About
RESOUND

ดี-เจอ-รัก

จิกซอว์ชีวิตของ ‘D Gerrard’ ที่เฝ้ารอรักในอุดมคติและปรับสมดุลชีวิตด้วยศาสนา

Beingthere Detour Be myguest FLAVOR Resound art+culture Insights Trends Business Insiders Balance Craftyard News
Read At ONCE
  • ‘จีบไม่เก่ง’ เพลงที่เป็นมากกว่าเพลงรัก เพราะบิ๊ก D Gerrard ได้ซ่อนความรักในอุดมคติของเขาฝากไว้ในบทเพลง กลายเป็นอีกจิกซอว์ชีวิตของบิ๊กในวัย 32 ปี ค้นพบสมดุลชีวิตด้วยการให้ ‘ความรู้สึก’ เป็นเนื้อเดียวกับ ‘เหตุผล’ และเปิดรับให้ศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวหัวใจ

“ผมดีใจที่มีคนอยากรู้เรื่องของผมนะ เพราะผมอยากมีเพื่อนมาตลอดเลย ผมเป็นคนไม่มีเพื่อน
เลยต้องอยู่คนเดียว เพื่อนของผมเป็นหนังสือ ดนตรี เป็นเพื่อนนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ มันทำให้ได้ทบทวนตัวเองและไม่ลืมกำพืดของเรา ”

บิ๊ก-อุกฤษ วิลลีย์ บรอด ดอนกาเบรียล หรือที่ทุกคนรู้จักเขาในชื่อ ‘D Gerrard’ ตอบ หลังจากที่ ONCE สงสัยว่าบิ๊กจะเบื่อกับการตอบคำถามเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กของเขาบ้างหรือยังนะ? เพราะ ONCE ยังอยากนั่งฟังบทเรียนและสิ่งที่บิ๊กได้ตกตะกอนในวัย 32 ปี ตั้งแต่เรื่องความรักในอุดมคติ ความฝันในวัยเด็ก ความเชื่อหรือสิ่งที่ยึดถือ และความสมดุลของชีวิตที่บิ๊กใช้ในการนำทางชีวิต จนไปถึงแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง ‘จีบไม่เก่ง’ ที่เพิ่งปล่อยออกมาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ยอดวิวก็ได้แตะหลักล้านอย่างรวดเร็ว

‘จีบไม่เก่ง’ เป็นอีกเพลงที่แฝงเรื่องราวและตัวตนบิ๊กเอาไว้ ทุกเพลงของ D Gerrard จึงเรียกได้ว่าเป็นจิกซอว์ที่ประกอบร่างเป็นภาพตัวตนของบิ๊ก-อุกฤษขึ้นมา 1 ภาพ หรืออาจจะหลายภาพก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนที่มองเข้าไปในตัวตนของบิ๊กจากมุมไหน

บทความของ ONCE ต่อจากนี้ จึงขอเล่าอีกมุมของบิ๊ก D Gerrard จากชิ้นส่วนจิกซอว์บางตัวที่ ONCE ได้ค้นพบและลองประกอบภาพของบิ๊กให้ทุกคนได้ลองมาสำรวจตัวตนของเขาด้วยกัน

D Gerrard

วิถีรักของ D Gerrard

รู้สึกยังไงบ้างที่เพลง ‘รักรักรักรักรักรักรัก’ กลับมาไวรัล หลังเพลงปล่อยไปแล้ว 3 ปี

ผมเจอกับเหตุการณ์แบบนี้บ่อย ผมเคยมีเพลงที่ปล่อยออกมาแต่ไม่ฮิตหลายเพลง แล้วเพิ่งมาฮิตทีหลังเหมือนกันครับ อย่างเช่นเพลง ‘นักวิทยาศาสตร์’ ตอนนั้นไม่มีคนรู้ด้วยซ้ำว่าคือเพลงอะไร ผ่านไป 2 ปีถึงกลับมาดัง อีกเพลงคือเพลง ‘โลกคู่ขนาน’ กลับมาฮิตหลังเพลงปล่อยไป 3 ปี ผมคิดว่า หรือจริงๆ แล้วการทำงานของเพลงผมมันเป็นแบบนี้

ผมเลยได้แก่นความคิดออกมาว่า ถ้าเราทำเพลงอะไรออกมาเต็มที่ในแบบของมัน แล้วทำออกมาด้วยความจริงใจ หรือทำด้วยความคิดที่อยากให้ทุกงานเป็นมาสเตอร์พีซ ยังไงสักวันหนึ่งเพลงที่เราทำ ก็ต้องดัง เพราะผมทำสุดฝีมือ ณ เวลานั้นแล้ว

