PAPA’s Legacy

มรดกตกทอดชิ้นโตนี้เริ่มต้นมาจากที่เปล่า ซึ่งพ่อของกานดาซื้อมาในปี 1991 ขณะนั้นพื้นที่นี้เป็นที่เปล่าที่มากับสวนมะพร้าวที่ขึ้นตามธรรมชาติ แล้วอาคารจึงตามมาทีหลัง แต่หากเทียบลักษณะเดิมของอาคารกับปัจจุบัน เจ้าของสถานที่ถึงกับต้องพูดออกมาว่า

“หน้าตามันคนละเรื่องเลย”

กานดาและหรั่งรับมรดกชิ้นโตนี้มาด้วยความกดดันว่าจะต้องสร้างธุรกิจขึ้นมาจากโจทย์แรกที่ตั้งไว้ว่าเป็นโรงแรม ซึ่งทั้งคู่ย้ำว่าไม่ใช่ทางถนัด พวกเขาเลยต้องหาทางออกให้กับโจทย์ที่พ่วงคำตอบมาแล้วครึ่งหนึ่ง สุดท้ายกานดาและหรั่งเลือกเปลี่ยนอาคารโรงแรมเป็นสตูดิโอให้เช่า แถมรายได้จากการเช่าสถานที่ยังเป็นเงินก้อน ซึ่งเป็นตัวเลขที่แน่นอนกว่าค่าเข้าพัก เพราะบริเวณนี้ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวที่จะมีคนมาค้างคืนบ่อยๆ

“เราทำงานสายโปรดักชั่น ถ้าจะทำให้ง่ายและเอาคอนเน็กชั่นเรามาเป็นลูกค้า มันต้องเป็นสตูดิโอแหละ กับการดูแลต่างๆ เราจะถนัดทางนี้มากกว่า” กานดาและหรั่งมองอนาคตของมรดกชิ้นนี้ไว้ว่าจะเป็นสตูดิโอให้เช่าที่จะตอบโจทย์ลูกค้าในวงการแฟชั่น

CASA PAPA พัฒนาแบบจากโครงเดิมที่พ่อของกานดาทำไว้ ด้วยจุดประสงค์ของการเป็นโรงแรม จากที่มีคานและเสาทื่อๆ เรียงรายไว้รอกั้นเป็นห้องพักประมาณ 20 ห้องที่ชั้น 1 ก็ปรับเสาเหล่านั้นมาทำเป็นซุ้มโค้งแทน ให้เป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าโล่งๆ สำหรับเป็นสตูดิโอ ไอเดียนี้ได้แรงบันดาลใจจากโบสถ์ยุคศตวรรษที่ 18 ที่เพดานไม่สูงมากและมีซุ้มโค้งซ้อนกันหลายชั้น

ผนังรอบด้านของชั้นหนึ่งเปิดโล่ง ส่วนหน้าต่างก็เป็นบานใหญ่ที่เห็นวิวแลนด์สเคปของสวน หรั่งนึกถึงงานช่างภาพของตัวเองที่การจัดแสงเป็นหัวใจสำคัญของการถ่ายภาพ สตูดิโอในบ้านของพ่อจึงโปร่ง แสงเข้าทุกด้าน ให้มาถึงแล้วพร้อมถ่ายงานได้เลย

ส่วนห้องที่เหลือบนชั้น 2 และ 3 มาจากการกั้นเป็นห้องพัก โดยสถาปนิกที่รู้จักผ่านเพื่อนอีกทีหนึ่ง นอกจากนั้นคือการออกแบบบันไดให้มีทางขึ้นทั้งด้านซ้ายและขวาของอาคาร แต่ฝั่งหนึ่งเป็นบันไดด้านหน้าอาคาร ส่วนอีกฝั่งเป็นบันไดหลบอยู่ด้านใน รวมถึงห้องเก็บแท็งก์น้ำก็ถูกเปลี่ยนเป็นห้องพักอีกห้อง เมื่อมองจากด้านหน้า ตึกนี้เลยดูปลอดโปร่งและใหญ่กว่าที่เห็นในรูป

“เราคิดว่าสถานที่ให้เช่าถ้ามีห้องนอนด้วยก็จะดี เรากั้นห้องนอนไว้ 4 ห้อง เหมือนสถานที่จัดงานแต่งงานปกติ เขาก็มีห้องนอน”

ความกะทัดรัดและพื้นที่ใช้สอยที่ถูกออกแบบมาอย่างดี ส่งผลให้สถานที่นี้เป็นได้ทั้งสตูดิโอ สถานที่จัดงานแต่งงาน และหากจะเหมาสถานที่เพื่อจัดปาร์ตี้ก็ยังได้ ส่วนห้องพักที่เพิ่มเข้ามานั้น พอมาอยู่ในอาคารสีขาวปลอดโปร่งริมน้ำเลยมีบรรยากาศสบายๆ เหมือนบ้านพักตากอากาศ กลายเป็นที่มาของชื่อเต็ม ‘CASA PAPA Home&Space’

PAPA’s Heirs

ในแง่ของการตกแต่ง หรั่งใส่ตัวเองลงไปได้เต็มที่ งานส่วนนี้หรั่งรับผิดชอบเป็นหลัก ภายใต้ข้อจำกัดเดียวที่หรั่งและกานดาต้องคำนึงถึง นั่นคืองบประมาณ

ตอนที่มาถึงเรารู้สึกสะดุดตากับเฟอร์นิเจอร์หลายตัว โซฟาบางตัวเป็นหนัง รูปทรงวินเทจ หลายตัวเป็นโซฟาเดี่ยว แต่ละตัวหุ้มผ้าหลากสีต่างกัน โต๊ะบางตัวเป็นไม้ดูคุ้นตายังไงชอบกล แต่สีสันจัดจ้านขนาดนี้ยังไม่เคยเจอ

“เราซื้อโซฟามาถูกๆ แล้วเอาไปหุ้มผ้าใหม่ บางทีเบื่อหรือมันโทรมก็เอาไปหุ้มสีใหม่ อย่างเก้าอี้ไม้บางตัวเป็นของคุณพ่อ มันเคยเป็นเก้าอี้ไม้แดงๆ เคลือบสแล็ก เราก็ขัดแล้วทาสีใหม่” หรั่งอธิบายที่มาที่ไปของเฟอร์นิเจอร์หลากสีสันหลายรูปทรงในห้อง

“พี่หรั่งเขามองเหมือนภาพถ่าย งานของเขาเท่ นิ่ง มันอาจจะไม่ได้เรียกว่ามินิมัล แต่มันก็ไม่ยุ่งเหยิง และพี่หรั่งก็เก่งการแก้ปัญหา มันก็สะท้อนกลับมาที่การตกแต่ง”

หากมองให้ดีห้องที่มีซุ้มโค้งขาวซึ่งเป็นห้องยอดฮิตของลูกค้า มีของตกแต่งจำนวนน้อยชิ้น ในขณะที่พื้นที่ใช้สอยเยอะและโครงสร้างอาคารสวยเก๋ ตอบโจทย์การเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ให้ลูกค้าเซ็ตฉากและจัดงานได้ตามใจชอบ ลูกค้าของ CASA PAPA มีทั้งกองถ่ายอย่างแฟชั่นโชว์ของแบรนด์ Vickteerut และรายการ The Face Thailand Season 5 รวมถึงงานแต่งงาน กานดาบอกว่าลูกค้าเข้าพักได้ฟรี 1 คืนด้วย ซึ่งรวมในแพ็กเกจเช่าสถานที่สำหรับจัดงานแต่งแล้ว

นอกจากดัดแปลงเฟอร์นิเจอร์ให้สนุกในราคาประหยัด ของตกแต่งบนโต๊ะทั้งหลายก็มาจากของส่วนตัว ทั้งแมกกาซีน กล้อง และแพ็กเกจสินค้าบิวตี้นับไม่ถ้วน กานดาและหรั่งทำงานอยู่ในวงการแฟชั่นมานาน เธอและเขาได้รับสินค้าจากแบรนด์อยู่เรื่อยๆ เลยเอามาวางประดับโต๊ะที่บ้านของพ่อซะเลย

“พวกแบรนด์บิวตี้เขาลงทุนกับแพ็กเกจมาก มันเลยดูดี บางลายก็หายากนะ เหมือนเป็นของสะสมด้วยเลย”

การตกแต่งภายในของ CASA PAPA โดยหรั่งและกานดาช่วยเสริมบ้านสีขาวของพ่อให้มีลูกเล่นน่ารักๆ อยู่ทั่วทุกมุม จนต่อให้เดินดูทั้งวันก็ยังเก็บรายละเอียดไม่ครบ ส่วนดีเทลนั้นตาแตกขนาดไหน เราจะสาธยายให้คุณฟังข้างล่างนี้

PAPA’s Home

กานดาและหรั่งตั้งใจให้ CASA PAPA เป็นบ้านพักตากอากาศริมน้ำบรรยากาศอบอุ่นที่ชื่อห้องพักแต่ละห้องล้อไปกับสิ่งที่พ่อของกานดาชอบ เพราะในทางหนึ่งนี่ก็คือบ้านของพ่อ และเป็นบ้านที่ทำเพื่อระลึกถึงพ่อด้วย

Vanilla Room

ห้องพักกลิ่นวานิลลานี้ได้ศิลปินดัง Pommechan มาร่วมออกแบบ เราจะเห็นลายที่เป็นดีไซน์ของปอมอยู่ตามโคมไฟ วอลเปเปอร์ และเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ บอกเลยว่าแวบแรกที่เห็นเราถึงกับแอบกรี๊ดให้ผนังสีชมพูและบันไดวน ส่วนของตกแต่งที่ขาดไม่ได้คือแมกกาซีนและผลิตภัณฑ์สายบิวตี้จากแบรนด์ต่างๆ ซึ่งกานดาบอกเราว่าให้ใช้ได้จริงด้วยนะ ไม่ใช่แค่วางตกแต่งเฉยๆ ห้องนี้เป็นห้อง Duplex ที่รองรับแขกได้ถึง 7 คนแน่ะ

Brown Sugar Room

ห้องนี้เป็นห้องหัวมุมที่มีกระจกเต็มบานรอบด้าน ทำให้เห็นวิวทั้งฝั่งแน่น้ำและสวนของบ้านพัก ในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตั้งแต่ตู้เย็น จานชามช้อนส้อม และซิงก์ล้างจาน ห้องนี้เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดของ CASA PAPA เลย ทำให้มีพื้นที่สำหรับตกแต่งเยอะตามไปด้วย เราเลยจะเห็นหมอน โต๊ะ โซฟาเก๋ๆ อยู่รอบตัวเต็มไปหมด แม้แต่พรมบนพื้นก็ยังทำให้รู้สึกเหมือนมีงานศิลปะวางอยู่แทบเท้า

Red Rose Room

แดงสมชื่อ! ห้องพักกุหลาบแดงพร้อมเฟอร์นิเจอร์คุมโทน ห้องนี้เป็นห้องขนาดกะทัดรัดสำหรับ 4 คน และกิมมิกที่อยากชี้ให้ดูคือผนังกระจกติดแมกกาซีน ซึ่งหรั่งลงมือติดด้วยตัวเองแทนการใช้ม่าน พอแสงสาดเข้ามาแล้วจะเปลี่ยนมู้ดของภาพบนแมกกาซีนไปอีกแบบ (บอกแล้วว่าดีเทลเขาตาแตกจริงๆ แค่สำรวจภายในห้องก็สนุกแล้ว)

Terrace Room

ห้องนี้เป็นห้องนอนที่เล็กที่สุด เหมาะสำหรับ 2 คน การตกแต่งก็เรียบง่ายและให้บรรยากาศสบายๆ ที่สุดด้วย โซนที่แนะนำคือระเบียงของห้องพักที่เป็นระเบียงเตี้ยมองเห็นวิวแม่น้ำชัดเจน และเจ้าของบ้านกำลังหาโต๊ะมาไว้ให้นั่งชิลล์สำหรับแขกที่จะมาพักในอนาคตด้วย

Eastwood Room

ห้องนี้มีกลิ่นอายความเท่ลอยอยู่ในอากาศ ชื่อห้องก็มาจากนักแสดงฮอลลีวูดชื่อดังอย่างคลินท์ อีสต์วูด กับบทบาทดังซึ่งเขาแสดงเป็นคาวบอย ห้องนี้เลยใช้สีน้ำตาลเป็นหลัก มีกล้องวินเทจวางตกแต่งอยู่คู่นิตยสาร ห้องนี้หันหน้าไปทางระเบียงพอดีด้วย พร้อมกับมีกระจกวงกลมบานเล็กแง้มให้เห็นวิวแม่น้ำ ห้องนี้พักกันได้ 2 คน หรือจะเพิ่มเตียงเสริมอีกเตียงก็ได้

Coconut

ห้องโคโคนัท สตูดิโอโค้งขาวสะอาดตาที่ชั้น 1 ห้องนี้เป็นห้องที่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมกโอเวอร์ใหม่แทบทุกเสาตามที่เล่าให้ฟังในตอนต้น โต๊ะในห้องนี้ถึงแม้จะมีแมกกาซีนกับแพ็กเกจเครื่องสำอางวางอยู่เต็ม แต่เจ้าของบ้านให้ใช้เป็นโต๊ะดินเนอร์ได้เลย หรั่งบอกด้วยว่าให้ลองมานั่งดินเนอร์ใต้แสงเทียน เพราะบรรยากาศตอนกลางคืนก็สวยไม่แพ้บรรยากาศจากแสงธรรมชาติในตอนกลางวัน

Espresso

“ชื่อเอสเปรสโซ่ เพราะคุณพ่อชอบดื่มกาแฟ”

ห้องนี้เป็นสตูดิโอโล่งๆ อีกห้องซึ่งอยู่ชั้น 2 มีมุมถ่ายรูปเป็นหน้าต่างบานโค้งหลายบานเรียงกัน พอแสงส่องกระทบกับพื้นกระเบื้องเคลือบสีเข้มแล้วสวยมากๆ ความพิเศษอีกอย่างคือห้องนี้มีบันไดวนเชื่อมระหว่างชั้น 2 กับชั้น 3 ด้วย บนชั้น 3 จะมีโซฟาสีสดตั้งอยู่ รอบๆ มีผลงานศิลปะติดบนกำแพงหลายชิ้น ให้ความรู้สึกสนุกต่างจากห้องข้างล่างที่คมเข้มกว่า

CASA PAPA เป็นที่พักที่มีความเป็นกันเองสูงมาก เซอร์วิสก็เรียบง่าย คือเปิดห้องไว้แล้วให้แขกใช้พื้นที่ได้ตามอัธยาศัย และสิ่งสำคัญที่ต้องมาสัมผัสคือการตกแต่งภายใน รวมถึงแสงและเงาของแต่ละช่วงเวลา เพราะเจ้าของใส่กิมมิกในทุกรายละเอียด ดังนั้นมาถึง CASA PAPA ทั้งที ก็ควรเดินสำรวจอาคารสักหน่อย

ถ้าใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศ จะล่องเรือชาวบ้านไปตามแม่น้ำท่าจีนก็ได้ น้ำที่นี่นิ่งสวยและไม่ส่งกลิ่นเหมือนแม่น้ำในเมืองกรุง แถมเวลาพระอาทิตย์ตกดินยิ่งมีเสน่ห์ ถ้าสนใจก็แจ้งพนักงานของที่นี่ได้เลย

เจ้าของบ้านยังบอกอีกว่า แขกบางคนมาถึงแล้วไม่ออกไปไหน บางคนไม่ออกจากห้องด้วยซ้ำ เราขอยืนยันอีกเสียงว่าห้องพักทุกห้องยูนีคชนิดที่ว่ามองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ ถ้าใครมีโอกาสได้มาหลายครั้ง แนะนำให้ลองห้องใหม่ไปเรื่อยๆ จนครบ ไม่งั้นถือว่าพลาดมาก