MOTMO Studio
โม่-คมกฤษ ชายผู้อยู่เบื้องหลังกาชาปองตำนานไทย ทำทุกอย่างจากอาร์ตทอยถึงการ์ตูนผี
- โม่-คมกฤษ เทพเทียน ชายผู้อยู่เบื้องหลังกาชาปองจากตำนานไทย ผู้ขยายขอบเขตวงการศิลปะร่วมสมัยออกไปถึงผู้คนในวงกว้าง และเจ้าของสตูดิโอ ซึ่งทำทุกอย่างตั้งแต่ปั้นอาร์ตทอยไปจนถึงมีแผนจะพิมพ์การ์ตูนผีขาย เขาใช้ศิลปะรูปแบบต่างๆ ประกาศสงครามต่อการแบ่งชนชั้นและต่อรัฐ โดยหยอดความน่ารักลงในความเป็นไทยที่มุ่งเน้นแต่ความวิจิตรบรรจง และเอาเรื่องเล่าชาวบ้านมาเติมในหน้าประวัติศาสตร์ที่เคยมีแต่เรื่องของบุคคลสำคัญ
มาแซ็ล ดูว์ช็อง เอาโถปัสสาวะไปจัดนิทรรศการ
ส่วนโม่-คมกฤษ เทพเทียน เอาประวัติศาสตร์ไทยใส่ในกาชาปอง
แค่จะเอาตัวละครดังๆ ขลังๆ ในประวัติศาสตร์มาทำเป็นตัวการ์ตูนยังแทบนึกภาพไม่ออก การทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กลายเป็น Mass Product ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่หากคุณยังจำได้ มีสตูดิโอเจ้าหนึ่งที่สร้างปรากฏกาณ์ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ด้วยกาชาปองลายไทยถึง 2 ครั้ง
ครั้งแรก กาชาปองอับเฉา ผลงานไซซ์เล็กที่แตกยอดมาจากผลงานหลักอย่างยักษ์คู่ ซึ่งเป็นงานไฟน์อาร์ตขนาด 3 เมตรที่เอายักษ์ไทยกับยักษ์จีนมาผสมกัน โดยได้แรงบันดาลใจจากรูปปั้นจีนในวัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร
“ตอนนั้นได้เข้าร่วมจัดแสดงผลงานในเทศกาล Bangkok Art Biennale 2018 สถานที่จัดงานของผมคือวัดอรุณฯ พอผมไปดูพื้นที่ เขาก็ถามผมว่าจะทำอะไร ผมตอบกาชาปองก่อนยักษ์คู่อีก ตอบแบบหลุดปากไปเลย เพราะตอนนั้นกระแสกาชาปองกำลังมา”
ครั้งที่สอง หิมพานต์มาร์ชเมลโล ซึ่งเมื่อ 3 ปีที่แล้วปลุกกระแสเที่ยววัดท้องถิ่น จนโทรทัศน์หลายช่องต้องออกข่าว
ความน่ารักของมันได้ทลายกำแพงความเป็น ‘ของสูง’ ที่ทำให้คนไทยบางส่วนไม่กล้าและไม่อยากแตะต้องความเป็นไทยลงเรียบร้อย แถมยังชูคุณค่าวัฒนธรรมกับศิลปะท้องถิ่นอีกด้วย
“ไม่รู้ใครจะเรียกว่าอะไร กาชาปอง อาร์ตทอย หรืออาร์ตเฉยๆ สำหรับผมมันก็คืองานของผม”
ชื่อ MOTMO Studio มาจากอะไร - เราเปิดบทสนทนาด้วยคำถามง่ายๆ
“มาจากตอนรับน้องเข้ามหาวิทยาลัย เราเป็นคนที่เต็มที่มากจนรุ่นพี่ให้ชื่อว่าหมดโม่ (MOTMO) คือปืนลูกโม่ที่ยิงจนหมดแบบไม่มีกั๊ก”
เอาล่ะ ชักจะตื่นเต้นแล้วสิ - เราคิด
ความสำเร็จโดยบังเอิญ
มาเริ่มทำกาชาปองได้ยังไง
ตอนทำยักษ์คู่สำหรับงาน Bangkok Art Biennale 2018 ผมมีข้อมูลมหาศาลเลย เพราะผมทำงานเหมือนทำวิจัย แล้วยักษ์คู่มันไม่พอจะบรรจุข้อมูลทุกอย่าง ผมเลยเอามาใส่กาชาปอง
จริงๆ เริ่มจากการเป็นของที่ระลึกนะ ผมนึกถึงเวลาไปเที่ยวแล้วได้พวงกุญแจ มันไม่ไม่ทัชใจ มันไม่เจ๋ง เลยทำเป็นกาชาปองอับเฉา ผมกะทำแจก 100 ใบ ไม่ก็ 200 ใบ เนี่ยผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
แปลว่าไม่ได้คิดจะทำขายตั้งแต่แรกเหรอ
ใช่ ไม่คิดทำขายอยู่แล้ว แต่ก็เหมือนโดนบังคับให้โต
วันแรกคนหยอด 2 ใบมั้ง วันที่สอง 7 ใบ หลังจากนั้นวันละ 100 ใบ แล้วเกิดดรามาเยอะมาก เพราะมีคนจากจังหวัดอื่นตั้งใจมาเอากาชาปอง พอเขาไม่ได้ก็โวยวายกัน น้องที่หน้าตู้โทร.มาแทบร้องไห้ทุกวันเลย สถานการณ์ตอนนั้นเลยบีบให้ต้องเป็นมืออาชีพ ผมกับน้องๆ 7 – 8 คนก้มหน้าก้มตาทำให้ได้วันละ 100 ใบ แล้วนั่งรถจากลาดกระบังไปส่งที่วัดอรุณฯ ทุกวัน
โหดมาก แล้วหลังจากนั้นไอเดียกาชาปองลายไทยมาจากไหน
ผมเป็นนักผสมของโลกสองใบ พระเครื่องกับของเล่น คุณพ่อของผมสะสมพระเครื่อง ไปไหนก็หิ้วผมไปด้วย พอผมอายุประมาณ 13 – 14 ก็เริ่มดูพระเป็นแล้ว มีตลับพระของตัวเอง ส่วนอีกมุมหนึ่งตัวเราเป็นเด็กยุค 90 ปลาย ช่วงนั้นมีของแถมในขนมห่อละ 5 บาท มันเป็นหุ่นยนต์พลาสติกสีๆ ผมโตมากับการสะสมของทั้งสองอย่าง แล้วงานของผมบางครั้งคือการเอาของเล่นมาทำจริงจัง บางครั้งเอาของจริงจังไปทำเล่น
แต่ก็เพิ่งมารู้ตัวสมัย ป.โทนะว่า มันเกิดจากขอบเขตความเข้าใจของเราที่รู้ทั้งเรื่องพระเครื่องและของเล่น เพราะอาจารย์แกไล่บี้จะรู้ให้ได้ว่า ทำไมเราทำงานแบบนี้ แกขึ้นมึงกูเลยนะ “มึงอธิบายก่อน กูไม่ให้ทำ”
งั้นขอถาม ทำไมเรียกกาชาปองอับเฉาว่ามัคคุเทศก์
มันเหมือนมัคคุเทศก์นำชมประวัติศาสตร์ ผมทำคิวอาร์โค้ดบนกาชาปองให้คนสแกนแล้วเดินไปดูรูปปั้นจริง ขึ้นเกร็ดประวัติศาสตร์สั้นๆ ให้อ่าน
เมื่อก่อนคนแค่สงสัยว่า ทำไมของจีนมาอยู่ในวัดไทย แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันอยู่ตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 3 และเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน ก่อนหน้านี้เสิร์ชคำว่าอับเฉาแทบไม่เจอเลยครับ แต่ตอนนี้ โอ้โห มันมีคอนเทนต์ มีคนถกประวัติศาสตร์กันเยอะแยะ
คิดว่าเหตุการณ์นี้สะท้อนอะไรเกี่ยวกับคนไทย
ทำให้เห็นเลยว่าคนไทยไม่ได้รังเกียจความเป็นไทย แค่ไม่มีใครทำให้สนุกเท่านั้นเอง
ผมยังเคยเจอเด็กคนหนึ่งมาหยอดกาชาปองอับเฉา ใส่โจงกระเบนแดงมาเลย เขาเดินมาดูที่ตู้แล้วถามอับเฉาใช่ไหมพี่ ไอ้เราก็ลุ้นไปกับเขาด้วย คอยเชียร์ว่าสู้ๆ หยอดเอาให้ได้
นึกถึงตัวเองตอนเด็กไหม
นึกถึงนะ ณ ตอนนั้นเรายังเด็กก็เลยอินง่าย เราก็อยากให้เด็กอินความเป็นไทยสักนิด ให้มันเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของเขา เพราะสุดท้ายแล้วก็ฝากเขา (คนรุ่นใหม่) นั่นแหละ
งานศิลปะไทยในรูปแบบกาชาปองมีความสำคัญยังไงอีกบ้าง
กาชาปองขยายออกไปสู่วงกว้างได้ง่ายและจุดประกายให้คนถกกันต่อ สมมติอาร์ตในแกลเลอรีมีคนเข้าน้อย คนที่เข้าใจงานนั้นน้อยยิ่งกว่า แต่นี่ผมเอาศิลปะออกมาข้างนอกแกลเลอรี มันเป็นสินค้า ทุกคนสะสมได้ และพูดตรงๆ ผมเบื่อคำว่าศิลปะร่วมสมัยมาสักพักหนึ่งแล้ว มันแฝงมากับการแบ่งชนชั้น
ยังไงคะ
คนทั่วไปไม่ได้เข้าถึงงานศิลปะกันได้ง่ายๆ ยิ่งถ้าจะสะสมผลงานก็ต้องใช้เงินประมาณหนึ่ง
คราวนี้ยกตัวอย่างศิลปะในโลกตะวันตกที่ศิลปินพยายามทำให้งานเข้าถึงคนมากที่สุด อย่างดูว์ช็องเอาโถฉี่ไปไว้ในนิทรรศการ นั่นแหละคือการทำลายชนชั้นของศิลปะ
ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ MOTMO Studio ตั้งใจจะทำก็คือ?
ผมเริ่มจากทำให้ศิลปะมีมูลค่าที่จับต้องได้ จ่ายร้อยเดียวคุณก็เป็นนักสะสมได้แล้ว หลายคนตามเก็บคาแรกเตอร์ของผมตั้งแต่ผมยังไม่ดัง เดี๋ยวนี้มาเจอกันที่บูธเวลาไปออกงาน แล้วทุกคนก็มาคุยกันเรื่องศิลปะกับประวัติศาสตร์ ผมดีใจมากที่ได้เห็นแบบนั้น
ศิลปะนอกสายตารัฐ
คุณผลักดันการท่องเที่ยวได้ตั้งแต่กาชาปองตัวแรก กลับกันทำไมเรายังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากภาครัฐ
รัฐทำทีไรมันแก่ทุกที ศิลปะที่ถูกครอบโดยส่วนกลางต้องวิจิตร ลายกนกคือดี มันไปกองอยู่ในโลกเครื่องรางของขลัง ทั้งที่เราจะทำให้เข้าถึงง่ายก็ได้ ทำเป็นศิลปะที่ไม่ถูกครอบโดยส่วนกลาง
และที่ภาครัฐขยับยากเพราะว่าติดเรื่องนโยบายกับงบประมาณ ติดเรื่องเอกสารบ้าง ก่อนหน้านี้เอกชนก็พยายามทำ แต่เปลี่ยนรัฐบาลทีก็เริ่มใหม่หมดทุกอย่าง มันขาดความต่อเนื่อง
แล้วรัฐควรทำอย่างไรประวัติศาสตร์ถึงจะไม่ซ้ำรอย
ต้องเปลี่ยนหมาก เอาคนรุ่นใหม่เข้าไปนั่งในส่วนที่มีอำนาจ และต้องเป็นคนขับเคลื่อนที่รวดเร็วด้วย เพราะบางอย่างเป็นเทรนด์ ช้าก็หลุด ล่าสุดมีข้าราชการคนหนึ่งมาคุยกับผมเรื่อง NFT มาคุยตอนนี้มันไม่ทันแล้วไง ตีเหล็กตอนเย็นน่ะตีไปเถอะ ไม่ได้รูปหรอก
ศิลปะที่ไม่ถูกครอบโดยส่วนกลางเป็นยังไง
หิมพานต์มาร์ชเมลโล มันมาจากงานปูนปั้นของชาวบ้าน นำเสนอความเป็นไทยแบบที่รัฐไม่ได้บอก แล้วพอมันน่ารัก คนก็ใช้คำว่าชาวบ้านปั้นแบบละมุนละม่อม มันกึ่งๆ ดูถูก ทีนี้พอมันดังก็เหมือน Subculture ที่เคยถูกกดทับกำลังเบ่งบาน ฉะนั้น หิมพานต์มาร์ชเมลโลไม่ใช่แค่อะไรที่น่ารักนะ มันคือสงครามขนาดย่อม
คนที่ได้รับไปอาจไม่ต้องเข้าใจถึงขนาดว่ามันเป็น Subculture หรอก ผมขายงานนี้ให้ไต้หวัน เขาก็ชอบ โดยที่ไม่รู้ว่าภูมิหลังมันอยู่ในวัด ถ้าชอบเพราะน่ารักก็จบ เหตุผลง่ายๆ ก็พอ เพราะนี่คือการพยายามทำให้ศิลปะที่ไม่ถูกครอบโดยรัฐกลายเป็นที่ยอมรับ
มีตัวแทน Subculture อื่นๆ อีกไหมที่ถูกละเลย
เรื่องผี มันไม่ได้อยู่ในหนังสือเรียน รัฐไม่ได้ให้ท่องจำ แต่มันสะท้อนอดีตทั้งวิถีชีวิตคน สิ่งที่เขากิน เขาใช้ มันทำให้ประวัติศาสตร์มีมิติมากขึ้น ที่สำคัญคือเรื่องผีมักพูดถึงสิ่งที่ใหญ่กว่า อย่างแม่ย่านาคไม่ชอบทหาร เพราะผัวแกไปรบแล้วตาย เรื่องผีมันโยงไปถึงการเมืองการปกครอง
คิดว่ามุมมองของคนไทยต่อการเรียนประวัติศาสตร์ในอนาคตจะเป็นยังไง
คนไทยจะไม่เชื่อข้อมูลเชิงเดี่ยวอีกต่อไป พวกประวัติศาสตร์ที่รัฐใส่ไว้หนังสือเรียนหรือประวัติศาสตร์ที่เล่าแต่เรื่องบุคคลสำคัญ เพราะเดี๋ยวนี้มีสื่อออนไลน์ ไม่ว่าข้อมูลชุดไหนๆ ก็แล้วแต่จะสืบค้นง่ายขึ้น การถกเถียงก็มากขึ้น และจะไม่เปลี่ยนแค่เรื่องประวัติศาสตร์นะ เปลี่ยนทุกเรื่อง