เพลง ‘รักรักรักรักรักรักรัก’ ทำไมถึงต้องมีคำว่า ‘รัก’ 7 คำ

เป็นการประชดครับ เพราะ 1 สัปดาห์มี 7 วัน รักทุกวัน เลยเป็นคำว่ารัก 7 ครั้ง ซึ่งจริงๆ เพลงนี้มีหลายมิติมากครับ เพลงนี้พูดถึงความรักของคนสองคน ที่คนหนึ่งคาดหวังให้เราแสดงออกถึงความรักกับเขาด้วยคำพูดอย่างสม่ำเสมอ แต่ในขณะเดียวกัน เรามองว่าการแสดงความรักในแบบของเรา คือการไม่ใช้คำพูดแต่เป็นการกระทำแทน เพราะว่าเรายึดมั่นในการกระทำที่แสดงออกซึ่งความรักมากกว่า เพราะมุมมองความรักของผม ผมมองว่า บางครั้งการพูดคำบางคำบ่อยๆ จะทำให้คุณค่าของคำพูดนั้นลดทอนลง

ผมมองว่า เป็นเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของคำพูด ถ้าเราใช้คำพูดบางคำบ่อยๆ โดยที่เราไม่สามารถทำมันได้ มันจะกลายเป็นไม่ศักดิ์สิทธิ์แทน การใช้คำว่า ‘รัก’ พร่ำเพรื่อ อาจทำให้ความรักนั้นถูกบั่นทอนลงไปเรื่อยๆ ถ้าคุณเองก็ไม่ได้แสดงออกว่า คุณทำตามที่พูดได้ แต่สำหรับคนที่ทำได้ทั้งการกระทำและคำพูดจริงๆ คือคุณเก่งและคุณควรที่จะต้องยืนหยัดกับมันไว้ แต่ในขณะเดียวกัน เรื่องคำพูดก็ยังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคิดและต้องแสดงออกมาให้ถูกทาง

อย่างในท่อนฮุกที่พูดว่า “คนบางคนใช้คำบางคำ พูดไปงั้นงั้นอย่างเลื่อนลอย แต่ฉันพูดน้อยเพียงเพราะฉันต้องการให้คำมันดูมีความหมาย รักรักรักรักรักรักรัก ใช่ไหมคำพูดที่รอคอย พูดให้แล้วอย่าเพิ่งนอยด์ ทำใจน้อยไปเลยนะ โธ่ที่รัก ฉันรักเธอ”

บวกกับท่อนที่กำลังไวรัลที่ร้องว่า “คุณคงไม่ได้สังเกต” ก็คือคุณคงไม่ได้สังเกตว่า จริงๆ เราก็รักคุณอยู่นะ แต่คุณกำลังโฟกัสกับแค่กับคำพูดบางคำอยู่ คนเราชอบลุ่มหลงไปกับคำพูดมากกว่าจะโฟกัสกับการกระทำ ผมเลยเอาประโยคนี้ขึ้นมาใช้ครับ

D Gerrard

อะไรคือแรงบันดาลใจอะไรในการแต่งเพลงใหม่อย่าง ‘จีบไม่เก่ง’

แรงบันดาลใจเพลงนี้มาจากการย้อนมองดูตัวเอง สิ่งต่างๆ ในชีวิตที่ต้องจัดการ จนได้มาเจอว่า ผมมีสิ่งหนึ่งลืมมันไป และยังไม่ได้จัดการตัวเอง คือการที่หาใครสักคนมาสร้างครอบครัว เพราะถึงวัยที่ผมต้องเริ่มมีใครสักคนได้แล้ว แต่พอคิดเรื่องนี้ได้แล้วต้องทำยังไงต่อดี ต้องไปหาแฟนเหรอ? แต่ถ้าผมหาแฟนเหมือนคนอื่นๆ มันก็ออกห่างจากคำว่าศิลปินในแบบที่ผมเป็น เพราะฉะนั้น การหาแฟนในแบบศิลปินจึงต้องสร้างผลงาน เพื่อให้คนได้เห็นว่า ผมมีความตั้งใจแบบไหนผ่านบทเพลง เพราะถ้าอยู่ๆ ผมไปประกาศบอกคนอื่นว่า “เฮ้ย ผมโสดว่ะ จีบผมหน่อย” มันไม่ใช่วิถีของศิลปินที่ผมเป็น

