New Look
Centara Grand at Central World กับโฉมใหม่หลังรีโนเวตที่เน้นความสว่าง สดใสใจกลางกรุง
- เมื่อ Centara Grand at Central World รีโนเวตบางมุมให้ดูสดใส เห็นได้ตั้งแต่พื้นล็อบบียันการบริการแขกบนห้องอาหาร
นั่งคิดนั่งเขียนนั่งลบอยู่นานว่าจะเขียนเปิดอย่างไรให้สมกับที่ ‘Centara Grand & Bangkok Convention Centre at CentralWorld’ เชิญ ONCE เข้าพักเป็นเวลา 2 วัน 1 คืน สัมผัสประสบการณ์ใหม่หลังจากรีโนเวต โดยเฉพาะในส่วนของ Red Sky ทั้งตัวห้องอาหารและบาร์ ซึ่งรีโนเวตกันตั้งแต่ตัวพื้นทางเดินไปจนถึงด้านบริการ
เอาเป็นว่าหากจะมีที่ไหนเหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ มองวิวย่านราชประสงค์ได้อย่างสุดลูกหูลูกตา มีสปาให้เข้า มีถ้ำช็อกโกแลตให้เดินเข้าไปลิ้มลองช็อกโกแลตหลากสายพันธุ์จากทั่วโลก มีดาดฟ้าให้ขึ้นไปรอชมพลุดอกไม้ไฟช่วงปีใหม่ และที่สำคัญ คือห้องพักที่คงไม่ต้องสาธยายอะไรให้มากความ นอกจากคำคำเดียวว่า สบาย!
Lobby ชั้น 23 & SPA Cenvaree ชั้น 26
จุดเริ่มต้นของทุกโรงแรม หรือพูดให้ถูกคือความประทับใจแรกนั้นคือ ล็อบบี ทีนี้หากใครที่เป็นแขกประจำของ Centara อาจจะเห็นถึงความแตกต่างและเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่มีธาตุหลักทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นคอนเซปต์ในการตกแต่ง เวลานี้ตัวโรงแรมได้ถูกรีโนเวตใหม่เป็นที่เรียบร้อย จากคำบอกเล่าพร้อมนึกภาพของเดิมไปด้วย ล็อบบีถูกเพิ่มความสว่างขึ้น ลดความเข้มที่ให้อารมณ์หนักของไม้สีน้ำตาล เมื่อเดินออกมาจากลิฟต์จะรู้สึกถึงความรื่นรมย์ ปลอดโปร่งโล่งสบาย พร้อมกับแสงธรรมชาติชวนให้สดชื่น
พวกเราเช็กอินกันก่อนเป็นอย่างแรกๆ เพื่อนำกระเป๋าไปเก็บ ผมได้พักที่ชั้น 49 ในรูมไทป์ Club Deluxe แต่ก่อนจะขึ้นไปถึงห้อง พวกเราขอแวะที่ชั้น 26 กันก่อน เพราะชั้นนี้คือที่ตั้งของ SPA Cenvaree ที่ก็เพิ่งรีโนเวตไปเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดถึงความพิเศษของสปานี้ อย่างแรกๆ ที่นึกถึงคงเป็นโปรแกรมกว่า 11 อย่าง ที่ยังมีทรีทเมนต์อีกมากมายให้ได้เลือกตามความชอบ หรือตามความอยากของร่างกายในตอนนั้น แต่สำหรับตอนนี้ ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามา นั่นคือ “โมร็อกแคน ฮัมมัม” (Moroccan Hammam) ภายในห้องสปาที่รับรองว่าแปลกใหม่ ทำแล้วสบายตัว ออกมาแล้วผ่อนคลาย
Room 49
แม้พวกเรายังคงเดินทางไปไม่ถึงห้องพักของตัวเอง แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอถือโอกาสนี้ทำความรู้จักห้องพักคร่าวๆ ของ Centara สักหน่อยน่าจะดี
ห้องพักที่นี่แบ่งออกเป็นทั้งหมด 10 ประเภท ผมขอหยิบยกห้องไฮไลต์มาแนะนำกัน
เราเริ่มต้นกันที่ห้อง Club Suite ซึ่งอย่างหนึ่งที่รู้มาคือ ‘ห้องมุม’ นั้นจะมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าห้องทั่วไปที่เมื่อเปิดประตูมาจะเจอกับเตียงนอนเลย อีกทั้งยังมีการแยกสัดส่วนห้องนอนกับห้องนั่งเล่น นอกจากนี้ การเป็นห้องมุมคงย่อมมีพื้นที่ในการชมวิวเมืองที่มากกว่าและกว้างกว่า
