- ที่พักสีสันจัดจ้านย่านคลองเตยที่เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว ตั้งแต่ที่พัก Art Museum สตูดิโอเซรามิก สปานวดจุดจักระ สถานที่จัดอีเวนต์ แต่จะไม่นิยามตัวเองเป็นโรงแรม โดยพลอย-ชาลิสา เตียนโพธิทอง ผู้หลงใหลในโรงแรมตั้งแต่เด็ก เริ่มเรียนการโรงแรมตอนอายุ 16 ปี และทำฝันที่ว่าสักวันหนึ่งจะมีโรงแรมของตัวเองได้สำเร็จ
The Fig Lobby ไม่ใช่ที่พักธรรมดาๆ พื้นที่แห่งนี้เป็นเหมือนประมวลตัวตน ความชอบ และความสนใจของพลอย-ชาลิสา เตียนโพธิทอง เธอทำโรงแรมแต่ไม่อยากให้แขกมองเป็นโรงแรม กลับกันเธอใช้ตึกเป็นที่รองรับงานศิลปะและเปลี่ยนทุกตารางนิ้วให้เป็นงานศิลปะได้ แขกสัมผัสกลิ่นอายความอาร์ตได้ตั้งแต่ทางเข้ายันห้องน้ำ โดยได้รับความร่วมมือจากศิลปินมากมายภายใต้โปรเจกต์ Artist Residency และสนับสนุนให้ศิลปินมีรายได้จากการวางขายผลงาน
พลอยสร้างห้องน้ำสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทำโรงแรมแบบ Pet-friendly ให้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ของแขกทุกคนและทุกตัว
พลอยเทรนคนของ The Fig Lobby เพื่อเป็น Ambassador เธอบอกว่าพวกเขาไม่ใช่พนักงานและประตูตึกก็ไม่ใช้คำว่า Staff Only ด้วยซ้ำ
‘อายุน้อย ร้อยโครงการ’ แถมพลอยอัดทุกอย่างลงไปในตึกเก่าย่านคลองเตยตึกเดียว สมกับที่เติบโตมากับธุรกิจโรงแรม และหลงใหลในโรงแรมมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ต้องตกใจไป เราหยิบเรื่องราวร้อยพันประการมาเรียบเรียงให้ใหม่แล้ว
Artist Lives Here
มองจากข้างนอกว่าว้าวแล้ว มองจากข้างในยิ่งว้าวกว่า สีสันของล็อบบี้มาจากผนังกับเฟอร์นิเจอร์ เราสำรวจทุกมุมแล้วเห็นโซฟารูปทรงแปลกตาเต็มไปหมด ที่เป็นรูปปลาดาวสีเหลืองสดก็มี แล้วผนังกระจกที่กั้นล็อบบี้กับห้องอาหารก็เต็มไปด้วยงานสเปรย์ ศิลปินเจ้าของผลงานสุดบรรเจิดคือ tuapennot หรือ น็อต-พิชากร ชูเขียว
“เราอยากให้เหมือน Artists live here. แขกเข้ามาแล้วรับรู้ถึงพลังงานศิลปะได้ แล้วศิลปะของพี่น็อตเข้ากับพลังงานของโรงแรม มันเอเนอจี้เยอะ มีความเด็กและความขี้เล่น”
พลอยชวนน็อตมาพ่นสเปรย์ แคนวาสที่เตรียมไว้ให้คือผนังและกระจกแบบฟูลเฟรม กระบวนการนั้นเป็นการพ่นสดๆ แบบ Free Hand พลอยเล่าว่าน็อตพ่นไป เธอก็ยืนคุยไปด้วย พอครบ 2 ชั่วโมง งานชิ้นใหญ่นี้ก็เสร็จ
ต่อไปพลอยจะทำโปรเจ็กต์ ‘Artist’s Apartment’ ร่วมกับน็อต คราวนี้ยกห้องพักทั้งห้องให้น็อตเนรมิตขึ้นมาทุกส่วน ไม่ว่าจะเตียง โต๊ะ และของตกแต่งอื่นๆ ซึ่งจะมีงานศิลปะของน็อตรวมอยู่แล้ว โปรเจ็กต์นี้จะให้แขกจองห้องพักศิลปินได้ จะได้เสพความอาร์ตใกล้ชิดมากขึ้น และห้องนี้ถูกตั้งชื่อไว้รอแล้วคือ ‘taupennot’s Apartment’