เพลง ‘จีบไม่เก่ง’ เลยเป็นเพลงที่บ่งบอกถึงตัวตนของผมที่ไม่ค่อยกล้าจีบใคร เนื่องจากมีปมในวัยเด็ก เพราะผมเป็นเด็กเนิร์ด ข้อแรกเลยคือ ผมไม่ค่อยมีความมั่นใจในการจีบใคร เพราะกลัวว่าจะถูกเขาปฏิเสธ ข้อที่สองคือ ผมคิดว่าการที่จะมีใครสักคนต่อจากนี้ไป อยากจะให้เป็นการสร้างครอบครัว ฉะนั้น จะมาศึกษาดูใจกันเล่นๆ หรือคุยกันขำๆ ไม่ได้แล้ว ผมเลยใส่รายละเอียดลงไปในเพลงถึงความตั้งใจที่เราอยากมีแฟน ไม่ได้อยากมีเพราะว่ามีแล้วมันเท่ หรือมีเพราะเหงา แต่เป็นเรื่องการมองอนาคต เพื่อที่จะต่อยอดสร้างครอบครัวจริงๆ ก็เลยเขียนเพลงนี้ขึ้นมา

แปลว่าเด็กชายบิ๊กแสนเนิร์ดคนนั้น เป็นเด็กอินโทรเวิร์ตใช่ไหม

สมัยเรียนผมไม่ได้เป็นเด็กอินโทรเวิร์ตโดยดั้งเดิมนะครับ จริงๆ ผมเป็นเด็กเอกซ์โทรเวิร์ตที่ตั้งใจเรียนมากๆ ด้วยซ้ำไป เป็นเด็กเนิร์ดที่ตั้งใจเรียนแต่ก็มีความร่าเริง แต่ว่าเนื่องจากผมเป็นคนแบบนั้นในตอนเด็กเลยทำให้คนอื่นรำคาญ ที่ผมเป็นเด็กตั้งใจเรียนแล้วก็ร่าเริงมากเกินไป ผมเลยเปลี่ยนตัวเองมาเป็นเด็กอินโทรเวิร์ต เริ่มซึม เริ่มไม่ค่อยคุยกับใคร แล้วก็ติดนิสัยนั้นมาเรื่อยๆ จนพอโตขึ้นมา คนก็มักคิดว่า “พี่บิ๊กน่าจะมีแฟนแล้ว เห็นไม่ค่อยโปรโมตตัวเองหรือพูดเรื่องพวกนี้เลย” แต่จริงๆ แล้วผมยังไม่มีใคร แล้วก็โสดมานานแล้วประมาณ 3 ปี

เพลงนี้เลยเป็นการเหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว เพราะเพลงอยากสื่อสารว่าผมยังโสดนะ อยากจะมีใครสักคน กับนกอีกตัวคือ การทำให้คนที่มีภาวะแบบเดียวกับผมกล้าสื่อสารความรู้สึกของตัวเองออกไปได้ผ่านเพลงของผม

D Gerrard

ภาพครอบครัวในอุดมคติของบิ๊ก

ผมเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวและเป็นคนบ้างานมาก เลยคิดว่าคนที่จะมาอยู่กับผมได้ คงต้องเป็นคนที่มีชีวิตของตัวเอง ตั้งใจทำงานในแบบของตัวเองและมีโลกของตัวเองด้วยเช่นกัน ผมมองว่าเราทั้งคู่มีโลกของตัวเอง แต่เราก็สามารถอยู่ด้วยกันได้ ครอบครัวของผมคงเป็น เวิร์กกิง แฟมิลีที่ต่างคนต่างทำงาน ก็มีเวลามาอยู่ด้วยกัน แล้วก็มีลูก สามารถที่จะเลี้ยงลูกให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพในสังคมได้

เล่าถึงการทำ MV เพลง ‘จีบไม่เก่ง’ ให้ฟังหน่อย

MV มาจากเรื่องราวในหัวผมเลย เพราะผมเคยมีเหตุการณ์ตอนวัยรุ่นที่ชอบรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วไม่รู้จะทำยังไง เลยลองเขียนเพลงเพื่อที่จะจีบเขาดู บวกกับคำว่าจีบมันพ้องเสียงกับคำว่าจีบแบบรำไทย ก็เลยเอาสองสิ่งนี้มารวมกันแล้วทำเป็น MV นี้ครับ

ทำไมใน MV ต้องเป็นทศกัณฐ์กับนางสีดา?