ต่อมาคือชั้น 49 ที่เป็นห้องพักของผมในครั้งนี้ แม้ Club Deluxe จะมีขนาดเป็นรองกว่าห้องสวีท แต่ก็พอเหมาะพอเจาะกำลังดีและสะดวกสำหรับผมที่มาพักคนเดียว หน้าต่างข้างเตียงที่เห็นหนึ่งห้างใหญ่ใจกลางเมือง สถานที่น้อยใหญ่ที่ถูกบดบังเอาไว้ สร้างความรู้สึกให้อยากลองลงไปสำรวจมุมที่เราไม่เคยเห็นยามที่เดินอยู่ด้านล่าง
เมื่อเก็บกระเป๋าเรียบร้อย พักผ่อนกันพอประมาณ จุดหมายต่อไปของพวกเราก็อยู่ที่ชั้น 50 อย่างห้อง Royal Suite ที่กินพื้นที่กว่า 387 ตารางเมตร ขนาดห้องนอกจากกว้างขวางจุใจแล้ว เมื่อเดินสำรวจยังเห็นถึงความครบถ้วนที่มากฟังก์ชันในตัว ตั้งแต่การเป็นห้องพักสำหรับครอบครัวใหญ่ ห้องสังสรรค์สำหรับกลุ่มเพื่อน นอกจากนี้ ยังสามารถเป็นห้องจัดไพรเวตอีเวนต์ได้อีกด้วย จะเบิร์ดเดย์ปาร์ตี้ ฉลองโอกาสพิเศษ หรืองานหมั้นก็ลงตัว
The Club & Uno Mas
ขึ้นมาอีก 1 ชั้น ที่ชั้น 51 Executive Club Lounge หรือเรียกสั้นๆ ว่า The Club ห้องนี้รีโนเวตจาก The World Executive Club ด้วยแนวคิดเดียวกับล็อบบี นั่นคือการเพิ่มความสว่างที่ไม่ใช่แค่เรื่องของแสง
Club Benefits เป็นสิทธิพิเศษของแขกตั้งแต่ชั้น 43-50 โดยสามารถมากินอาหารเช้าได้ที่ห้องนี้ เริ่มเสิร์ฟตั้งแต่ 06.30 – 11.00 น. ส่วนเมนูบางสเตชันจะเปลี่ยนไปในแต่ละวัน เช่น ไก่ทอด วันนี้เป็นปีกบนกับสะโพกทอด พรุ่งนี้เป็นไก่ทอดหาดใหญ่ หรือในเมนูที่เขียนว่า ‘ไข่ประจำวัน’ นั้นจะเปลี่ยนท็อปปิงไม่ซ้ำวัน รวมถึงติ่มซำที่จะต่างเมนูกันกับช่วงเวลากลางวัน
“ตั้งแต่ 6 โมงครึ่งตอนเช้าถึง 3 ทุ่มครึ่ง หากลูกค้าขึ้นมาที่นี่จะมีติ่มซำเปลี่ยนทุกวัน เรียกว่า Dim Sum of The Day หลังจากนั้น 3 ทุ่มครึ่งถึง 5 ทุ่มจะมีคุกกี้และชากาแฟไว้รองรับ ถ้าเป็นแขกพักห้องที่มีสิทธิพิเศษของ The Club อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย ยกเว้นค่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กับถ้าพาเพื่อนมาเพิ่มจากจำนวนที่ลงทะเบียนไว้ ก็จ่ายเฉพาะผู้ที่เพิ่มมาได้เลย”
สำหรับท่านไหนต้องการพื้นที่ดริงก์แบบส่วนตัวแต่ไม่อยากไปที่บาร์ ช่วง 17.30 – 19.00 น. สามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ฟรี พร้อมคานาเป้ (Canape’) ไว้กินเคียงไปด้วย น่าเสียดายที่ผมไม่ได้มาลอง เพราะเลือกขึ้นไปอยู่ที่บาร์เป็นส่วนใหญ่
แต่ก่อนจะขึ้นไปถึงบาร์ก็ขอแวะกินอาหารกลางวันที่ชั้น 54 ก่อนเพื่อความครบถ้วนในมื้ออาหาร
UNO MAS เป็นชื่อของห้องอาหารสเปนที่ชั้น 54 โดยมีเชฟโรแบร์โต กอนซาเลซ อลอนโซ เชฟชาวสเปน จากกรุงมาดริด รับหน้าที่รังสรรค์อาหารจากบ้านเกิดของเขาให้พวกเราได้ลองกัน
อย่างแรกก่อนอาหารมาเสิร์ฟ ผมได้รู้ว่า Uno แปลว่า 1 Mas แปลว่า มากกว่า และเมื่อรวมกันจะกลายเป็นความหมายของห้องอาหารนี้ที่ ‘อยากให้แขกกลับมามากกว่า 1 ครั้ง’
“อาหารตามตำรับเดิมอย่างแท้จริง” เป็นอย่างแรกๆ ที่เชฟโรแบร์โตบอกเราเมื่อพูดถึงห้องอาหารนี้ และเมื่อเราถามถึงความพิเศษ เชฟตอบทันทีว่า สิ่งนั้นคือความเบสิก เชฟพยายามทำอาหารที่เบสิกออกมาให้ดีที่สุด เหมือนที่ตนเรียนรู้การทำคร็อกเก้จากคุณแม่ เมื่อเราสามารถทำเบสิกออกมาได้ดี ก็จะสามารถนำไปใช้พัฒนาจานต่อๆ ไปได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น นั่นจึงทำให้เหล่าทาปาสในห้องอาหารนี้มีความพิเศษ เพราะมันแสนจะเบสิกเหมือนที่คนสเปนได้กินจากรสมือครอบครัว
ไม่นานนัก อาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟ และความหมายของชื่อห้องอาหารนี้ก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อพินิจพิเคราะห์จานที่อยู่บนโต๊ะ ทั้งปาเอญ่า กุ้งกัมบาส (กุ้งผัดกับกระเทียมและน้ำมันมะกอก) ในกระทะร้อน และทาปาสบอร์ดที่รวมเอาไว้ถึง 12 อย่าง ไล่เรียงคร่าวๆ ก็จะมีปลาหมึกย่างโรยด้วยพริกคาเยน สแปนิชออมเล็ตที่ข้างในใส่หัวหอมกับมันฝรั่ง โปเตโต้บราวาส มีตบอลผสมหมูกับเนื้อท็อปด้วยชีส และพริกสเปนทอดที่พนักงานเสิร์ฟชวนให้ลองเพราะอร่อยมาก
แต่ไฮไลต์ย่อมมาท้ายสุดและตื่นตาที่สุด เชฟอธิบายว่า ชื่อของเมนูนี้คือ ‘Cochinillo’ เรียกแบบภาษาปากคนไทยได้ว่าหมูหันสเปน ความพิเศษนั้นมากมาย เริ่มตั้งแต่หมูจากฟาร์มจะเป็นลูกหมูในช่วงอายุ 2-3 สัปดาห์ ยังไม่เต็มเดือนดี ตัวหมูจะถูกซูวี 24 ชั่วโมง จากนั้นเมื่อนำไปอบ เชฟจะใช้ไฟอ่อนเพื่อให้ตัวหนังกรอบพอดีกับความสุกของเนื้อข้างใน กิมมิกอยู่ตอนเสิร์ฟ ลูกค้าสามารถหั่นหมูได้ด้วยจานเปล่า หั่นเสร็จแล้วให้ปาจานให้แตกในกล่องที่เตรียมไว้ สิ่งนี้มีอยู่ 2 นัยด้วยกัน หนึ่งเพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าหมูที่ทำออกมานั้นกรอบจนสามารถใช้จานตัดได้ สองเป็นเรื่องความเชื่อ การปาจานให้แตกเป็นการปาสิ่งชั่วร้ายออกจากตัว โดยใช้จานสื่อแทนความชั่วร้าย และเมื่อจานแตก ทุกคนในร้านจะปรบมือให้
แน่นอนว่าพวกเราสะดุ้งก่อนหนึ่งแล้วค่อยปรบมือหลังจานแตก
“หลายคนอาจจะกลัวเมื่อเห็นส่วนหัวของหมู แต่สำหรับผม นี่คือส่วนที่ดีที่สุด โดยเฉพาะตรงแก้มที่อยากให้ได้ลอง ยิ่งถ้าตรงไหนมีไขมันจะยิ่งอร่อยเป็นพิเศษ” เชฟบอกเรา
Red Sky ชั้น 55-59
หลังจากแยกย้ายกันไปพักผ่อน พวกเราก็กลับมารวมตัวกันที่ Red Sky Restaurant ชั้น 55 ที่เพิ่งรีโนเวตเสร็จ พนักงานบอกเราว่าทุกอย่างใหม่หมด ตั้งแต่พื้นทางเดิน แสงสีทันสมัย สร้างความแปลกตามากขึ้น ให้ความรู้สึกลักชัวรีในการดินเนอร์บนดาดฟ้ามากขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงลำดับขั้นการบริการแขก และเปลี่ยนสไตล์อาหารจากฝรั่งเศสเป็นเมดิเตอร์เรเนียน โดยเปลี่ยนเชฟจากฝรั่งเศสเป็นเชฟอิตาลี
“เราเปลี่ยนใหม่เกือบหมดเลย เมนู ค็อกเทล ม็อกเทล เมนูเองก็มีบางอย่างที่เพิ่งเริ่มขายในเดือนตุลาคม ลำดับการบริการเองก็มีขั้นตอนที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น การเข้าไปแนะนำไวน์ลิสต์ แนะนำอาหาร แต่ก่อนเราจะถือไอแพดไป 1 เครื่อง กับเมนู 1 เล่ม และให้ลูกค้าดู ตอนนี้ไม่ใช่แล้วครับ เราจะอธิบายตั้งแต่เครื่องดื่มเริ่มต้น อาหาร ไวน์ ต่อด้วยของหวาน”
ผมจึงไม่รอช้า ขอให้พวกเขาช่วยแนะนำคอร์สอาหารในวันนี้ ส่วนเครื่องดื่มนั้นบอกเลยว่ามีอีก 3 บาร์ให้เราขึ้นไปลองกัน
คอร์สแรกของพวกเราเริ่มต้นด้วย Wagyu beef tartare grilled marrow, summer truffle, Dijon mustard ถัดไปเป็นเมนูเนื้อปลา 2 จานได้แก่ Tagliolini smoked salmon infused pasta, Champagne sauce, Oscietra caviar และTuna cheek roasted, charred broccolini, violet eggplant pure
ส่วนของหวานนั้นมีชื่อสั้นๆ ว่า YELLOW ฟังดูธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาที่สุดในค่ำคืน เพราะเมนูนี้จะนำเลมอนทั้งลูกรวมถึงเปลือกไปเชื่อมข้ามคืน จากนั้นจะคว้านตัวเลมอนด้านในออก ใส่คุกกี้วานิลลา เลมอนเชอร์เบ็ต และเลมอนคุกกี้เข้าไปแทน ด้านนอกเป็นครัมเบิลและมีช็อกโกแลตมิลค์สติกเพิ่มความสนุก
กินเสร็จไม่นานนัก ก็ถึงเวลายกระดับตัวเองที่หมายถึงการเดินขึ้นชั้นที่สูงขึ้นไปอีก
เริ่มต้นที่ชั้น 56 Red Sky Bar ซึ่งเน้นไปที่ Local Beer กับ Campari (เหล้าก่อนอาหาร) จึงอยู่ใกล้กันกับตัวร้านอาหาร
ชั้น 57 COCOA XO จะมีไฮไลต์ที่พิเศษกว่าใครเพื่อน เพราะนอกจากจะเป็นบาร์ที่เหมาะกับเวลาหลังอาหาร มี Chocolates and Premium Cognacs (เหล้าที่กลั่นจากองุ่น) เป็นจุดขาย บนนี้ยังมีถ้ำช็อกโกแลตให้เข้าไปอีกต่างหาก
ถ้ำช็อกโกแลตที่มีช็อกโกแลตกว่า 50 ชนิดในโลกนี้มารวมอยู่ด้วยกัน เข้าไปเลือกหยิบได้แบบบุฟเฟ่ต์ หรือจะเลือกหยิบเป็นชิ้นๆ ไปก็สามารถ บางอย่างจะอยู่เป็นไฮไลต์ตลอด ยิ่งอันไหนที่ตั้งอยู่แล้วดูไม่เหมือนช็อกโกแลต อันนั้นแหละคือช็อกโกแลตแน่นอน บางตัวจะเปลี่ยนตามธีมเทศกาล ข้อควรรู้ ช็อกโกแลตบางชิ้นมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ชั้นนี้จึงไม่อนุญาตให้พาเด็กขึ้นมาได้
ชั้น 59 CRU Champagne Bar เป็น Premium Bar ที่มี Dress Code ห้ามใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ และเสื้อกล้าม เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการพื้นที่ชมวิวหลังอาหาร เนื่องจากตั้งอยู่บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม เสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ที่หาจากที่อื่นไม่ได้
ท้ายสุดชั้น 57 กับชั้น 59 หลัง 3 ทุ่มจะมีดีเจมาเปิดเพลงถึงตี 1 แต่จากจำนวนอาหาร เครื่องดื่ม ความสะดวกสบาย และความสุขที่ได้รับ หลัง 3 ทุ่มสำหรับผมจึงเป็นการใช้เวลาในห้องนอนอย่างคุ้มค่า มองวิวผ่านหน้าต่าง แสงสีของเมืองที่ไม่เคยหลับไหล แต่สำหรับวันนี้ เวลานี้ และในสถานที่แห่งนี้
ฝันดีครับ
Centara Grand & Bangkok Convention Centre at CentralWorld
Website: https://www.centarahotelsresorts.com/centaragrand/th/
FB: Centara Grand at CentralWorld