ในล็อบบี้มีงานศิลปะแขวนอยู่หลายเฟรม โดยไม่ถูกสีสันกับการตกแต่งของโรงแรมกลบเลย กลับกันมันดันเข้ากันมากๆ ด้วยซ้ำ แม้แต่ในห้องน้ำมีรูปปั้นหัวเดวิดพร้อมป้ายราคาวางอยู่ พลอยอยากให้อาคารนี้เป็นเหมือน Art Museum ที่ค้างคืนได้ กลายเป็นมิติใหม่ของการนอนโรงแรมเลยแหละ
ช่วงที่เราไปก็เจองานของศิลปินชาวฝรั่งเศสชื่อ ‘Lounys’ ถึงแม้ภาพบางส่วนถูกปลดลงแล้ว เพราะกำลังจะพ้นช่วงจัดแสดง แต่พลอยก็ขนเฟรมขนาดใหญ่ออกมาอวดด้วยตัวเองอีกรอบ
พลอยเล่าว่า Lounys เริ่มต้นจากการเป็นแขก พอพลอยรู้ว่าเขาเป็นศิลปินและพูดคุยกันถูกคอ Lounys เลยยื่นพอร์ตโฟลิโอและตกลงคอนเซ็ปต์กับเจ้าของที่พัก หลังจากนั้นเข้าพักที่ The Fig Lobby ในรูปแบบ Artist Residency ซึ่งศิลปินผู้พำนักจะสร้างสรรค์ผลงานเพื่อเล่าประสบการณ์ตรงหรือเรื่องราวในพื้นที่ที่เขาอาศัยอยู่
“Lounys เล่าเรื่องในช่วง 3 เดือนที่เขาอยู่กรุงเทพฯ ว่าแต่ละที่ที่เขาไป มันแสดงถึงอะไรบ้าง การลงฝีแปรงของเขาแข็งแรงมาก สอดคล้องกับคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนในพื้นที่ที่เขาไปหรือผู้คนที่เขาพบเจอ”
นิทรรศการ Artist Residency เป็นนิทรรศการเวียนที่เปลี่ยนทุกเดือน เพราะมีศิลปินสนใจเข้าร่วมเยอะมาก ส่วนหนึ่งมาจากแขกที่เป็นศิลปินอยู่แล้ว ด้วยภาพลักษณ์ของ The Fig Lobby ที่สนุกและมีความอาร์ตแบบตะโกน ก็เลยดึงดูดแขกที่เข้ากับคอนเซปต์โรงแรมมาโดยธรรมชาติ
พลอยคัดผลงานที่ให้ความสำคัญกับ Inclusivity Sustainability และ Community เช่นเดียวกับโรงแรม ศิลปินอาจสื่อแก่นหลัก 3 ประการนั้นผ่านวัสดุที่ใช้ หรือเมสเสจที่ต้องการสื่อสารก็ได้ หรือไม่ก็เป็นงาน Abstract ที่ทำงานกับอารมณ์ของมนุษย์ หรือสื่อไปในทาง Spiritual ซึ่งก็เป็นไวบ์หนึ่งของโรงแรมเหมือนกัน
ศิลปินที่พลอยร่วมงานด้วยจะต้องมีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ และพลอยยังสนับสนุนศิลปินด้วยการเปิดให้ตั้งราคาขายผลงานได้ด้วย ซึ่งจะเก็บค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อย แบ่งกับคนของโรงแรมที่ขายงานศิลปะชิ้นนั้นได้ แล้วส่วนที่เหลือก็ยกให้ศิลปินเจ้าของผลงาน
More Than Just a Place for Sleep
The Fig Lobby ไม่จำกัดตัวเองว่าเป็นโรงแรม แต่เป็น ‘Fluid Space’ หรือพื้นที่ที่มีความลื่นไหล ไร้บทบาทเฉพาะเจาะจง รองรับเวิร์กช็อปและอีเวนต์รูปแบบต่างๆ ที่สอดคล้องกับคอนเซปต์ ‘Playful Space for Playful Adults’ ยกตัวอย่างงาน ‘New Year, New Friends’ งานพบปะสังสรรค์ที่มีกฎให้เหล่าคนแปลกหน้าต้องทำกิจกรรมร่วมกันโดยไม่ใช้มือถือระหว่างนั้น หรือแม้กระทั่งงานเซ็กซี่แบบผู้ใหญ่อย่าง The Last Supper ซึ่งเป็นงานดินเนอร์พร้อมโชว์กึ่งคาบาเร่ต์