ทศกัณฐ์เป็นคนที่ทุ่มเทในการที่จะได้นางสีดามา ในขณะเดียวกัน นางสีดาก็ไม่ต้องการความรักของทศกัณฐ์ ผมคิดว่าในมุมนี้เหมือนผม ตรงที่ผมเป็นคนทุ่มเทกับความรักมากๆ ซึ่งในหลายครั้งก็ไม่สมหวังตามที่ตัวเองต้องการ แต่ทำให้ผมเข้าใจได้ว่า ความรักเป็นเรื่องของจังหวะเวลาและความรู้สึก ผมรู้สึกว่าทศกัณฐ์มีเรื่องนี้ที่คล้ายกับผม แล้วอีกอย่างคือ ผมมองว่าผมมีอัตลักษณ์ที่ดูร้ายกาจคล้ายทศกัณฐ์ แล้วผมมีเชื้อสายของทศกัณฐ์อยู่แล้วด้วย เพราะผมเป็นลูกเสี้ยวโปรตุเกส-ศรีลังกา ซึ่งกรุงลงกาที่ทศกัณฑ์ครองอยู่ในอดีตก็คือประเทศศรีลังกาด้วยครับ

D Gerrard

ยังจำเพลงที่แต่งเพื่อจีบรุ่นพี่ผู้หญิงคนนั้นได้อยู่ไหม?

จำได้ครับ ผมยังร้องได้อยู่เลย เนื้อเพลงร้องว่า

“ตั้งแต่วันนั้นที่ฉันได้พบกับเธอ เธอก็เข้ามา ทำให้ฉันไหวหวั่น อยากจะรู้ว่าเธอคิดอย่างไร คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า เธอคงไม่รู้ ว่าฉันพร่ำเพ้อถึงเธอ จากเบื้องลึกข้างในหัวใจ ที่ใช้ระบายออกไปยังคงค้างคาใจ”

แล้วพี่เขาได้ฟังเพลงที่บิ๊กแต่งไหม?

ได้ฟังครับ แต่พี่เขาบอกว่า อย่ามายุ่งกับเขา (หัวเราะ) คือเขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว ตอนนั้นพี่สาวคนนี้เขารู้อยู่แล้วว่า ผมเล่นดนตรี ผมเลยบอกเขาว่าจริงๆ มีเพลงหนึ่งอยากร้องให้ฟัง ช่วยมากันหน่อยแล้วขึ้นไปบนดาดฟ้า แล้วผมก็เล่นกีต้าร์กับร้องเพลงนี้ให้เขาฟัง เขายิ้มเขินนะ แต่สุดท้ายก็บอกว่า เขามีคนที่ชอบแล้ว อย่ามายุ่งกับเขา ซึ่งจริงๆ ผมดีใจนะที่เขาชัดเจนกับผม

อยากบอกอะไรกับคนฟังผ่านเพลง ‘จีบไม่เก่ง’

ผมอยากจะให้เห็นถึงที่มาที่ไปของเด็กคนหนึ่งที่ชื่อว่า “เด็กชายอุกฤษ” ว่า ก่อนที่เขาจะโตขึ้นมาแล้วเป็นแบบนี้ เขาก็เคยมีความรักแบบนี้ เป็นเด็กแบบนี้ และไม่หยุดที่จะทำในสิ่งที่รัก จนเกิดมาเป็น ‘D Gerrard’ ในปัจจุบัน

อยากให้คนมองว่า ผมก็เป็นคนคนหนึ่งเหมือนกับพวกเขา เพราะคนส่วนใหญ่ชอบคิดว่า ผมเข้าใจยาก เช่นว่า “ดูเพลงของพี่บิ๊กแต่ละเพลงดิ มันดูหลุดโลกไปหมด ไปอยู่จักรวาลนู้นนี้นั้น” ผมอยากบอกว่า ก่อนที่ผมจะเป็น D Gerrard ในปัจจุบัน ในอดีตผมก็เป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้ต่างจากพวกคุณ ซึ่งหมายความว่า คนธรรมดาทั่วไปอย่างพวกคุณ ก็สามารถเติบโตมาเป็นคนที่พิเศษได้เช่นเดียวกัน

D Gerrard

วิทยาศาสตร์-ศาสนา-บิ๊ก-D Gerrard

เพลงของ D Gerrard มักพูดถึงวิทยาศาสตร์ อวกาศ แปลว่าบิ๊กชอบวิทยาศาสตร์ใช่หรือเปล่า?

ผมรักวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฟิสิกส์ เทววิทยา จิตวิทยา ปรัชญา ผมชอบเรียนมากเลยครับ

แต่บิ๊กดูมีความเป็นศิลปินในตัวสูงมาก ตั้งแต่ได้แต่งเพลงจีบพี่สาวคนสวยแล้ว

ใช่ครับ แต่ผมไม่รู้ตัวเลยนะว่าผมมี จนคนมาบอกว่าผมมี แล้วจริงๆ ตอนเด็กผมอยากเป็นนักโบราณคดี อารมณ์เหมือนในหนัง Indiana Jones (หัวเราะ) ผมอยากเป็นแบบนั้นมาก ผมเคยไปแข่ง สสวท. วิชาดาราศาสตร์ด้วย แถมผมยังเคยค้นหาในเน็ตด้วยซ้ำว่า การจะเป็นนักโบราณคดีในไทยต้องทำยังไง แต่พอได้คำตอบแล้วก็รู้สึกว่ามันห่างไกลจากตัวผม แต่ก็ยังมีความชอบในเรื่องพวกนี้อยู่นะ เพราะผมคุยได้ทุกเรื่องเลยถ้าเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์

บิ๊กเรียนสายอะไร?

ช่วงแรกผมเป็นเด็กวิทย์ แต่พอมัธยมฯ ปลาย ผมเปลี่ยนไปเป็นสายศิลป์ แล้วผมก็ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยมหิดล ในวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ผมเลยเป็นคนที่มีพื้นเพจากการที่ชอบในสิ่งที่มีเหตุและผล แต่โตขึ้นมาเริ่มหันมาสนใจด้านศิลป์ ก็เลยเข้าใจทั้งสองอย่างควบคู่กันไปได้

D Gerrard

แต่ ONCE สังเกตว่าบิ๊กเป็นคนที่ใช้ความรู้สึกในการดำเนินชีวิตเยอะอยู่พอสมควรนะ

ใช่ครับผม ผมว่า หัวใจคือเครื่องนำทางชีวิต แต่สมองเป็นเครื่องมือใช้ชีวิต เราไม่ควรใช้สมองนำทาง เพราะเราควรใช้หัวใจนำทาง แต่ใช้สมองมาเป็นตัวช่วยในสิ่งที่หัวใจนำ ทางให้ออกมาได้ดีขึ้น

ผมมองว่าการที่เรามี Emotional คือสิ่งที่ดีแล้ว แต่การมีเหตุและผลมารองรับ จะยิ่งทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์มากขึ้น ในขณะที่คนที่มีแต่เหตุและผลโดยไม่สนใจอารมณ์ จะขาดน้ำหนักในการใช้ชีวิต มีแต่แข็งไม่มีอ่อน หรือบางคนใช้อารมณ์จนมีแต่อ่อนไม่มีแข็ง เพราะฉะนั้น ผมมองว่า คนเราต้องมีทั้ง 2 อย่าง พอมีทั้งแข็งและอ่อน สมดุลในการใช้ชีวิตจะดีขึ้น

แล้วความสมดุลของทั้งอารมณ์และเหตุผลในแบบของบิ๊กเป็นยังไง

ทั้ง 2 อย่างนี้ในตัวผมเป็นเนื้อเดียวกันไปแล้ว เลยไม่จำเป็นต้องแยกว่า สิ่งนี้คืออารมณ์ หรือสิ่งนี้คือเหตุผล เพราะบางอย่างอารมณ์จะมาก่อนก็ได้ แต่ต้องยอมรับได้ด้วยเหตุผลในทางที่ดี หรือบางครั้งจะมีเหตุผลก่อนก็ได้ แต่ต้องกลับมาดูด้วยว่ามันเชื่อมโยงกับอารมณ์ของตัวเราเองด้วยหรือเปล่า เพราะไม่อย่างนั้น ทุกอย่างก็จะกลวงและแบนไปครับ

นอกจากความสมดุลของชีวิต มีเรื่องไหนในช่วงนี้ที่มีอิทธิพลต่อบิ๊กอีกบ้าง

การมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจครับ สำหรับตัวผมในตอนนี้คือศาสนา ผมหันกลับมาเคร่งศาสนา เพราะผมมองว่าเราต้องมีหลักที่จะทำให้เราไม่ถูกนำพาไปในที่ที่เสื่อมโทรม บางทีเราชอบลืมว่า อะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสม หรือชอบธรรมในการทำสิ่งต่างๆ แต่ถ้าเรามีศาสนา ศาสนาจะมีเรื่องของศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมอยู่ ซึ่งทำให้รู้ว่า เมื่อเราทำอะไรที่ขัดกับเสาหลักบางอย่างของศาสนา แปลว่าเป็นสิ่งที่อาจจะไม่ดีแล้ว ฉะนั้น การมีสิ่งนี้เหมือนกับการมีไม้ค้ำ

D Gerrard

ตอนนี้บิ๊กนับถือศาสนาอะไรอยู่

ผมนับถือศาสนาคริสต์มาตั้งแต่เกิด แต่ตอนเด็กๆ ผมยังไม่ได้สนใจในศาสนา ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปโบสถ์ทำไม แต่ครอบครัวจะพาไปโบสถ์ประจำ ตอนนั้นตัวผมเองรู้สึกเบื่อนะ รู้สึกว่าเมื่อไหร่จะเสร็จ เมื่อไหร่จะได้กลับบ้านสักที เพราะตอนนั้น ผมยังไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน จนมีช่วงหนึ่งที่ผมหันมาสนใจศาสนาพุทธ แล้วก็ไปบวชเป็นพระช่วงอายุ 23 เพราะผมชอบศาสนาพุทธมานานแล้ว ผมมองว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีเหตุและผล เพราะผมก็เป็นคนที่มีเหตุผลมาตั้งแต่แรก ก็เลยชอบศาสนาพุทธครับ

ผมสนใจและร่ำเรียนศาสนาพุทธและบวชได้เดือนกว่า หลังจากที่สึกออกมา ผมก็ได้สติ ได้ความนิ่ง ได้สมาธิกลับมา หลังจากนั้นจึงค่อยไปแข่งประกวด The X Factor Thailand แล้วเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาจากตอนนั้น

แล้วผมกลับมาที่ศาสนาคริสต์ได้ยังไง ? มาจากการที่ผมเริ่มมองเห็นว่าสิ่งต่างๆ ในโลกที่ควบคุมไม่ได้ อาจมีใครเป็นคนควบคุมอยู่หรือเปล่า บางสิ่งคนโลกเราก็ควบคุมด้วยตัวเราเองได้ แต่มันยังมีบางสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถควบคุม ซึ่งสิ่งเหล่านั้นดูมีแบบแผนสำหรับผม แม้แต่พระอาทิตย์ที่เรามองเห็น หรือพระจันทร์ที่ขึ้นหรือลง หรือน้ำทะเลที่อาจดูไม่มีแบบแผน แต่ถ้าคุณเรียนวิทยาศาสตร์มา คุณจะรู้ว่าทุกอย่างมีเหตุและผลในการรองรับต่อการกำเนิดปรากฏการณ์ต่างๆ อยู่เสมอ ฉะนั้น หลายๆ อย่างมีแบบแผนของมันนะ แต่มีบางอย่างหรือองค์ความรู้ที่เรายังเข้าไม่ถึงอยู่ แล้วใครเป็นคนสร้างหรือควบคุมมัน? ผมเลยเริ่มหันมาสนใจพระเจ้า

พระเจ้ามีอยู่ในหลายศาสนามาก ตอนนั้นผมยังไม่ได้มองศาสนาคริสต์โดยตรง ก็เลยลองไปดูว่าพระเจ้าของแต่ละศาสนาหรือแต่ละพื้นที่เป็นยังไง อย่างพราหมณ์-ฮินดูมีพระเจ้าหลายองค์มาก ผมเจอคำตอบที่ว่า ในแต่ละท้องที่มักมีชื่อเรียกพระเจ้าของตัวเอง ซึ่งพระเจ้ามีองค์เดียวกันแต่ต่างกันแค่ชื่อเรียก

ผมก็เลยได้สิ่งนี้มาคิดต่อ จนได้มาเจอกับตัวเองคือการที่มีคนรู้จักผมในหลากหลายมุมมองมาก บางคนเรียกผม ‘ยาท เด็กบ้าน’ จากหนัง 4 KINGS ที่ผมเล่น บางคนเรียก ‘พี่บิ๊ก’ บางคนเรียก ‘D Gerrard’ แค่ชื่อผมคนเดียวก็มีหลายชื่อแล้ว แต่ทุกชื่อเกิดมาจากตัวตนผมแค่คนเดียว หมายความว่า พระเจ้าที่คนนับถือกัน จริงๆ แล้วอาจจะมาจากคนคนเดียวด้วยหรือเปล่า ?

D Gerrard

ถ้าบิ๊กมองว่า พระเจ้าอาจจะเป็นคนคนเดียวกันแต่แค่มีหลายชื่อเรียก แล้วทำไมบิ๊กถึงเลือกศาสนาคริสต์?

เพราะศาสนาคริสต์ระบุไว้ในบัญญัติ 10 ประการเลยว่า จงนับถือพระเจ้าผู้เดียวของท่าน ผมเลยมาคิดว่า ทำไมต้องบัญญัติข้อนี้ขึ้นมา ผมเป็นคนที่ต้องตอบทุกอย่างด้วยเหตุและผล เลยคิดต่อว่า การที่คนคนหนึ่งตั้งบัญญัติข้อนี้ขึ้นมา เขามีเหตุผลอะไรในการตั้งขึ้นมา? ในบัญญัติข้อที่ว่า ทำให้ผมตั้งคำถามต่อว่า ถ้าพระเจ้ามีคนเดียวจริง มีเหตุผลอะไรมารองรับว่ามีคนเดียว

เหตุผลที่ศาสนาคริสต์ให้คือ การมีพระเจ้ามีองค์เดียว ทำให้ไม่ต้องไปกราบไหว้มั่วซั่ว เพราะอาจจะทำให้เราสับสนใจต่อความตั้งใจบางอย่างของเรา แทนที่จะได้โฟกัสอยู่กับสิ่งสิ่งเดียว แต่กลับต้องแยกประสาทไปโฟกัสกับการกราบไหว้หลายอย่างเต็มไปหมดเลย เลยทำให้สมาธิของคนเราถูกลดทอนลง ทำให้การเข้าถึงพระเจ้าถูกลดทอนลง ประมาณว่า ถ้าเรามัวแต่แยกความต้องการในการกราบไหว้ไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่า ตกลงต้องกราบไหว้ใคร กลายเป็นทำให้เราอาจสูญเสียโฟกัสที่ต้องมีต่อคนคนหนึ่งหรือพระเจ้าไปได้

ผมยกตัวอย่างให้เข้าใจความคิดของผมง่ายๆ คือ อย่างข้าวกะเพราที่มีส่วนประกอบเยอะมาก มีข้าว มีกะเพรา มีหมูสับ ซอสหอยนางรม มีพริก ทั้งหมดนั้นคือในหนึ่งเมนูกะเพรา แต่คนเราในตอนนี้กำลังมองส่วนประกอบของกะเพราแยกกันอยู่ มองข้าวเป็นข้าว มองพริกเป็นพริก ขณะที่ผมกำลังมองว่า ทุกอย่างก่อนที่จะแยกกัน มันเคยเป็นหนึ่งรวมกันมาก่อน แล้วผู้คนทำให้มันแยกออกจากกัน แต่สักวันหนึ่ง มันจะกลับมารวมกัน กลับมาเป็นหนึ่งอีกครั้ง เพราะทั้งหมดนี้คือสิ่งเดียวกัน

D Gerrard

แล้วบิ๊กเองคือกะเพราที่มีหลายตัวตนเหมือนกันไหม

ใน 1 คนก็มีหลายมิติ ผมเชื่อว่า ปีที่แล้วของหลายๆ คนก็อาจจะไม่ใช่ตัวเขาเองตอนนี้เหมือนกัน แล้วตัวตนของ ‘บิ๊ก’ กับ ‘D Gerrard’ แตกต่างกันยังไง? ต้องบอกว่า ทั้งหมดที่คุณเห็นคือ ส่วนหนึ่งของ ‘บิ๊ก’ ที่บิ๊กเองมีหลายมิติ เหมือนเวลาเราโพสต์บางอย่างลงในโซเชียล เมื่อผ่านไป 3 ปี มันเด้งความทรงจำกลับขึ้นมา เราก็ต้องมีคิดบ้างนั่นแหละว่า ‘กูเป็นใครวะนั่น’ เพราะเราในแต่ละช่วงเวลา อาจเป็นคนละคนกัน แล้วเราก็เป็นคนอื่นในความคิดของใครบางคนด้วย ในความคิดของคนคนหนึ่ง อาจมองผมเป็นคนอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่เราเป็นจริงๆ ก็ได้

ในบรรดาตัวตนที่ผมเป็น ผมรักทุกตัวตนเลย เหตุคือเพื่อที่จะไม่ขัดแย้งกับการกำเนิด เกิดขึ้นของตัวตนที่จะมาใหม่ๆ เพราะถ้าเรารู้สึกแอนตีส่วนหนึ่งของตัวเราเมื่อไหร่ มันเหมือนกับเราไม่ชอบนิ้วมือเรา แล้วเราจะไปหักทิ้ง ก็จะกลายเป็นเหมือนไม่สมบูรณ์ ฉะนั้น ความสมบูรณ์ของตัวเราคือ การที่เราต้องยอมรับมันให้ได้ เราต้องมีวิธีรับมือกับตัวตนของเราเอง ไม่ใช่ไปฆ่ามัน

แล้วบิ๊กมีวิธีรับมือกับตัวตนของตัวเองยังไงบ้าง?