ได้ข่าวว่าคุณกำลังทำการ์ตูนผี สปอยล์หน่อยได้ไหม
การ์ตูนผีที่ผมทำจะเป็นการ์ตูนฮีโร่ เอาเรื่องเล่าชาวบ้านจากสุพรรณบุรี จังหวัดบ้านเกิดผมมาใช้ เรื่องจระเข้สามพัน ซึ่งก็คือเจ้าอาวาสที่มีฤทธิ์แปลงเป็นจระเข้ได้ และต้องใช้น้ำมนต์ราดถึงจะกลับมาเป็นเจ้าอาวาส แต่เณรตกใจเตะน้ำมนต์หกหมด ท่านเลยกลายเป็นจระเข้แล้วก็เวียนว่ายอยู่แถววัด ส่วนในการ์ตูนจะเป็นครึ่งคนครึ่งจระเข้ มีพลังของสัตว์ คล้ายสไปเดอร์แมน
ผมตั้งใจจะใช้ลายเส้นมาเล่นกับไทม์ไลน์ของเรื่อง ลายเส้นแบบเก่าใช้เล่ายุค 2500 พอถึงยุคปัจจุบันจะใช้คนรุ่นใหม่วาด จะชวนนักวาดการ์ตูนสมัยเล่มละบาทกับนักวาดรุ่นใหม่มาช่วย
งานนี้หมดโม่จะเป็นสำนักพิมพ์เอง
โห เป็นทุกอย่างเลย
(พยักหน้า) เป็นทุกอย่าง ที่ผ่านมาผมเหยียบหลายขานะ งานอาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นรายได้หลัก และเป็นศิลปินไฟน์อาร์ตกับเจ้าของสินค้าพวกนี้ แต่ชีวิตมันจะต้องมาถึงทางแยกตลอด ผมจะออกจากงานอาจารย์มาโฟกัสกับ MOTMO Studio ที่ผ่านมายังไม่เคยโฟกัสกับมันเลย อยากลองดูสักตั้ง
รถไฟขบวนสุดท้ายบนเส้นทางใหม่
อาจารย์โม่สอนอะไรในมหาวิทยาลัย
หลักๆ สอนประติมากรรม พวกสกิลพื้นฐาน กับสกิลแอดวานซ์อย่างไฟน์อาร์ต แบบที่เป็นแกลเลอรีไม่ใช่อาร์ตโปรดักต์
โปรดักต์ส่วนใหญ่จะเป็นมหาวิทยาลัยอื่นเชิญไป ล่าสุดผมไปบรรยายที่คณะโบราณคดี อาจารย์มีข้อมูลจำนวนมหาศาล แต่ไม่รู้จะทำยังไงให้เด็กสามารถเอาไปใช้ได้มากกว่างานวิจัย บางครั้งมันเปลี่ยนเป็นสินค้าได้ สร้างธุรกิจได้ เขาก็ให้ผมไปบรรยายว่า ผมแปลงข้อมูลมาเป็นอาร์ตทอยหรือเอาไปเล่นเป็นโปรดักต์ยังไง
คนรุ่นใหม่สนใจทำอาร์ตทอยลายไทยไหม
คือเจอหน้าผมเขาก็จะถามวิธีการทำและสนใจรูปแบบของคาแรกเตอร์มากกว่า เราปฏิเสธไม่ได้เลยนะว่า เด็กรุ่นใหม่เขาโตมากับแอนิเมชัน เว็บตูน มันมีแต่คาแรกเตอร์เต็มไปหมด เขาก็สะท้อนยุคสมัยของตัวเอง สะท้อนสิ่งที่ตัวเองเสพมา ดังนั้น ไม่ผิดอะไรที่เขาจะทำคาแรกเตอร์
แล้วคุณปรับตัวกับการสอนคนรุ่นใหม่ยังไง
ถ้าพูดในฐานะหัวอกคนสร้างสรรค์เลยนะ มันจะรู้สึกเย็นหลังตลอดเวลาว่า วันหนึ่งเราจะเอาต์ ผมเลยกระโดดขึ้นรถไฟทุกขบวนที่ผ่าน ถึงจะเป็นขบวนสุดท้ายก็ตาม ผมไปตามดูดาบพิฆาตอสูร ดูมีม เวลาอธิบายอะไรจะได้เข้าไปนั่งในใจเด็กได้ง่าย
เฟสใหม่ของ MOTMO Studio จะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
ที่ผ่านมาเราไม่มีทีมมาร์เก็ตติ้ง ยังไม่ได้แตะการตลาดเลยด้วยซ้ำ แต่หลังจากนี้จะหาคนมาช่วยดูแล้ว เราอยากมีงานเสิร์ฟลูกน้อง ให้สตูดิโอไปต่อได้ ผมทำเป็นอาชีพไง ผมก็ขายงานไม่ต่างอะไรกับอาร์ทิสต์ทั่วไป
ขนาดไม่มีทีมการตลาดยังปังขนาดนี้ คุณมีเคล็ดลับอะไร
ผมพยายามเลือกเรื่องที่คนมีภาพจำร่วม อย่างกาชาปองรามเกียรติ์มาจากการที่เราฝึกวาดรูปลายไทยครั้งแรกสมัยประถม ด้วยการก๊อบปี้จากหนังสือเรียนภาษาไทย ซึ่งทุกคนได้เรียนเหมือนกันหมด แต่มนุษย์จำได้บ้าง ลืมไปบ้าง งานของเราจะเติมเต็มส่วนที่เขาลืม เหมือนผู้ขายกับผู้ซื้อแบ่งปันความทรงจำร่วมกัน
หรือกาชาปองผีที่มาจากตำนานผีไทยอย่างคุณยายสปีดหรือผีพราย แล้วเทคนิคงานนี้สนองแพสชั่นล้วนๆ เพราะอาร์ตทอยทั่วไปเป็นงาน 3D ที่เกิดจากเทคนิค Mirror ให้งานสมมาตร แต่ผมมองว่า ความสมมาตรไม่ใช่มนุษย์ ทีนี้ปั้นๆ อยู่ผมจับบิดเลย ให้มันเบี้ยวนิดเบี้ยวหน่อย อยากให้ร่างกายมีกระดูก
คุณคิดว่าตัวเองเป็นผู้นำของวงการกาชาปองไทยไหม
ถามว่าเป็นผู้นำไหม ยังไม่กล้าพูดเต็มปากเต็มคำขนาดนั้น ตอนนี้ผมอยากพัฒนามาตรฐานสินค้าให้ดีขึ้นไปอีก ทำอะไรคนก็จะได้เชื่อมั่น เรามองว่า MOTMO Studio เป็นหมุดหมายหนึ่งของการดันศิลปะไทย และเราก็อยากให้หลายสตูดิโอทำกันเยอะๆ ทำจนกว่าคนไทยจะรู้สึกว่าศิลปะไทยมันปกติ อาร์ตทอยไทยไม่ด้อยไปกว่าของญี่ปุ่นหรืออเมริกา
ONCE เป็นสื่อแรกที่ได้ไปเยือนสตูดิโอใหม่ของโม่ ใหม่ขนาดที่ว่าห้องสัมภาษณ์ยังไม่ได้ติดไฟบนฝ้าเลย การสัมภาษณ์ในวันนั้นเลยดำเนินไปพร้อมกับแสงธรรมชาติและบทสนทนาที่เป็นธรรมชาติยิ่งกว่า โม่พูดเรื่องงานบ้าง เรื่องของตัวเองบ้างปะปนกันไป ผสมผสานกันจนแทบแยกโม่-คมกฤษ เทพเทียน กับ MOTMO Studio ออกจากกันไม่ได้ และเราก็พยายามเก็บรายละเอียดต่างๆ เอาไว้ให้ได้มากที่สุดเพื่อให้บทสัมภาษณ์นี้มีมิติที่สุด