“เราไม่อยากให้แขกมองเราเป็นโรงแรม แต่เราเป็นสเปซที่ใช้ทำอะไรก็ได้ ไม่จำกัดแค่หาคนมาพักมานอนมากิน เราเลยจัดอีเวนต์ค่อนข้างบ่อย โดยจัดที่ล็อบบี้ ห้องอาหาร และ Rooftop”
ชั้นหนึ่งของโรงแรมมี Sanit Handmade สตูดิโอเซรามิกซึ่งผลิตแก้วเซรามิกรูปปากที่วางอยู่ภายในห้องพักทุกห้อง และวางขายที่ The Lobby Shop ทั้งแขกและลูกค้าจากภายนอกแวะมาปั้นดินอยู่ตลอด ส่วนข้างเคาน์เตอร์ Reception ก็มีสปาอินเดีย ซึ่งใช้ศาสตร์การนวดตามจุดจักระของร่างกายกับ Crystal Oil จากหินพลังงานในการนวด พลอยบอกว่าเธอชอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องในทาง Spiritual เป็นพิเศษ จึงพยายามแชร์ประสบการณ์แปลกใหม่นี้ให้แขกลองสัมผัส
พื้นที่นี้เกิดจากการประดิษฐ์สเปซขึ้นมาในแบบฉบับของ The Fig Lobby โดยเฉพาะ และไม่ยึดติดกับ Guideline ของแบรนด์อย่างการทำเครือโรงแรม นี่คือความหมายของโรงแรมบูทีกในมุมมองของพลอย แล้วเธอยังใช้พื้นที่ภายในโรงแรมอย่างสร้างสรรค์และเต็มประสิทธิภาพด้วย ดังนั้นเอกลักษณ์ของ Fluid Space แห่งนี้ นอกเหนือจากการทำเป็นมิวเซียมค้างคืนได้ ก็คือฟังก์ชันหลากหลายที่ไม่มีใครเหมือน ซึ่งยกระดับบทบาทของโรงแรมไปอีกขั้น
Safe Space for Everyone
พลอยสร้าง The Fig Lobby เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน เริ่มตั้งแต่การทำห้องน้ำรวม เธอได้ไอเดียนี้จากบทความที่บอกว่าห้องน้ำเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เกิดการบูลลี่กลุ่ม LGBTQ+ มากที่สุด และเกิดขึ้นตั้งแต่พวกเขายังเด็ก ส่งผลให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศได้รับผลกระทบทางกายและใจ พวกเขาเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบหลายคน เนื่องจากอั้นฉี่ที่โรงเรียนเพื่อกลับไปฉี่ที่บ้านหรือออกไปฉี่ที่อื่น
“คนที่ไม่มีคำจำกัดความทางเพศของตัวเอง ไม่รู้ว่าจะเข้าห้องน้ำห้องไหน เช่น เขาเป็นผู้ชายที่มีความ Feminine สูง หรือเป็น Non-binary เขาก็ไม่อยากเข้าห้องน้ำผู้ชาย เพราะทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำผู้ชาย จะรู้สึกอัดอึด
เรารู้สึกว่า เฮ้ย แค่เข้าห้องน้ำไม่ควรจะต้องคิดเยอะขนาดนั้น พอเรามีสเปซของตัวเอง เลยอยากทำให้สถานที่ของเราเป็น Safe Space สำหรับทุกเพศ”
The Fig Lobby จึงมีกลุ่มเป้าหมายที่เปิดกว้างมาก แล้วครอบคลุมไปถึงสัตว์เลี้ยงด้วย พลอยเข้าใจดีว่าสัตว์เลี้ยงเป็นเหมือนสมาชิกในบ้าน แถมเธอมองว่าเทรนด์การท่องเที่ยวที่กำลังมาคือ Pet Stay ช่วงศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ก็มีลูกค้าคนไทยหลายคนที่มา Staycation พร้อมน้องหมาน้องแมว แขกต่างชาติที่พาสัตว์สี่ขามาไกลจากอังกฤษหรือเบอร์ลินก็มี
แต่ลำพังการทำสเปซให้เป็นมิตรกับแขกอย่างเดียวคงไม่พอ คนของโรงแรมก็เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความรู้สึกเป็นที่ต้อนรับและเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างแขกกับ Fluid Space แห่งนี้ พลอยเรียกคนของโรงแรมว่า Ambassador เพราะมองว่าเขาคือคนพรีเซนต์ตัวตนของโรงแรม ไม่ใช่แค่พนักงาน
พลอยเลือก Ambassador ที่มีพลังงานบวก เวลาสัมภาษณ์งานก็สังเกตจากความเป็นธรรมชาติในบทสนทนา เธอว่าสัมภาษณ์กันนานแล้วจะสัมผัสได้ว่าคนคนนี้ชอบคุยกับคน หรือชอบสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ไหม แล้วพลอยก็มองหาคนที่เข้าใจตัวตนของ The Fig Lobby ด้วย
The Fig Lobby จัด Welcome Ice Cream ให้ถึงมือแขกตั้งแต่เช็กอิน เปิดช่องให้แขก Hang Out กับคนที่มาด้วยกัน หรือจะคุยเล่นกับ Ambassador ก็ได้ เราเองก็ได้ทดลองเป็นแขกชั่วครู่ ค้นพบว่าคนของโรงแรมมีพลังงานบวกล้นเหลือจนส่งมาถึงเราจริงๆ
แล้วระหว่างกินไอศกรีมเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากโซน Reception เห็นช่างภาพที่มากับเราชวน Ambassador ถ่ายรูปกันสนุกสนาน ยังไม่นับ Ambassador ชาวเนปาลประจำห้องอาหารที่ได้ใจช่างภาพของเราไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย
“เราอยากทำให้แขก Arrive as guests, Leave as friends” พลอยย้ำเรื่องนี้กับ Ambassador เสมอ
Space Represents Community
พลอยเติบโตมาในย่านคลองเตย ครอบครัวของพลอยทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมและมีตึกอยู่ในย่าน ซึ่งก็คือตึก The Fig Lobby นี่แหละ พลอยในวัยเด็กมักตามพ่อแม่มาทำงานอยู่เสมอ ที่นี่จึงเป็นเหมือนบ้านอีกหลังของเธอ
พลอยก็เหมือนเด็กทั่วไปที่ซึมซับเอาความรู้และความชอบของพ่อแม่หรือสิ่งที่อยู่รอบตัว เธอจึงมีแพสชั่นเกี่ยวกับโรงแรมตั้งเด็กแล้ว
“เวลาที่ไปโรงแรมไหนก็จะมีความทรงจำที่ดี เราชอบงาน Architect งาน Interior แล้วโรงแรมแต่ละที่มีความงดงามไม่เหมือนกัน มันมีกลิ่น มีรูป มีเสียง ไม่เหมือนกัน โรงแรมเลยเป็น Magical Places สำหรับเรา
ทุกครั้งเวลาเราไปเที่ยว สิ่งที่เราเลือกก่อนคือโรงแรม แล้งเราจะมีโน้ตของเราว่า ชอบอะไรในโรงแรมนั้น เราเคยไปเที่ยว 6 วัน แล้วก็เปลี่ยน 5 โรงแรมด้วยนะ”
พลอยยืนยันว่าเธอชอบโรงแรมมากจริงๆ จากนั้นความชอบก็ต่อยอดไปเป็นอาชีพ เมื่อเธอเลือกเรียนเกี่ยวกับการโรงแรมที่สวิตเซอร์แลนด์ โรงเรียนให้เรียนครึ่งปีแล้วฝึกงานครึ่งปี ทำให้พลอยได้เรียนรู้จากการหน้างานจริงตลอด 4 ปีของการเรียน และเธอได้ทำงานในโรงแรมตั้งแต่ตอนอายุ 16 ปี โดยเริ่มจากโรงแรมในฮ่องกงเป็นที่แรก
หลังจากเรียนจบ พลอยก็บินข้ามฟ้าหาประสบการณ์ทั้งในฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมนี จนกระทั่งกลับบ้านเกิดมาทำตำแหน่ง Hotel Consultant ตอนอายุ 24 ปี หลังจากนั้นจึงสร้าง The Fig Lobby ขึ้นมา
“โรงแรมเป็น Dream Job เราฝันอยู่แล้วว่าวันหนึ่ง จะมีโรงแรมเป็นของตัวเอง”
สำหรับพลอย ย่านคลองเตยเป็นย่านที่ยังใหม่สำหรับทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ สังคมไม่ค่อยรู้และไม่ได้สัมผัสความน่ารักของคนในชุมชน ซึ่งแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ พ่อค้าแม่ขายไม่ยึดติดกับการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อเน้นสร้างกำไร เสน่ห์ของชุมชนเปลี่ยนแปลงไปตามการเติบโตอย่างเร่งรีบของกรุงเทพฯ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และนั่นกลายเป็นจุดแข็งของคลองเตย
“เราให้โจทย์สถาปนิกว่าอยากให้โรงแรมเป็นตัวแทนของคลองเตย ชุมชนที่เราเติบโตขึ้นมา และเราเป็นคนที่ชอบสีอยู่แล้ว เราว่า Colors spark joy. สีทำให้เรามีความสุขได้ เราเลยดึงสีเทอร์ควอยซ์ ม่วง เหลือง และสีอื่นๆ จากบ้านสังกะสีในชุมชนมาเป็นสีตึก” งานนี้พลอยได้สถาปนิกจากเชียงใหม่ Markus Roselieb มาช่วยออกแบบ เขาคือพ่อของเพื่อนสนิทของพลอยที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก
ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็นเป็นกรอบระเบียงเว้าโค้ง ไม่ใช่สี่เหลี่ยมอย่างระเบียงทั่วไป เรียกว่าสถาปัตยกรรมแบบ Free Form พลอยบอกว่าระเบียงแต่ละห้องมีกรอบไม่ซ้ำแบบกันสักห้อง เพิ่มความสนุกให้กับสีสันจัดจ้าน และตอกย้ำความลื่นไหลของ Fluid Space แห่งนี้ได้ดีเยี่ยม
“พอเริ่มรีโนเวตได้ 2 อาทิตย์ก็เจอโควิดพอดี ชุมชนคลองเตยก็เป็นชุมชนที่ติดหนักมาก ช่างก็ติดโควิด เลยต้องปิดไซต์บ่อย กว่าจะรีโนเวตเสร็จก็ใช้เวลานานเกือบ 2 ปี”
ส่วนการตกแต่งภายในก็ได้รับผลกระทบจากโควิดเช่นกัน เพราะบริษัทออกแบบภายในที่พลอยจ้างมาจำเป็นต้องปิดตัวลง พลอยเลยตกแต่งต่อเอง โดยหยิบเอาสิ่งที่ประทับใจจากสมุดโน้ตสำหรับบันทึกเรื่องโรงแรมของเธอมาเติมเต็มพื้นที่แห่งนี้ The Fig Lobby เลยนำเสนอคลองเตย แล้วยังสะท้อนตัวตนของพลอยอีกตะหาก
จากนั้นตึกเก่าอายุเกือบ 50 ปีของครอบครัวเลยเพิ่งเปิดตัวเป็น The Fig Lobby เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2022 ตรงกับวันฮาโลวีนแถมเป็นช่วงที่โควิดซาพอดี
พลอยตั้งชื่อโรงแรมโดยลงท้ายว่า ‘Lobby’ เพราะมันเป็นเหมือนหัวใจหลักของโรงแรม ล็อบบี้รวมการสร้างความประทับใจแรกกับการบอกลาไว้ด้วยกัน และเธออยากให้ The Fig Lobby เป็นเหมือนล็อบบี้ของย่านคลองเตยที่เธอผูกพัน
คำว่า ‘Fig’ คือผลไม้แรกที่ถือกำเนิดขึ้นมาตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ และเป็นพืชที่อดัมกับอีฟใช้ใบปิดอวัยวะเพศ สอดคล้องกับที่ The Fig Lobby เป็นโปรเจ็กต์แรกของพลอย และเธอยังมองหาโอกาสที่จะเปิด The Fruit Lobby ในชุมชนทั่วประเทศ โดยแต่ละที่จะนำเสนอตัวตนของพื้นที่นั้นๆ พลอยยกตัวอย่างว่า ถ้าเปิดล็อบบี้ที่เกาะล้านก็จะใช้ชื่อว่า The Coconut Lobby
Playful Bedrooms
The Fig Lobby เป็นโรงแรมบูทีกขนาด 68 ห้อง มีห้องทั้งหมด 8 ประเภทเชียวนะ ในบทความนี้เราตามเก็บเฉพาะห้องเด็ดจาก 3 ประเภทมาอวด ส่วนผู้นำทัวร์โรงแรมคือ Ambassador สาวในยูนิฟอร์มธีมกล้วยหอมจอมซน (เธอว่าอย่างนั้น)
Standard Room ธีม Feminine (ห้องสีชมพู-เหลือง) กับ Masculine (ห้องสีน้ำเงิน-ส้ม) เฟอร์นิเจอร์และของใช้อื่นๆ ในห้องมีสีสันจัดจ้านไม่แพ้ล็อบบี้ Ambassador บอกว่าแม้แต่ส้วมกับรองเท้าแตะสลับสียังสั่งทำเพื่อให้ได้สีที่เข้าธีม รองเท้าตัวนี้เอามาแทนสลิปเปอร์ ใช้ใส่ได้ทั้งในและนอกโรงแรม เข้ากันกับไอเท็มเก๋ของไทยอย่างถุงพลาสติกสีรุ้ง
ห้องมีขนาด 35 ตร.ม. พอดีสำหรับสองคน และมีทั้งแบบเตียงคู่กับเตียงเดี่ยว โซนระเบียงหันออกไปทางชุมชนคลองเตยพอดี ตอนเช้าจะได้เริ่มต้นวันไปพร้อมกับคนในพื้นที่ สัมผัสกลิ่นอายของกรุงเทพฯ ในแง่มุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
Deluxe Room ห้องที่เราแวะมีชื่อว่า Shades of Orange ห้องใหญ่กว่า Standard Room นิดหน่อยที่ขนาด 50 ตร.ม. และมีมุมโซฟาเพิ่มเข้ามากับบริเวณทางเข้าที่กว้างขวาง ห้องประเภทนี้มีเฉพาะเตียงเดี่ยว แต่เสริมเตียงได้ และโรงแรมมีเตียงเสริมแบบคอกเด็กเล็กให้ด้วย
พลอยบอกว่าอยากให้ของกินเล่นในห้องใช้ของไทยมากเท่าที่จะทำได้ ทั้งของกินเล่นแบบไทยๆ อย่างกล้วยอบแห้ง ถั่วลิสงอบเกลือ รวมถึงมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบรนด์ไทยอยู่ด้วย
Suite Room ห้องแรกที่แวะชมชื่อ The Red Room Suite ซึ่ง Ambassador บอกว่าเป็นห้องแม่เสือสาว สีประจำธีมคือสีแดงก่ำตัดด้วยสีดำ ห้องน้ำเปิดโล่ง โดยรวมแล้วให้ความรู้สึกเซ็กซี่ ขี้เล่น เอาเรื่องสมกับชื่อที่คนของโรงแรมใช้เรียก อีกห้องที่เราไปสำรวจมาคือ Jungle Suite เป็นห้องธีมธรรมชาติ แน่นอนว่าสีเขียวก็บ่งบอกได้ชัด แต่กิมมิกที่แท้จริงคืออ่างอาบน้ำสีชมพูหวานตรงระเบียงต่างหากล่ะ
ห้องประเภทนี้มาจากการทุบสองห้องรวมกันเป็น 70 ตร.ม. นอกจากโซนห้องนอนกับมุมโซฟา ในห้องยังมีมินิบาร์พร้อมอุปกรณ์ชงเครื่องดื่ม และมีอ่างล้างจานให้ด้วย
The Fig Lobby
Map: https://maps.app.goo.gl/voHVqkiVrUV5gav59
Tel: 021031033
Facebook: The Fig Lobby