ง่ายมากครับ เราต้องเข้าใจตัวตนนั้นๆ เพราะอย่าลืมว่าร่างกายของเรามันเป็นของเรา ไม่ใช่ของตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นเหล่านั้น เพราะฉะนั้น พวกคุณเป็นแค่คนอาศัยในคอนโด ผมเป็นเจ้าของที่ พวกคุณเป็นแค่คนที่มาเช่าคอนโดที่ชื่อว่า ‘ร่างบิ๊ก’ ฉะนั้น พวกคุณต้องฟังผม ไม่มีเจ้าของที่คนไหนฟังผู้เช่า ดังนั้น ตัวตนไหนที่อยากอยู่ในร่างนี้ดีๆ ก็ต้องฟังเจ้าของที่ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าวครับ

D Gerrard

มองตัวเอง 5 ปีข้างหน้ายังไง?

ผมว่าความสนุกคือการที่ไม่รู้ว่าอนาคตของเราจะเป็นยังไง ความน่าเซอร์ไพรส์ของการมีชีวิตคือ การได้อยู่รอดูว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง และการไม่คิดว่าอีก 5 ปีจะเป็นยังไง ก็เป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะจริงๆ คนเราไม่ต้องไปยึดติดว่าจะต้องเป็นแบบที่คิดเสมอไปหรอก ตัวผมเองเลยไม่ได้คิดว่าในอนาคตจะต้องเป็นยังไง

แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามเป็น “อยากให้อนาคตเป็นยังไง” ผมก็คงคิดว่า อยากจะให้ตัวเองสามารถนำพางานศิลปะที่สร้างไปสู่สายตาโลกนี้ได้มากขึ้น แต่ถ้าไม่เกิดขึ้นก็ไม่เป็นไร เพราะผมได้ทำเต็มที่ในแบบของผมในทุกๆ วันแล้ว

ความสุขช่วงนี้ของบิ๊กคืออะไร?

ความสุขช่วงนี้ คือการที่ขาค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเดินคล่องขึ้น (บิ๊กเข้ารับการผ่าตัดหัวเข่าในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา) และการได้เล่นดนตรี ได้เล่นคอนเสิร์ตอยู่ ได้ทำงานเกี่ยวกับศิลปะครับ อ้อ แล้วก็ช่วงนี้ผมกลับมาเล่นเกม เพราะตอนเด็กๆ ผมชอบเล่นเกมมาก แล้วก็หยุดเล่นเกมไป แต่มีช่วงนี้ที่ผมรู้สึกอยากลองย้อนวัย อยากกลับไปลองเล่นเกมที่เคยเล่นตอนเด็กดู

ผมได้ลองทบทวนตัวเอง ได้ทบทวนความรู้สึกกับการเป็นเด็กในตอนนั้น ผมรู้สึกมีความสุข รู้สึกสนุกดีนะ อีกความสุขหนึ่งคงเป็นการได้ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ได้ภาวนา ได้คุยกับพระเจ้าผ่านความคิดของเรา

และยังรู้สึกโชคดีกับการที่ตัวเองมีจินตนาการในแบบที่มีอยู่ เพราะสิ่งที่ผมกลัวคือ กลัวว่าวันหนึ่งสิ่งที่ผมคิดได้ หรือไอเดียต่างๆ ที่เข้ามาในหัวจะหายไป เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้เรายิ้ม หัวเราะ ตลก มีความสุขได้ ผมกลัวว่าวันหนึ่งมันกลายเป็นความว่างเปล่าที่ไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้ ผมเลยต้องขอบคุณอยู่เสมอว่า พระเจ้ายังส่งไอเดียนี้มาให้ผมคิดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ครับ

บิ๊กในวัย 32 ปีอยากบอกอะไรกับตัวเองบ้าง

ทุกอย่างที่ทำมาได้ก็ดีแล้วนะ ต่อไปจากนี้ลุยต่อให้ดีขึ้น เอาหน่อย! ทำงานที่ต้องทำออกมาให้สมบูรณ์แบบไม่เสียดาย ไม่เสียใจ และต้องคงไว้ทั้งความจริงใจ ทั้งสง่างาม และความอ่อนโอนให้ได้มากกว่านี้

Tags: