จากบ้านสู่คาเฟ่

เดิมทีเจ้าของบ้านจื้อกิมเป็นชาวจีนที่หอบเสื่อผืนหมอนใบมาตั้งรกรากอยู่เชียงใหม่ และสร้างบ้านขนาด 4 ชั้นสำหรับครอบครัวใหญ่ อากงผู้เป็นเจ้าของตั้งชื่อบ้านหลังนี้ว่า “จื้อกิม” เพื่อให้สอดคล้องกับฟังก์ชันของบ้านที่เปิดเป็นคลินิกรักษาคนไข้ และขายยาแผนโบราณหรือยาต้มสมุนไพร

หลังอากงจากไป อาม่าผู้เป็นภรรยาเข้ามารับช่วงทำคลินิกต่อสักพัก ไม่นานก็เลิกกิจการไป เพราะวัตถุดิบที่ใช้ทำยานั้นหายากขึ้น เมื่อบ้านจื้อกิมตกทอดมาสู่รุ่นลูกและรุ่นหลาน ได้ปรับฟังก์ชันใช้งานบริเวณชั้น 1 และชั้นลอยของบ้าน ให้เป็นคาเฟ่แนววินเทจ ที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ของเก่า ซึ่งอยู่คู่กับบ้านมายาวนานกว่า 70 ปี

“ตึกนี้เราไม่ได้รีโนเวตอะไรเลย ทุกอย่างคือของเดิม 70 ปีที่ผ่านมา เป็นยังไง ตอนนี้ก็เป็นยังงั้น ยกเว้นอุปกรณ์บางอย่างที่จำเป็นต้องเปลี่ยน เช่น หลอดไฟ โคมไฟ ฯลฯ” เจน-เจนจิรา พรรณกุล เจนเนอเรชันรุ่น 3 เจ้าของคาเฟ่จื้อกิม เล่าถึงที่มา

คาเฟ่จีนร่วมสมัย

บ้านจื้อกิมตั้งอยู่ในซอยหมู่บ้านอุ่นอารี ต.ศรีภูมิ ตัวเมืองเชียงใหม่ ความสูงของอาคารขนาด 4 ชั้น ทำให้ดูโดดเด่นกว่าอาคารหลังอื่นในละแวกเดียวกัน ชั้นดาดฟ้า ถือเป็นจุดชมวิวเมืองเชียงใหม่แบบส่วนตัว เจนบอกว่าช่วงหน้าหนาวจะมองเห็นดอยสุเทพแบบไกลๆ อีกด้วย

“อากงเป็นคนออกแบบบ้านหลังนี้ ท่านออกแบบไว้ดีมาก ด้านในบ้านยังโปร่งโล่ง เพราะยกเพดานสูง ทำให้มีลมพัดเย็นสบายตลอด โดยเฉพาะหน้าร้อน จะไม่ค่อยรู้สึกร้อนเลย”

ทั้งภายนอกและภายในบ้านฉาบผนังในโทนสีเขียวมะกอก อันเป็นสีดั้งเดิมของบ้าน แม้ว่าสีจะซีดจางไปบ้างตามกาลเวลา แต่กลับทำให้บรรยากาศคาเฟ่ยิ่งดูคลาสสิก ชวนให้นึกถึงความอบอุ่นของบ้านเก่าสมัยวัยเยาว์

“ลูกค้าบางคนบอกว่าคาเฟ่เราเหมือนอยู่ไต้หวันบ้าง ฮ่องกงบ้าง ออกแนวจีนร่วมสมัย แต่ไม่ได้จีนมาก” เจนอธิบาย

พื้นที่ของคาเฟ่แบ่งออกเป็นโซนบาร์และโซนนั่งรับประทานอาหาร โดยเจนเป็นคนตกแต่งเองเกือบทั้งหมด “งานบางชิ้นเราประยุกต์มาจากของเก่าในบ้าน เช่น ท็อปโต๊ะยาว ของเดิมคือบานประตูไม้ รวมไปถึงเครื่องเรือนของเก่าที่ยังใช้งานได้ดี”

นึกเสียว่ามาบ้านเพื่อน

เจนเล่าว่าเธอจบด้านออกแบบสื่อ เคยไปทำงานที่กรุงเทพฯ อยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเชียงใหม่เพื่อหางานที่ไม่ใช่นั่งโต๊ะหน้าคอมพ์ทั้งวัน และก่อนหน้าที่จะเปิดคาเฟ่จื้อกิม เธอเคยเปิดร้านกาแฟในเชียงใหม่ชื่อ The Cup’per ซึ่งปิดตัวไปในช่วงโควิด

“หลังร้านแรกปิดตัวไปได้สักครึ่งปี อาม่าเราเสีย ก็เลยคิดว่ากลับมาเปิดคาเฟ่ที่บ้านดีกว่า เพราะบ้านเรามีของอยู่แล้ว ก็เลยใช้ของเดิมที่มีจัดตกแต่งใหม่ ความตั้งใจคืออยากทำคาเฟ่ให้เหมือนคนมาเที่ยวบ้านเพื่อน มาพูดคุย มานั่งทำงาน เหงาก็มาได้ หรืออยากเฮฮาก็มาได้เช่นกัน

“ร้านเราเป็นเหมือนบ่อเกมขนาดย่อมๆ ที่ทุกคนสามารถหยิบเกมมาเล่นได้เลย แล้วที่นี่เราจะมีกิจกรรมทำร่วมกับลูกค้า อย่างช่วงก่อนที่จะมีโควิด เราจะชวนลูกค้าในกลุ่มไปตีแบดด้วยกัน” เจนเล่ายิ้มแย้ม จากคนกลุ่มเล็กๆ กลายเป็นกลุ่มที่ใหญ่ขึ้น และจากลูกค้ากลายมาเป็นเพื่อนกัน

ชงกาแฟตามใจลูกค้า

คาเฟ่จื้อกิมเปิดให้บริการตั้งแต่ 9 โมงเช้า พร้อมเสิร์ฟกาแฟ เครื่องดื่ม และอาหารกินเล่นพอให้อิ่มท้อง เช่น ขนมจีบ ครัวซองต์ และบราวนีเนื้อแน่นหนึบที่เจ้าของลงมือทำเอง

“สำหรับกาแฟของที่นี่จะเป็นการผสมผสานกาแฟกัวเตมาลา เอธิโอเปีย และกาแฟปางขอน ส่วนผสมจะออกหอมหวานละมุนมีกลิ่นนัท แต่ถ้าเป็นอเมริกาโนจะมีความเปรี้ยวเล็กน้อย

“เราเป็นคนชอบกลิ่นของกาแฟ ชอบการทำกาแฟตรงที่มันให้ความรู้สึกว้าว ไม่ว่าเราจะทำกี่ครั้ง แต่ละครั้งรสชาติจะออกมาไม่เหมือนกันเลย แนวคิดการทำกาแฟของเราคืออยากทำกาแฟให้คนชอบมากกว่า ฉะนั้น เราจะถามลูกค้าก่อนว่าอยากกินกาแฟแนวไหน เราสามารถปรับให้ได้รสชาติที่ลูกค้าต้องการได้”

ด้านเมนูกินเล่นที่เป็นไฮไลต์ เจนบอกว่ามาที่นี่ต้องลองขนมจีบ ซึ่งส่งตรงมาจากโคราช “ขนมจีบของเรามีรสเผ็ดนำ และไม่หวาน ไส้เป็นเนื้อหมูหรือมันหมูผสม และแห้ว อีกเมนูคือบราวนีที่เป็นดับเบิลช็อก เราคิดสูตรและทำเอง ด้วยความที่เป็นคนชอบกินบราวนี แต่ไม่ชอบแบบที่มีฟองอากาศเยอะ ชอบเนื้อแน่น กินแล้วอิ่ม ก็เลยทำตามที่ชอบ”

ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป ทางร้านจะเริ่มมีอาหารขาย เริ่มตั้งแต่ 10.30-14.00 น. เช่น หมูกรอบคั่วเกลือ หมูไก่หรือทะเลผัดพริกเผา ผัดกะเพรา ฯลฯ

ใครมีโอกาสมาเชียงใหม่ ลองแวะไปนั่งชิลล์ นั่งเล่นที่ร้านได้ทุกวัน เผลอๆ อาจได้เพื่อนใหม่เพิ่มอีกสักคน ใครจะรู้ !