- เพราะมีโอกาสได้ซึมซับงานดีไซน์ตั้งแต่เรียนอยู่คณะมัณฑนศิลป์ ‘เฮง – วธันน์ อาเถียน’ ดีไซเนอร์คนนี้จึงกลายเป็นนักสะสมงานดีไซน์สุดแรร์ กระทั่งเมื่อรู้สึกพร้อมส่งต่อชิ้นงานที่รักให้คนที่เห็นคุณค่าได้ดูแลต่อ จึงเปิดร้าน Back in Time 94’s ในบ้านย่านเอกมัย และนำไปสู่ Le Space คาเฟ่กึ่งโชว์รูมเพื่อสานต่อความตั้งใจ บอกเลยว่าถ้าหลงใหลงานดีไซน์ ไม่ควรพลาด
สิ่งของมากมายมีเรื่องราวและความทรงจำฝังในตัว แม้ถูกความเป็นอดีตพลัดพราก หลงเหลือไว้แค่ร่องรอยมายังปัจจุบัน แต่ถ้าใครได้เข้ามาปัดคราบฝุ่นสักนิด เพ่งมองสีสนิมสักหน่อย ก่อนจับเข่าริเริ่มบทสนทนาที่ต่อยอดจากข้อสงสัย ร่องรอยที่เงียบงันคงได้ลุกขึ้นมาเล่าขานให้คนต่างช่วงเวลาได้ฟัง ได้สัมผัสอดีตของมันด้วยกันอีกครั้ง
นั่นคงจะเป็นเสน่ห์ที่จับต้องได้ในงานวินเทจและถือเป็นหัวใจสำคัญของนักสะสมที่พยายามชูคุณค่าชิ้นงานด้วยเรื่องเล่าหรือประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำ มาที่นี่ทั้งทีก็ขอพาทุกคนเดินข้ามเวลากลับสู่อดีต เพื่อย้อนรอยสัมผัสไวบ์ความเก่าไปกับคาเฟ่กึ่งโชว์รูม Le Space & Back in Time 94’s ด้วยกัน
From ‘Back in Time’
จาก BTS เอกมัย เลี้ยวเข้าซอยเอกมัย 4 เดินมาเรื่อยๆ จนได้กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟลอยเข้าจมูกเป็นการทักทายแล้วละก็ คุณจะพบบ้านไม้สีขาวสองชั้นอายุราว 50 ปี ตั้งหลบมุมอยู่กลางต้นไม้ใหญ่ที่ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกดี
เดิมทีเฮงเปิดพื้นที่ชั้นล่างของบ้านเป็นร้านเฟอร์นิเจอร์ชื่อ ‘Back in Time 94s’ ขายผลงานดีไซน์ออริจินัลอายุมากปี ไม่ว่าจะเป็นสไตล์อินดัสเทรียล มิดเซ็นจูรีโมเดิร์น งานวินเทจแอนทีคจากดีไซเนอร์ชื่อดังทั้งในไทยและต่างประเทศ อย่าง เก้าอี้ไม้ดัดอายุ 100 ปี ฝีมือ Michael Thonet นักออกแบบชื่อก้องโลก ที่เฮงเสริมอยากชวนคนที่อินเหมือนกันได้เข้ามาสัมผัส ไม่ซื้อไม่ว่า แค่ได้นั่งพูดคุยกัน บอกเลยว่าออกจากร้านพร้อมความรู้สนุกๆ กลับไปแน่นอน
ทางร้านยังเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องเสียงเก่าหายากทั้งแบรนด์ Braun และแบรนด์ B&O โดยมี ‘ฉัตร – หฤษฏ์ ไชยวานิช’ ศิลปินและซาวน์เอนจีเนียร์ร่วมเป็นพาร์ตเนอร์เข้ามาช่วยแนะนำ เทรนด์ระบบเสียงไปจนถึงดูแลรักษาเครื่องเสียงอายุคุณปู่คุณย่าตลอดชีพในทุกกระเบียดนิ้ว
Back in Time ถูกยกให้เป็นคอนเซ็ปต์ซึ่งมาจากความชอบและความตั้งใจของเฮงที่อยากชวนผู้คนเดินข้ามเวลากลับสู่เรื่องราวในอดีต ผ่านงานดีไซน์ไปด้วยกัน ‘Le Space’ ที่เปิดตามมาทีหลังก็คงคอนเซ็ปต์เดียวกัน แต่เพิ่มกิมมิก กาแฟ ขนม ของสะสม พร้อมเปิดเพลงเก่าให้เราได้ทิ้งตัวเสพความสุนทรีไวบ์อดีตได้ต่อยาวๆ เลย
To ‘Le Space’
พื้นที่ขนาดเล็กชั้นบนซึ่งเคยทำเป็นห้องพักถูกเนรมิตใหม่ให้เป็นคาเฟ่โฮมมีอันอบอุ่น พร้อมการออกแบบเน้นโทนสีน้ำตาล ขาว แดง และเหลืองแบบเรียบง่าย ดูน้อยแต่ตรงไปตรงมาตามสไตล์ Bauhaus (มาจากสถาบันเบาเฮาส์ที่มุ่งสอนศิลปะและการออกแบบในเยอรมนีช่วงปี 1919 – 1933) ส่วนเฟอร์นิเจอร์ เก้าอี้ ไปจนถึงผลงานโชว์ดีไซน์สวยที่วางเรียงรายอยู่นั้น น่าจะเป็นจุดเรียกความสนใจให้เหล่านักสะสมหรือสายออกแบบได้มาตามรอย ได้สัมผัสงานแต่ละชิ้นกันด้วยตาตัวเอง ส่วนคนที่อยากมานั่งชิลล์ๆ ก็จะคงเอ็นจอยไม่น้อย
ก็เหมือนเก้าอี้ริมหน้าต่างตัวที่เรานั่งจิบลาเต้ร้อนไปพลางๆ รสกาแฟผสมท่วงทำนองแจ๊สยุคก่อนจากเครื่องเสียง Braun Model Atelier 1-8 ปี 1959 ทำเอาชวนให้นึกถึงภาพวันเก่า รู้ตัวอีกทีก็เฮงนี่ล่ะที่ชี้มาที่แก้วลาเต้ร้อนก่อนเล่าให้ฟังว่า คือชุดเครื่องแก้ว Fire King รุ่น Jane Ray รุ่นเดียวกันกับที่หว่อง กาไวใช้ประกอบฉากในภาพยนตร์เรื่อง In The Mood For Love ซึ่งกลายมาเป็นเมนหลักในการใช้เสิร์ฟขนมและเครื่องดื่มเมนูร้อนของทางร้านนั่นเอง
แม้ว่าเราจะไม่ค่อยรู้เรื่องงานดีไซน์เท่าไหร่ แต่พอรู้ว่าเก้าอี้ที่นั่งอยู่นี้ ครั้งหนึ่งเคยรับน้ำหนักนักเรียนศิลปะในโรงเรียนเยอรมนี จู่ๆ ก็รู้สึกสุขใจอย่างประหลาดเสมือนได้นั่งทับรอยประวัติศาสตร์ และได้มีส่วนช่วยทะนุถนอมร่องรอยเจ้าเก้าอี้ตัวนี้ไปในตัวยังไงยังงั้นเลย
Find your own cup
ขนมโฮมเมดของ Le Space แม้จะวางขายเพียง 4-5 เมนู แต่ก็ล้วนเป็นซิกเนเจอร์ที่หมุนเปลี่ยนไปตามแต่ละซีซั่น เฮงได้เชฟชาวฝรั่งเศสที่สนิทมานาน มาช่วยรังสรรค์ขนมพร้อมปรับรสชาติให้ถูกปากคนไทย Strawberry Cream Cheese Chocolate (175 บาท) หนึ่งในเมนู Seasonal Signature ที่ครีเอตพอดีชิ้นพอดีคำ วัตถุดิบระดับพรีเมียมส่งให้รสชาติเปรี้ยวของสตรอเบอร์รีตัดกับรสขมช็อกโกแลตได้รสหวานละมุน ทำเอาหยุดชิมไม่ได้เลย
ที่นี่ยังมี Coffee และ Non-Coffee ‘ฝน – ไภศวรรย์ คำคอนสาร’ พี่สาวของเฮงก็เข้ามาช่วยดูแล พร้อมคัดเลือกเมล็ดกาแฟจากเทพเสด็จ จ.เชียงใหม่ เน้นคั่วระดับกลาง เพราะอยากให้ดื่มง่าย มีความสดชื่นแบบที่สามารถดื่มได้ทุกวัน
แนะนำเลย Le Space’ Frozen Vanilla Espresso (130 บาท) นมที่ให้กลิ่นหอมวนิลา เสิร์ฟในรูปแบบก้อนน้ำแข็งที่ให้เราราดช็อตเอสเพรสโซด้วยตนเอง เคล็ดลับอยู่ที่ต้องรอให้ละลายสักนิด ดื่มแล้วก็จะพบความนุ่มนวลให้อารมณ์คล้ายดื่มกาแฟ Dirty แต่มีกิมมิกที่ต้องมาลองด้วยตนเองถึงจะเก็ต
เราชอบที่ทางร้านไม่ได้คิดจะแนะนำเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ซะทีเดียว แต่อยากเน้นพูดคุยกับลูกค้าเพื่อช่วยค้นหาแก้วที่ใช่มากกว่า “เพราะเรื่องขนม กาแฟเป็นเรื่องของอารมณ์ ถ้าลูกค้าไม่รู้จะดื่มอะไร เราจะถามว่าวันนี้รู้สึกอย่างไร เราอยากให้ลูกค้าได้กินขนม ดื่มกาแฟที่ตรงกับอารมณ์ที่เขาอยากมากกว่า” เธอเล่าไปแล้วก็ดริปกาแฟตัวใหม่ไปด้วย ก่อนจะเทให้เราได้ลองชิมไปพร้อมๆ กับเธอ
ไม่คิดว่ากาแฟและของเก่าจะเป็นส่วนผสมที่เรียกความอบอุ่นและสุดชิคในสเปซเล็กๆ ได้ดีขนาดนี้ ก็อย่างที่เฮงเล่าว่า คาเฟ่นี้ต้อนรับทั้งคนที่อินงานดีไซน์ และใครก็ตามที่อยากมาหลบมุมในสถานที่เงียบสงบ ที่นี่ก็เหมาะเหม็งเลย
ที่แน่ๆ Le Space เหมือนเข้ามาบิวด์อารมณ์ชวนให้เรา Back in Time ไปนึกถึงวันวาน ได้ฝากรอยยิ้มไปกับความทรงจำ และมอบช่วงเวลาดีๆ ให้เราได้อยู่กับตัวเองในห้วงเวลาหนึ่งได้เพลินทีเดียว
Le Space & Back in Time 94’s
ที่อยู่ : 24 ซอย เอกมัย 4 พระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
เปิด – ปิด : 09:00 – 18:00 น. ปิดทุกวันอังคาร
Facebook Page : Le Space และ Back in time 94’s หรือ Instagram : le.space.cafe และ backintime94s