About
Overnight X Bangkok

Stay Art, Play Harder

The Fig Lobby ที่พักจัดจ้านย่านคลองเตยที่นิยามตัวเองเป็น Art Museum ค้างคืนได้

Beingthere Detour Be myguest FLAVOR Resound art+culture Insights Trends Business Insiders Balance Craftyard News
Read At ONCE
  • ที่พักสีสันจัดจ้านย่านคลองเตยที่เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว ตั้งแต่ที่พัก Art Museum สตูดิโอเซรามิก สปานวดจุดจักระ สถานที่จัดอีเวนต์ แต่จะไม่นิยามตัวเองเป็นโรงแรม โดยพลอย-ชาลิสา เตียนโพธิทอง ผู้หลงใหลในโรงแรมตั้งแต่เด็ก เริ่มเรียนการโรงแรมตอนอายุ 16 ปี และทำฝันที่ว่าสักวันหนึ่งจะมีโรงแรมของตัวเองได้สำเร็จ

The Fig Lobby ไม่ใช่ที่พักธรรมดาๆ พื้นที่แห่งนี้เป็นเหมือนประมวลตัวตน ความชอบ และความสนใจของพลอย-ชาลิสา เตียนโพธิทอง เธอทำโรงแรมแต่ไม่อยากให้แขกมองเป็นโรงแรม กลับกันเธอใช้ตึกเป็นที่รองรับงานศิลปะและเปลี่ยนทุกตารางนิ้วให้เป็นงานศิลปะได้ แขกสัมผัสกลิ่นอายความอาร์ตได้ตั้งแต่ทางเข้ายันห้องน้ำ โดยได้รับความร่วมมือจากศิลปินมากมายภายใต้โปรเจกต์ Artist Residency และสนับสนุนให้ศิลปินมีรายได้จากการวางขายผลงาน

พลอยสร้างห้องน้ำสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทำโรงแรมแบบ Pet-friendly ให้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ของแขกทุกคนและทุกตัว

พลอยเทรนคนของ The Fig Lobby เพื่อเป็น Ambassador เธอบอกว่าพวกเขาไม่ใช่พนักงานและประตูตึกก็ไม่ใช้คำว่า Staff Only ด้วยซ้ำ

‘อายุน้อย ร้อยโครงการ’ แถมพลอยอัดทุกอย่างลงไปในตึกเก่าย่านคลองเตยตึกเดียว สมกับที่เติบโตมากับธุรกิจโรงแรม และหลงใหลในโรงแรมมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ต้องตกใจไป เราหยิบเรื่องราวร้อยพันประการมาเรียบเรียงให้ใหม่แล้ว

The Fig Lobby

Artist Lives Here

มองจากข้างนอกว่าว้าวแล้ว มองจากข้างในยิ่งว้าวกว่า สีสันของล็อบบี้มาจากผนังกับเฟอร์นิเจอร์ เราสำรวจทุกมุมแล้วเห็นโซฟารูปทรงแปลกตาเต็มไปหมด ที่เป็นรูปปลาดาวสีเหลืองสดก็มี แล้วผนังกระจกที่กั้นล็อบบี้กับห้องอาหารก็เต็มไปด้วยงานสเปรย์ ศิลปินเจ้าของผลงานสุดบรรเจิดคือ tuapennot หรือ น็อต-พิชากร ชูเขียว

“เราอยากให้เหมือน Artists live here. แขกเข้ามาแล้วรับรู้ถึงพลังงานศิลปะได้ แล้วศิลปะของพี่น็อตเข้ากับพลังงานของโรงแรม มันเอเนอจี้เยอะ มีความเด็กและความขี้เล่น”

The Fig Lobby

พลอยชวนน็อตมาพ่นสเปรย์ แคนวาสที่เตรียมไว้ให้คือผนังและกระจกแบบฟูลเฟรม กระบวนการนั้นเป็นการพ่นสดๆ แบบ Free Hand พลอยเล่าว่าน็อตพ่นไป เธอก็ยืนคุยไปด้วย พอครบ 2 ชั่วโมง งานชิ้นใหญ่นี้ก็เสร็จ

The Fig Lobby

ต่อไปพลอยจะทำโปรเจ็กต์ ‘Artist’s Apartment’ ร่วมกับน็อต คราวนี้ยกห้องพักทั้งห้องให้น็อตเนรมิตขึ้นมาทุกส่วน ไม่ว่าจะเตียง โต๊ะ และของตกแต่งอื่นๆ ซึ่งจะมีงานศิลปะของน็อตรวมอยู่แล้ว โปรเจ็กต์นี้จะให้แขกจองห้องพักศิลปินได้ จะได้เสพความอาร์ตใกล้ชิดมากขึ้น และห้องนี้ถูกตั้งชื่อไว้รอแล้วคือ ‘taupennot’s Apartment’

The Fig Lobby

ในล็อบบี้มีงานศิลปะแขวนอยู่หลายเฟรม โดยไม่ถูกสีสันกับการตกแต่งของโรงแรมกลบเลย กลับกันมันดันเข้ากันมากๆ ด้วยซ้ำ แม้แต่ในห้องน้ำมีรูปปั้นหัวเดวิดพร้อมป้ายราคาวางอยู่ พลอยอยากให้อาคารนี้เป็นเหมือน Art Museum ที่ค้างคืนได้ กลายเป็นมิติใหม่ของการนอนโรงแรมเลยแหละ

ช่วงที่เราไปก็เจองานของศิลปินชาวฝรั่งเศสชื่อ ‘Lounys’ ถึงแม้ภาพบางส่วนถูกปลดลงแล้ว เพราะกำลังจะพ้นช่วงจัดแสดง แต่พลอยก็ขนเฟรมขนาดใหญ่ออกมาอวดด้วยตัวเองอีกรอบ

The Fig Lobby

พลอยเล่าว่า Lounys เริ่มต้นจากการเป็นแขก พอพลอยรู้ว่าเขาเป็นศิลปินและพูดคุยกันถูกคอ Lounys เลยยื่นพอร์ตโฟลิโอและตกลงคอนเซ็ปต์กับเจ้าของที่พัก หลังจากนั้นเข้าพักที่ The Fig Lobby ในรูปแบบ Artist Residency ซึ่งศิลปินผู้พำนักจะสร้างสรรค์ผลงานเพื่อเล่าประสบการณ์ตรงหรือเรื่องราวในพื้นที่ที่เขาอาศัยอยู่

“Lounys เล่าเรื่องในช่วง 3 เดือนที่เขาอยู่กรุงเทพฯ ว่าแต่ละที่ที่เขาไป มันแสดงถึงอะไรบ้าง การลงฝีแปรงของเขาแข็งแรงมาก สอดคล้องกับคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนในพื้นที่ที่เขาไปหรือผู้คนที่เขาพบเจอ”

นิทรรศการ Artist Residency เป็นนิทรรศการเวียนที่เปลี่ยนทุกเดือน เพราะมีศิลปินสนใจเข้าร่วมเยอะมาก ส่วนหนึ่งมาจากแขกที่เป็นศิลปินอยู่แล้ว ด้วยภาพลักษณ์ของ The Fig Lobby ที่สนุกและมีความอาร์ตแบบตะโกน ก็เลยดึงดูดแขกที่เข้ากับคอนเซปต์โรงแรมมาโดยธรรมชาติ

The Fig Lobby

พลอยคัดผลงานที่ให้ความสำคัญกับ Inclusivity Sustainability และ Community เช่นเดียวกับโรงแรม ศิลปินอาจสื่อแก่นหลัก 3 ประการนั้นผ่านวัสดุที่ใช้ หรือเมสเสจที่ต้องการสื่อสารก็ได้ หรือไม่ก็เป็นงาน Abstract ที่ทำงานกับอารมณ์ของมนุษย์ หรือสื่อไปในทาง Spiritual ซึ่งก็เป็นไวบ์หนึ่งของโรงแรมเหมือนกัน

ศิลปินที่พลอยร่วมงานด้วยจะต้องมีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ และพลอยยังสนับสนุนศิลปินด้วยการเปิดให้ตั้งราคาขายผลงานได้ด้วย ซึ่งจะเก็บค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อย แบ่งกับคนของโรงแรมที่ขายงานศิลปะชิ้นนั้นได้ แล้วส่วนที่เหลือก็ยกให้ศิลปินเจ้าของผลงาน

The Fig Lobby

More Than Just a Place for Sleep

The Fig Lobby ไม่จำกัดตัวเองว่าเป็นโรงแรม แต่เป็น ‘Fluid Space’ หรือพื้นที่ที่มีความลื่นไหล ไร้บทบาทเฉพาะเจาะจง รองรับเวิร์กช็อปและอีเวนต์รูปแบบต่างๆ ที่สอดคล้องกับคอนเซปต์ ‘Playful Space for Playful Adults’ ยกตัวอย่างงาน ‘New Year, New Friends’ งานพบปะสังสรรค์ที่มีกฎให้เหล่าคนแปลกหน้าต้องทำกิจกรรมร่วมกันโดยไม่ใช้มือถือระหว่างนั้น หรือแม้กระทั่งงานเซ็กซี่แบบผู้ใหญ่อย่าง The Last Supper ซึ่งเป็นงานดินเนอร์พร้อมโชว์กึ่งคาบาเร่ต์

“เราไม่อยากให้แขกมองเราเป็นโรงแรม แต่เราเป็นสเปซที่ใช้ทำอะไรก็ได้ ไม่จำกัดแค่หาคนมาพักมานอนมากิน เราเลยจัดอีเวนต์ค่อนข้างบ่อย โดยจัดที่ล็อบบี้ ห้องอาหาร และ Rooftop”

The Fig Lobby

ชั้นหนึ่งของโรงแรมมี Sanit Handmade สตูดิโอเซรามิกซึ่งผลิตแก้วเซรามิกรูปปากที่วางอยู่ภายในห้องพักทุกห้อง และวางขายที่ The Lobby Shop ทั้งแขกและลูกค้าจากภายนอกแวะมาปั้นดินอยู่ตลอด ส่วนข้างเคาน์เตอร์ Reception ก็มีสปาอินเดีย ซึ่งใช้ศาสตร์การนวดตามจุดจักระของร่างกายกับ Crystal Oil จากหินพลังงานในการนวด พลอยบอกว่าเธอชอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องในทาง Spiritual เป็นพิเศษ จึงพยายามแชร์ประสบการณ์แปลกใหม่นี้ให้แขกลองสัมผัส

The Fig Lobby

พื้นที่นี้เกิดจากการประดิษฐ์สเปซขึ้นมาในแบบฉบับของ The Fig Lobby โดยเฉพาะ และไม่ยึดติดกับ Guideline ของแบรนด์อย่างการทำเครือโรงแรม นี่คือความหมายของโรงแรมบูทีกในมุมมองของพลอย แล้วเธอยังใช้พื้นที่ภายในโรงแรมอย่างสร้างสรรค์และเต็มประสิทธิภาพด้วย ดังนั้นเอกลักษณ์ของ Fluid Space แห่งนี้ นอกเหนือจากการทำเป็นมิวเซียมค้างคืนได้ ก็คือฟังก์ชันหลากหลายที่ไม่มีใครเหมือน ซึ่งยกระดับบทบาทของโรงแรมไปอีกขั้น

The Fig Lobby

Safe Space for Everyone

พลอยสร้าง The Fig Lobby เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน เริ่มตั้งแต่การทำห้องน้ำรวม เธอได้ไอเดียนี้จากบทความที่บอกว่าห้องน้ำเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เกิดการบูลลี่กลุ่ม LGBTQ+ มากที่สุด และเกิดขึ้นตั้งแต่พวกเขายังเด็ก ส่งผลให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศได้รับผลกระทบทางกายและใจ พวกเขาเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบหลายคน เนื่องจากอั้นฉี่ที่โรงเรียนเพื่อกลับไปฉี่ที่บ้านหรือออกไปฉี่ที่อื่น

The Fig Lobby

“คนที่ไม่มีคำจำกัดความทางเพศของตัวเอง ไม่รู้ว่าจะเข้าห้องน้ำห้องไหน เช่น เขาเป็นผู้ชายที่มีความ Feminine สูง หรือเป็น Non-binary เขาก็ไม่อยากเข้าห้องน้ำผู้ชาย เพราะทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำผู้ชาย จะรู้สึกอัดอึด

เรารู้สึกว่า เฮ้ย แค่เข้าห้องน้ำไม่ควรจะต้องคิดเยอะขนาดนั้น พอเรามีสเปซของตัวเอง เลยอยากทำให้สถานที่ของเราเป็น Safe Space สำหรับทุกเพศ”

The Fig Lobby

The Fig Lobby จึงมีกลุ่มเป้าหมายที่เปิดกว้างมาก แล้วครอบคลุมไปถึงสัตว์เลี้ยงด้วย พลอยเข้าใจดีว่าสัตว์เลี้ยงเป็นเหมือนสมาชิกในบ้าน แถมเธอมองว่าเทรนด์การท่องเที่ยวที่กำลังมาคือ Pet Stay ช่วงศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ก็มีลูกค้าคนไทยหลายคนที่มา Staycation พร้อมน้องหมาน้องแมว แขกต่างชาติที่พาสัตว์สี่ขามาไกลจากอังกฤษหรือเบอร์ลินก็มี

The Fig Lobby

แต่ลำพังการทำสเปซให้เป็นมิตรกับแขกอย่างเดียวคงไม่พอ คนของโรงแรมก็เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความรู้สึกเป็นที่ต้อนรับและเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างแขกกับ Fluid Space แห่งนี้ พลอยเรียกคนของโรงแรมว่า Ambassador เพราะมองว่าเขาคือคนพรีเซนต์ตัวตนของโรงแรม ไม่ใช่แค่พนักงาน

พลอยเลือก Ambassador ที่มีพลังงานบวก เวลาสัมภาษณ์งานก็สังเกตจากความเป็นธรรมชาติในบทสนทนา เธอว่าสัมภาษณ์กันนานแล้วจะสัมผัสได้ว่าคนคนนี้ชอบคุยกับคน หรือชอบสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ไหม แล้วพลอยก็มองหาคนที่เข้าใจตัวตนของ The Fig Lobby ด้วย

The Fig Lobby

The Fig Lobby

The Fig Lobby จัด Welcome Ice Cream ให้ถึงมือแขกตั้งแต่เช็กอิน เปิดช่องให้แขก Hang Out กับคนที่มาด้วยกัน หรือจะคุยเล่นกับ Ambassador ก็ได้ เราเองก็ได้ทดลองเป็นแขกชั่วครู่ ค้นพบว่าคนของโรงแรมมีพลังงานบวกล้นเหลือจนส่งมาถึงเราจริงๆ

แล้วระหว่างกินไอศกรีมเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากโซน Reception เห็นช่างภาพที่มากับเราชวน Ambassador ถ่ายรูปกันสนุกสนาน ยังไม่นับ Ambassador ชาวเนปาลประจำห้องอาหารที่ได้ใจช่างภาพของเราไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

“เราอยากทำให้แขก Arrive as guests, Leave as friends” พลอยย้ำเรื่องนี้กับ Ambassador เสมอ

The Fig Lobby

Space Represents Community

พลอยเติบโตมาในย่านคลองเตย ครอบครัวของพลอยทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมและมีตึกอยู่ในย่าน ซึ่งก็คือตึก The Fig Lobby นี่แหละ พลอยในวัยเด็กมักตามพ่อแม่มาทำงานอยู่เสมอ ที่นี่จึงเป็นเหมือนบ้านอีกหลังของเธอ

พลอยก็เหมือนเด็กทั่วไปที่ซึมซับเอาความรู้และความชอบของพ่อแม่หรือสิ่งที่อยู่รอบตัว เธอจึงมีแพสชั่นเกี่ยวกับโรงแรมตั้งเด็กแล้ว

“เวลาที่ไปโรงแรมไหนก็จะมีความทรงจำที่ดี เราชอบงาน Architect งาน Interior แล้วโรงแรมแต่ละที่มีความงดงามไม่เหมือนกัน มันมีกลิ่น มีรูป มีเสียง ไม่เหมือนกัน โรงแรมเลยเป็น Magical Places สำหรับเรา

ทุกครั้งเวลาเราไปเที่ยว สิ่งที่เราเลือกก่อนคือโรงแรม แล้งเราจะมีโน้ตของเราว่า ชอบอะไรในโรงแรมนั้น เราเคยไปเที่ยว 6 วัน แล้วก็เปลี่ยน 5 โรงแรมด้วยนะ”

พลอยยืนยันว่าเธอชอบโรงแรมมากจริงๆ จากนั้นความชอบก็ต่อยอดไปเป็นอาชีพ เมื่อเธอเลือกเรียนเกี่ยวกับการโรงแรมที่สวิตเซอร์แลนด์ โรงเรียนให้เรียนครึ่งปีแล้วฝึกงานครึ่งปี ทำให้พลอยได้เรียนรู้จากการหน้างานจริงตลอด 4 ปีของการเรียน และเธอได้ทำงานในโรงแรมตั้งแต่ตอนอายุ 16 ปี โดยเริ่มจากโรงแรมในฮ่องกงเป็นที่แรก

หลังจากเรียนจบ พลอยก็บินข้ามฟ้าหาประสบการณ์ทั้งในฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมนี จนกระทั่งกลับบ้านเกิดมาทำตำแหน่ง Hotel Consultant ตอนอายุ 24 ปี หลังจากนั้นจึงสร้าง The Fig Lobby ขึ้นมา

“โรงแรมเป็น Dream Job เราฝันอยู่แล้วว่าวันหนึ่ง จะมีโรงแรมเป็นของตัวเอง”

สำหรับพลอย ย่านคลองเตยเป็นย่านที่ยังใหม่สำหรับทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ สังคมไม่ค่อยรู้และไม่ได้สัมผัสความน่ารักของคนในชุมชน ซึ่งแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ พ่อค้าแม่ขายไม่ยึดติดกับการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อเน้นสร้างกำไร เสน่ห์ของชุมชนเปลี่ยนแปลงไปตามการเติบโตอย่างเร่งรีบของกรุงเทพฯ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และนั่นกลายเป็นจุดแข็งของคลองเตย

“เราให้โจทย์สถาปนิกว่าอยากให้โรงแรมเป็นตัวแทนของคลองเตย ชุมชนที่เราเติบโตขึ้นมา และเราเป็นคนที่ชอบสีอยู่แล้ว เราว่า Colors spark joy. สีทำให้เรามีความสุขได้ เราเลยดึงสีเทอร์ควอยซ์ ม่วง เหลือง และสีอื่นๆ จากบ้านสังกะสีในชุมชนมาเป็นสีตึก” งานนี้พลอยได้สถาปนิกจากเชียงใหม่ Markus Roselieb มาช่วยออกแบบ เขาคือพ่อของเพื่อนสนิทของพลอยที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก

ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็นเป็นกรอบระเบียงเว้าโค้ง ไม่ใช่สี่เหลี่ยมอย่างระเบียงทั่วไป เรียกว่าสถาปัตยกรรมแบบ Free Form พลอยบอกว่าระเบียงแต่ละห้องมีกรอบไม่ซ้ำแบบกันสักห้อง เพิ่มความสนุกให้กับสีสันจัดจ้าน และตอกย้ำความลื่นไหลของ Fluid Space แห่งนี้ได้ดีเยี่ยม

“พอเริ่มรีโนเวตได้ 2 อาทิตย์ก็เจอโควิดพอดี ชุมชนคลองเตยก็เป็นชุมชนที่ติดหนักมาก ช่างก็ติดโควิด เลยต้องปิดไซต์บ่อย กว่าจะรีโนเวตเสร็จก็ใช้เวลานานเกือบ 2 ปี”

ส่วนการตกแต่งภายในก็ได้รับผลกระทบจากโควิดเช่นกัน เพราะบริษัทออกแบบภายในที่พลอยจ้างมาจำเป็นต้องปิดตัวลง พลอยเลยตกแต่งต่อเอง โดยหยิบเอาสิ่งที่ประทับใจจากสมุดโน้ตสำหรับบันทึกเรื่องโรงแรมของเธอมาเติมเต็มพื้นที่แห่งนี้ The Fig Lobby เลยนำเสนอคลองเตย แล้วยังสะท้อนตัวตนของพลอยอีกตะหาก

จากนั้นตึกเก่าอายุเกือบ 50 ปีของครอบครัวเลยเพิ่งเปิดตัวเป็น The Fig Lobby เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2022 ตรงกับวันฮาโลวีนแถมเป็นช่วงที่โควิดซาพอดี

พลอยตั้งชื่อโรงแรมโดยลงท้ายว่า ‘Lobby’ เพราะมันเป็นเหมือนหัวใจหลักของโรงแรม ล็อบบี้รวมการสร้างความประทับใจแรกกับการบอกลาไว้ด้วยกัน และเธออยากให้ The Fig Lobby เป็นเหมือนล็อบบี้ของย่านคลองเตยที่เธอผูกพัน

คำว่า ‘Fig’ คือผลไม้แรกที่ถือกำเนิดขึ้นมาตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ และเป็นพืชที่อดัมกับอีฟใช้ใบปิดอวัยวะเพศ สอดคล้องกับที่ The Fig Lobby เป็นโปรเจ็กต์แรกของพลอย และเธอยังมองหาโอกาสที่จะเปิด The Fruit Lobby ในชุมชนทั่วประเทศ โดยแต่ละที่จะนำเสนอตัวตนของพื้นที่นั้นๆ พลอยยกตัวอย่างว่า ถ้าเปิดล็อบบี้ที่เกาะล้านก็จะใช้ชื่อว่า The Coconut Lobby

The Fig Lobby

Playful Bedrooms

The Fig Lobby เป็นโรงแรมบูทีกขนาด 68 ห้อง มีห้องทั้งหมด 8 ประเภทเชียวนะ ในบทความนี้เราตามเก็บเฉพาะห้องเด็ดจาก 3 ประเภทมาอวด ส่วนผู้นำทัวร์โรงแรมคือ Ambassador สาวในยูนิฟอร์มธีมกล้วยหอมจอมซน (เธอว่าอย่างนั้น)

The Fig Lobby

The Fig Lobby

Standard Room ธีม Feminine (ห้องสีชมพู-เหลือง) กับ Masculine (ห้องสีน้ำเงิน-ส้ม) เฟอร์นิเจอร์และของใช้อื่นๆ ในห้องมีสีสันจัดจ้านไม่แพ้ล็อบบี้ Ambassador บอกว่าแม้แต่ส้วมกับรองเท้าแตะสลับสียังสั่งทำเพื่อให้ได้สีที่เข้าธีม รองเท้าตัวนี้เอามาแทนสลิปเปอร์ ใช้ใส่ได้ทั้งในและนอกโรงแรม เข้ากันกับไอเท็มเก๋ของไทยอย่างถุงพลาสติกสีรุ้ง

The Fig Lobby

The Fig Lobby

ห้องมีขนาด 35 ตร.ม. พอดีสำหรับสองคน และมีทั้งแบบเตียงคู่กับเตียงเดี่ยว โซนระเบียงหันออกไปทางชุมชนคลองเตยพอดี ตอนเช้าจะได้เริ่มต้นวันไปพร้อมกับคนในพื้นที่ สัมผัสกลิ่นอายของกรุงเทพฯ ในแง่มุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

The Fig Lobby

Deluxe Room ห้องที่เราแวะมีชื่อว่า Shades of Orange ห้องใหญ่กว่า Standard Room นิดหน่อยที่ขนาด 50 ตร.ม. และมีมุมโซฟาเพิ่มเข้ามากับบริเวณทางเข้าที่กว้างขวาง ห้องประเภทนี้มีเฉพาะเตียงเดี่ยว แต่เสริมเตียงได้ และโรงแรมมีเตียงเสริมแบบคอกเด็กเล็กให้ด้วย

The Fig Lobby

พลอยบอกว่าอยากให้ของกินเล่นในห้องใช้ของไทยมากเท่าที่จะทำได้ ทั้งของกินเล่นแบบไทยๆ อย่างกล้วยอบแห้ง ถั่วลิสงอบเกลือ รวมถึงมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบรนด์ไทยอยู่ด้วย

The Fig Lobby

Suite Room ห้องแรกที่แวะชมชื่อ The Red Room Suite ซึ่ง Ambassador บอกว่าเป็นห้องแม่เสือสาว สีประจำธีมคือสีแดงก่ำตัดด้วยสีดำ ห้องน้ำเปิดโล่ง โดยรวมแล้วให้ความรู้สึกเซ็กซี่ ขี้เล่น เอาเรื่องสมกับชื่อที่คนของโรงแรมใช้เรียก อีกห้องที่เราไปสำรวจมาคือ Jungle Suite เป็นห้องธีมธรรมชาติ แน่นอนว่าสีเขียวก็บ่งบอกได้ชัด แต่กิมมิกที่แท้จริงคืออ่างอาบน้ำสีชมพูหวานตรงระเบียงต่างหากล่ะ

The Fig Lobby

The Fig Lobby

ห้องประเภทนี้มาจากการทุบสองห้องรวมกันเป็น 70 ตร.ม. นอกจากโซนห้องนอนกับมุมโซฟา ในห้องยังมีมินิบาร์พร้อมอุปกรณ์ชงเครื่องดื่ม และมีอ่างล้างจานให้ด้วย

The Fig Lobby
Map: https://maps.app.goo.gl/voHVqkiVrUV5gav59
Tel: 021031033
Facebook: The Fig Lobby

Tags: