลกว่างานวาดปกติ ถึงงานกระดาษอาจจะเก็บได้ไม่กี่ร้อยกี่พันปี แต่ฟังก์ชัน ณ เวลานี้มันทำให้เรามีความสุขได้ ก็นับว่างานนี้มีคุณค่าแล้ว และนี่จึงเป็นคอนเซปต์หลักงานเราในครั้งนี้ด้วย

ยูน-ปัณพัท

03 ตอนนี้ยูนเรียกตัวเองว่าศิลปินวาดภาพประกอบไหม

ตอนนี้เราทำได้ทุกอย่างเลยนะ เลยไม่ได้ยึดติดกับตัวเองว่าจะต้องอยู่ในตำแหน่งไหน อย่างถ้าทำงานกับศิลปะหรือ Fine Art ก็คงเป็นนักวาดภาพประกอบ แต่ถ้าทำกับแบรนด์ ออกแบบชุด เราก็เป็น Fashion Designer หรือถ้าต้องดูเรื่องของภาพรวมของทีมหรือแบรนด์ต่างๆ เราก็ยังเป็น Art Director ด้วย เลยไม่ได้ยึดติดว่าต้องเป็นอะไรเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้อยากให้คนเห็นเราเป็นแค่สิ่งเดียวด้วยนะ เพราะอยาก Explore ทุกอย่างไปเรื่อยๆ

04 เริ่มเป็นศิลปินจริงๆ ตั้งแต่ตอนไหน

ถ้าทักษะการวาดภาพ เราเริ่มวาดรูปตั้งแต่ 4 ขวบ เพราะ ‘พี่ใจ’ ที่เป็นหลานช่างเย็บผ้า เขาชอบมานั่งเย็บติดกระดุมซ่อมเสื้อผ้าให้ที่บ้าน เราดูทีวีไป เขาก็ติดกระดุมไป พี่เขาเลยสอนวาดรูปตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ตอนนั้นพี่ใจก็พาวาดรูปบ้านหลังคาสี่เหลี่ยมคางหมู ประตูญี่ปุ่น มีเสาบ้าน มีภูเขาสองลูก และแน่นอนว่าต้องมีดวงอาทิตย์ตรงกลาง

หลังจากนั้นเราก็มาเป็นศิลปินจริงๆ ช่วงตอนทำงานประจำ ก่อนหน้านี้เราก็อยากทำแบรนด์สไตล์ Ready to Wear ประมาณว่าคนทำชอบแบบไหน ก็ทำออกมาให้คนใส่ได้เลย แต่พอมาเรียนจุฬาฯ เราเจอคลาสที่เกี่ยวกับ ‘Wearable Art’ หรือศิลปะที่ใส่ได้ นิยามของมันคือการที่ชุดนั้นต้องมีคุณค่าบางอย่าง อาจต้องสะท้อนถึงประวัติศาสตร์-วัฒนธรรม ต้องสร้างอะไรบางอย่างให้คนยุคนี้หรือให้คุณค่าคนยุคก่อน และต้องสะท้อนบางอย่างจากคนใส่

พอได้ขึ้นเป็น Creative Director เราเลยมองเรื่องนี้ และคอลเลกชันแรกที่ทำคือการหยิบ The moon and the sixpence ของโกแกงมาเป็นแรงบันดาลใจ จากประโยคที่ว่า ‘ถ้าเรามัวแต่มองเหรียญที่ตกอยู่บนพื้น ก็จะไม่ได้ชื่นชมความงามของดวงจันทร์’ เพราะชีวิตโกแกงก็ไม่ได้มีความสุขระหว่างการทำตามฝันในอาชีพศิลปิน เพราะตอนที่มีชีวิตอยู่ โกแกงยังไม่มีชื่อเสียง เราเลยมองว่าการจะทำตามฝัน ทำไมต้องทุกข์ด้วย เลยเอาตรงนั้นมาสร้างเป็นผู้หญิงที่อยู่ในเกาะ เพื่อที่จะสื่อว่าทุกคนทำตามฝันได้โดยไม่ต้องทุกข์ เพียงแค่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องใจร้อน เพราะทุกคนมีเวลาของตัวเอง เลยทำให้เราเห็นตรงนั้นว่า งานศิลปะมีอิทธิพลและส่งสารที่อยากจะสื่อได้

ยูน-ปัณพัท

05 ยูนเรียกสไตล์งานของตัวเองว่าอะไร

เราคิดอยากตั้งชื่อสไตล์งานของตัวเองเหมือนกันนะ อยากเป็นคนไทยคนแรก (หัวเราะ) แต่ยังคิดไม่ออกเลย คงต้องขอเวลาไปคิดก่อนนะ แต่ถ้าให้จำกัดความแบบง่ายๆ งานของเราจะมีความเป็น Oriental อยู่ข้างใน มีเรื่องของตำนานและปรัชญาเข้ามาผสมผสานในงาน

ยูน-ปัณพัท

เครดิตภาพ : ยูน ปัณพัท

ยูน-ปัณพัท

เครดิตภาพ : ยูน ปัณพัท

ยูน-ปัณพัท

เครดิตภาพ : ยูน ปัณพัท

ยูน-ปัณพัท

เครดิตภาพ : ยูน ปัณพัท

ยูน-ปัณพัท

เครดิตภาพ : ยูน ปัณพัท

อย่างนิทรรศการ The Endless Swimming Pool ได้แรงบันดาลใจจากตอนที่ได้อ่านหนังสือของ คาร์ล ยุง นักจิตวิเคราะห์ร่วมสมัยที่เขาชอบพูดถึงลักษณะจิตที่ Unconscious หรือ ‘จิตไร้สำนึกร่วม’ ที่ทุกคนมีร่วมกัน เป็นจิตใต้สำนึกที่ถูกตีกรอบโดยที่พวกเราไม่รู้ตัว ผ่านการปลูกฝัง ผ่านตำนานพื้นบ้าน ศาสนา และวัฒนธรรม เขามีแนวคิดที่ตั้งคำถามว่า ข่าวทุกวันนี้ที่เราดูหรือสิ่งที่เราเสพทุกวันนี้เป็นเรื่องจริง 100% ไหม? หรืออย่างการตั้งคำถามว่า ทำไมเราต้องทำงานหาเงินทั้งๆ ที่เงินก็เป็นแค่ของสมมติเฉยๆ หรือการที่ตั้งคำถามว่า ความสำเร็จคืออะไร? แล้วผัวเดียวเมียเดียวมีอยู่จริงไหม? สิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นวัฒนธรรมบางอย่างที่ปลูกฝังให้เรายึดถือเมื่อไม่ร้อยปีที่ผ่านมานี้เองด้วยซ้ำไป มันคือการต่อยอดมากมาย เพราะวัฒนธรรมบางอย่างมัน Shape เราเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมานี้เอง แต่เรากลับเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ต้องยึดถือ

ยูน-ปัณพัท

06 ถ้าชอบปรัชญาและตำนาน ขอเดาว่ายูนเป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะมากพอสมควร

อาจจะไม่ (หัวเราะ) เพราะจริงๆ เราชอบทั้งการอ่านและการฟัง แล้วก็เอาสิ่งต่างๆ มาประมวลกับตัวเอง อย่างที่บอกว่าเราก็ฟังพอดแคสต์อยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกัน ส่วนหนังสือและปรัชญาต่างๆ ที่เล่าให้ฟังก็ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ อยากศึกษาแล้วก็ไปค้นหาคำตอบ แต่มันคือจังหวะบังเอิญทั้งนั้นเลย

อย่างมีเรื่องบังเอิญเรื่องหนึ่งคือช่วงที่เราเรียนภาษาอังกฤษกับคุณครูท่านหนึ่ง คือเป็นการเรียนส่วนตัว เรียนสไตล์ Small Talk อาทิตย์ละสองวัน เป็นการเรียนเพื่อสื่อสาร ไม่ได้เน้นแกรมมา ซึ่งการจะเรียนสื่อสารให้ได้ผลดีก็ต้องคุยเรื่องที่เราสนใจ ชื่อของคาร์ล ยุง เลยเข้ามาอยู่ในความสนใจของเรา เพราะบังเอิญว่าเราอยากซื้อของขวัญวันปีใหม่ให้คุณครูที่สอนภาษาอังกฤษของเรานี่แหละ แต่อยากให้เป็นของขวัญที่เขาเอาไปใช้กับแฟนเขาได้ด้วย เลยเลือกของชิ้นหนึ่งให้เขาไป พอเขาเห็นก็ตกใจ แล้วบอกว่าเขาเพิ่งพูดกับแฟนไปว่าอยากได้ของชิ้นนี้อยู่พอดี คุณครูเลยเล่าให้ฟังว่า จริงๆ มีแนวคิดเรื่องความบังเอิญแบบนี้อยู่นะ คือเรื่องของ Synchronicity คือความบังเอิญที่มีความหมาย เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจ บทสนทนาเกี่ยวกับทฤษฎีต่างๆ เลยเริ่มจากตรงนี้ จนได้เชื่อมโยงมาถึงคาร์ล ยุง ที่เราสนใจแนวคิดของเขาเหมือนกัน เพราะเขาพูดถึงสิ่งที่เราชอบอย่างพวกตำนาน ความเชื่อ หรือวัฒนธรรมเข้ามาด้วย ทุกอย่างเลยเชื่อมโยงกัน ซึ่งนอกจากคาร์ล ยุงเราก็ยังชอบพวกนิทานเหมือนเดิม ชอบอ่านตำนานทั้งกรีก พราหมณ์ ฮินดู ไทย จีน เกาหลี และญี่ปุ่นเลย

ยูน-ปัณพัท

07 ทำไมยูนชอบอ่านนิทาน

เพราะดิฉันเป็นลูกคนเดียวค่ะ (หัวเราะ) ด้วยความที่ตอนเด็กๆ ไม่ได้มีเพื่อนเล่น เลยชอบวาดรูปและอ่านหนังสือ เพราะเป็นของเล่นประเภทเดียวที่เล่นคนเดียวได้ เราชอบนิทานเรื่อง A Little Princess มาก เป็นนิทานที่ทำให้เรารู้จักการมีเพื่อนในจินตนาการเป็นครั้งแรก ทำให้สมัยก่อนเลยชอบพกของเล่นเล็กๆ ในกระเป๋า เอาไว้เป็นเพื่อนทุกครั้งเวลาไปไหนมาไหน เพราะทำให้รู้สึกปลอดภัย รู้สึกไม่ได้อยู่คนเดียว ไปเข้าค่ายกับโรงเรียนก็พกติดตัวไปด้วยตลอดเลย

ยูน-ปัณพัท

เครดิตภาพ : ยูน ปัณพัท

ยูน-ปัณพัท

เครดิตภาพ : ยูน ปัณพัท

ยูน-ปัณพัท

เครดิตภาพ : ยูน ปัณพัท

08 มาถึงวันนี้แล้ว คนยังคงถามยูนเรื่องการทำงานกับ GUCCI อยู่บ่อยๆ ไหม

ก็ยังมีคนทักเราเรื่องนี้อยู่นะ แต่จะบอกว่าเราไม่เคยเบื่อเลย เพราะมันเป็นจังหวะชีวิตหนึ่งของเราที่มันดี เรามีประสบการณ์ที่ดี ซึ่งไม่ได้มองว่าคนอื่นต้องเห็นเราในทุกมุมเสมอไป เพราะคนเราจะรู้จักใครสักคนก็ต้องใช้เวลาไปเรื่อยๆ คนถึงจะได้เห็นเราในมุมมองต่างๆ มากขึ้น

ถ้านึกย้อนถึงตอนนั้น เราแค่ชื่นชอบงานของ อเล็กซานโดร มิเคเล เลยส่งข้อความไปให้กำลังใจเขา จังหวะชีวิตตอนนั้นเลยทำให้เราได้ร่วมงานกับ GUCCI ซึ่งจนมาถึงวันนี้ต่อให้ อเล็กซานโดร มิเคเล ย้ายไปอยู่ VALENTINO แล้ว เราก็ยังคอยให้กำลังใจเขาอยู่ดี เพราะเราชอบการสื่อสารผ่านงานของเขาทุกจุด มันเหมือนบทกวีที่มีเนื้อหามากมายซ่อนอยู่ในนั้น ซึ่งเราเองก็ไม่ได้หยิบยกงานของเขามาเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของตัวเองแต่แค่ดีใจกับเขาเสมอเท่านั้นเอง

ยูน-ปัณพัท

09 อะไรคือความสุขช่วงนี้ของยูน

การมีชีวิตที่เรียบๆ ที่ไม่ต้องตื่นเต้นมาก และพยายามปฏิสัมพันธ์กับทุกอย่างรอบข้างอย่างเป็นมิตร เพราะทุกวันก็มักจะมีเรื่องให้อยากกรี๊ดอยู่บ่อยๆ นะ แต่สุดท้ายเราก็ช่างมันเถอะดีกว่า ซึ่งจริงๆ ช่วงนี้เราเองก็รู้สึกว่าตัวเรามีความสมดุลขึ้น ได้ทำอะไรที่ชอบเยอะขึ้น เจอคนเยอะขึ้น ได้ทำงานอดิเรกที่ชอบเยอะขึ้นด้วย

10 ถ้าชีวิตของยูนเหมือนนิทานอีสป ตลอด 10 ปีของยูนนั้นสอนให้รู้ว่า…

‘อย่ากลัวจนไม่เป็นตัวของตัวเอง’ จริงๆ เราได้ความคิดประมาณนี้มาจากคุณมะเฟือง Life Cry Sis ของ The Matter เป็นพอดแคสต์ที่มีประโยชน์มาก เขาพูดประมาณว่า อย่าพยายามใช้จินตนาการจนคิดว่า บางอย่างมันจะเกิด Worst Case ให้พยายามนึกถึงแต่สิ่งดีๆ เราต้องเชื่อใจกับสิ่งนั้น เพราะพอมั่นใจในสิ่งที่กำลังจะทำ เราจะไม่พยายามหาวิธีปกป้อง แต่เราจะมีแรงบันดาลใจ และจะเสนออะไรที่พิเศษมากขึ้น ถ้ากลัว เราจะอยู่ในกรอบ แต่ถ้าเรากล้า พลังของเราจะพุ่งขึ้นมาเลย ซึ่งเราก็มองว่ามันจริง เลยสรุปได้ว่า อย่าเอาความกลัวมาตีกรอบให้ไม่กล้าทำในสิ่งที่อยากทำ

Tags: