ศาลเจ้าแม่ทับทิม บางโพ

มาถึงย่านบางโพทั้งที เราขอเริ่ม route นี้ด้วย ‘ศาลเจ้าแม่ทับทิม’ (เทพเจ้าแห่งสายน้ำ) ที่ตั้งอยู่อย่างสงบท่ามกลางความไม่หยุดนิ่งของวิถีชีวิตผู้คนบนถนนสายไม้ นี่คือศาลเจ้าสำคัญที่ชาวจีนโพ้นทะเลนับถือมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะชาวจีนที่อพยพมาจากเกาะไหหลำ ศาลแห่งนี้เป็นเหมือนศูนย์รวมจิตใจของชาวไหหลำที่เข้ามาตั้งรกรากในย่านนี้ ปัจจุบันเปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาเข้าไปกราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต

ตามคำบอกเล่า คนในพื้นที่เชื่อกันว่า เจ้าแม่ทับทิมจะช่วยคุ้มครองปกปักรักษา ช่วยให้กิจการงานค้ามั่งคั่งร่ำรวย และมีการงานการเงินที่ดีขึ้น ถ้าได้มาย่านนี้แล้วลองแวะมาส่องดูร่องรอยวัฒนธรรมไทยจีนที่ซ่อนตัวอยู่ในศาลเจ้าแห่งนี้กันก่อนได้

วัดอนัมนิกายราม (วัดญวนบางโพ)

จุดหมายถัดไปมีเรื่องราวให้เราได้ค้นหาและน่าสนใจไม่แพ้กัน เมื่อย่างก้าวเข้ามาในพื้นที่ของวัดอนัมนิกายราม (วัดญวนบางโพ) จะพบกับสถาปัตยกรรมที่ดูแปลกตา เพราะวัดแห่งนี้ทั้งด้านนอกและด้านในโดดเด่นด้วยศิลปะแบบจีน-ญวน ถ้าเหลียวซ้ายแลขวาเดินชมรอบๆ จะเห็นร่องรอยวัฒนธรรมหลงเหลืออยู่ไม่น้อย ตั้งแต่หลังคาจั่วและหน้าบันแบบเรียบง่าย มีพระธรรมจักรตรงกลาง ซ้ายขวาเป็นรูปพระสาวก ล้อมรอบด้วยลายเถาดอกไม้ใบไม้บริเวณหลังคา ส่วนเสาด้านในทุกต้นเป็นลายมังกร เป็นสถานยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนในพื้นที่ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

ภัตตาคารวิเศษไก่ย่าง

สักการะศาล เข้าวัดกันแล้ว ขอประเดิมชวนไปกินที่ร้านนี้เลย ตำนานร้านอาหารที่เปิดมาเกือบ 70 ปี แถมยังเป็นอีกหนึ่งร้านเด่นแห่งย่านบางโพด้วยนะ แหม่ม เจ้าของร้านเป็นคนจีนไหหลำและเป็นทายาทสืบกิจการรุ่นที่ 2 เดิมทีพ่อของแหม่มเปิดร้านขายไก่ย่างและอาหารตามสั่งในห้องไม้แถวขนาดเล็ก กระทั่งร้านอาหารถูกไฟไหม้ เธอเลยสร้างร้านใหม่ ค่อยๆ พัฒนาจนเป็นภัตตาคารวิเศษไก่ย่างในปัจจุบัน

เข้ามาเยือนก็ต้องสั่งเมนูดั้งเดิมอย่าง ไก่ย่าง (200 บาท) ซึ่งทางร้านมีให้เลือก ทั้งไก่เนื้อออริจินัลและไก่บ้าน โดยมีเคล็ดลับการหมักไก่ ทำให้ได้เนื้อไก่ที่หอม นุ่ม หนังไก่เป็นสีทองสวยงาม แหม่มขอเสริมเพิ่มว่า ถ้าไม่สั่งเมนูนี้ถือว่ายังมาไม่ถึงร้านนะ

อีกเมนูที่อยากให้เปิดใจลองคือ แพะตุ๋นน้ำแดง (235 บาท) เพราะหากินได้ยากแล้วในปัจจุบัน มากกว่านั้นทางร้านยังเชี่ยวชาญการปรุงเนื้อแพะไม่ให้มีกลิ่นสาบ รสชาติคล้ายเนื้อตุ๋น เราเพิ่งเคยลองกินครั้งแรกยังติดใจในเนื้อสัมผัสนุ่มละมุนอยู่เลย ต่อด้วย สตูลิ้นวัว (250 บาท) ที่แทบจะละลายในปาก (ดูเวอร์แต่เรื่องจริงนะ) พอได้กินคู่กับขนมปังโฮมเมดเนื้อนุ่มๆ ฟินสุดๆ เมนูสุดท้าย วุ้นเส้นจับฉ่ายไหหลำ (165 บาท)  เหยาะน้ำจิ้มที่เสิร์ฟคู่กันนิดหน่อย จะได้รสเปรี้ยวหวานนิดๆ ตัดกันอย่างลงตัวเลย

นายงี้ บะหมี่เกี๊ยว บางโพ ตู้ไม้

เป็นอีกร้านที่มีเรื่องราวน่าฟัง แม้ปัจจุบันเจ้าของร้านจะเป็น วิทยา เกียรติ์ธรรมกุล แต่ในอดีตคนบุกเบิกคือพ่อของเขา ที่เดินทางจากจีนเพื่อมาเป็นช่างไม้ในเมืองไทย แต่เพราะเศรษฐกิจและไม้ราคาสูงเกินไป พ่อของวิทยาจึงเปลี่ยนมาขายบะหมี่รถเข็น เร่ขายไปตามซอกซอย โดยมีไม้ไผ่ไว้เคาะเรียกลูกค้า ถ้าได้ยินเสียงป๊อกๆ คนละแวกนั้นจะรู้ทันทีว่าบะหมี่ร้านนี้มาแล้ว

ต่อมาวิทยาอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง เขาซื้ออุปกรณ์ทำเส้นบะหมี่และแผ่นเกี๊ยวตามสูตรของพ่อ เพื่อส่งขายให้ร้านก๋วยเตี๋ยวต่างๆ แต่ยอดขายไม่ดีนัก เลยตัดสินใจเปิดร้านบะหมี่เกี๊ยวตามรอยพ่อ ปัจจุบันทางร้านทำเส้นบะหมี่และแผ่นเกี๊ยวเอง ส่วนน้ำซุปมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ อดใจไม่ไหวของมันต้องสั่ง เลยได้บะหมี่น้ำเกี๊ยวกุ้ง (55 บาท) เราชอบน้ำซุปมาก มีความหอมเคล้ากลิ่นกุ้งและบะหมี่ ส่วนเกี๊ยวได้กุ้งแก้วเนื้อกรอบหวานชิ้นโต เมนูต่อมาคือ เกี๊ยวหมูแดงหมูกรอบ (45 บาท) เนื้อหมูแดงรสชาติเข้มข้น และข้าวหน้าเป็ด (40 บาท) ที่ใครชอบเมนูนี้ต้องมาลองให้ได้นะ

หมูสะเต๊ะเจ้าเก่าบางโพ

เดินต่อไม่กี่นาทีจะเจอร้านหมูสะเต๊ะ เราตาลุกวาวเพราะเป็นของโปรด เลยสั่งมาเพิ่มขนาดน้องพุงที่นี่ด้วยละกัน ร้านนี้เปิดมามากกว่า 60 ปีแล้ว ความโดดเด่นของที่นี่ เขายังคงอนุรักษ์การย่างหมูบนเตาถ่าน เพื่อให้ได้หมูสะเต๊ะที่มีกลิ่นหอมแบบเฉพาะ ส่วนน้ำจิ้มเคี่ยวเองโดยใส่เครื่องเทศให้มีรสชาติเข้มข้น ได้กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ของร้านเลย มีขนมปังปิ้งเตาถ่านหอมๆ เสิร์ฟมาด้วยนะ กินเพลินจนต้องขอยกนิ้วว่าอร่อยสมคำร่ำลือ

ที่สำคัญแม่ค้าใจดีมากจริงๆ ถ้ายังไม่เคยกิน ทางร้านยินดีให้ลองชิมฟรีๆ ก่อนเลย ชิมแบบมีสเต็ปแอนด์สไตล์ด้วยนะ เริ่มที่ลิ้มรสเนื้อหมูสะเต๊ะเพียวๆ ก่อน แล้วค่อยเพิ่มรสชาติด้วยน้ำจิ้มสูตรเฉพาะ ถ้าติดใจก็ซื้อกลับบ้านเลยจ้า และมั่นใจเรื่องรสชาติได้ เพราะแม่ค้าชั่งสูตรก่อนทุกครั้ง ดังนั้น กินกี่ครั้งก็ยังอร่อยเหมือนเดิม

ขนมจีนไหหลำเจ๊เผียง

ถัดมาไม่ไกลจะเจออีกหนึ่งร้านความอร่อยในตำนานอย่าง ‘ขนมจีนไหหลำเจ๊เผียง’  ขนมจีนคากิสูตรดั้งเดิมแห่งเดียวในย่านนี้ ที่หลายคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องลอง! แต่ขอขึ้นคำเตือนไว้ก่อนเลยว่า ใครจะมาร้านนี้ ฝึกสกิลการคีบเส้นมาล่วงหน้าไว้เลยนะ เพราะทางร้านใช้เป็นเส้นขนมจีนไหหลำที่หนึบ เด้ง ลื่นสุดๆ เส้นจะใหญ่กว่าขนมจีนปกติและหนึบเป็นพิเศษ มาช้าหมดอดกินนะขอบอก  ส่วนเมนูมีให้เลือกทั้งหมู ชามธรรมดา 50 บาท พิเศษ 60 บาท และเนื้อชิ้นโตๆ ธรรมดา 50 บาท พิเศษ 60 บาท

ที่นี่เขาให้เครื่องกันแบบไม่มีกั๊กเลยจริงๆ เราชอบที่มีทั้งหน่อไม้จีน ถั่วลิสงทอด ผักกาดดอง เจ๊เผียงเผยเคล็ดลับความอร่อยว่า ต้องใช้เตาถ่านเคี่ยวน้ำยาที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศจีน กลิ่นและรสชาติเลยมีความเฉพาะ หากินจากที่อื่นไม่ได้ง่ายๆ ส่วนใครอยากเพิ่มความเข้มข้น แนะนำให้เติม ‘เกี่ยมโก่ย’ (กะปิไหหลำ)

อย่าลืมตบท้ายด้วยของหวานหากินยากอย่าง เลี่ยงฮุ้น หรือลอดช่องเหลือง คล้ายๆ บุก ทั้งเคี้ยวเพลิน ทั้งหอมน้ำตาลทรายแดง ดับร้อนได้ดี ชื่นใจแบบนี้เดินต่อได้อีกยาวๆ

Hangry Bakeshop & Co.

ขึ้นชื่อว่าเป็นคาเฟ่ลับในย่านบางโพ ลับที่ว่าเปิดหาในพิกัดก็ยังไม่เจอ ต้องพิมพ์ “พอดีคำ” ถึงจะเห็นว่า เป็นบ้านตึกขนาดเล็กที่จะต้องเดินลัดเลาะเข้าในซอยจันทร์ลอย 14 อีกที แล้วถึงจะเจอคาเฟ่โฮมมี่ในโทนสีน้ำตาลอ่อน-ขาวดูสบายตา มีเจ้าของร้านอารมณ์ดีคอยต้อนรับอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์

อินเล่าถึงชื่อร้านให้ฟังว่า Hangry มาจาก Angry และ Hungry ผสมรวมกันหมายถึง ‘คนโมโหหิว’ แต่ถ้ามาที่นี่จะอิ่มท้องแน่นอน เพราะเขามีทั้งเครื่องดื่ม เบเกอรี่ และอาหาร แบบจบครบในที่เดียว

อินบอกเราว่าในแต่ละวันจะมีเบเกอรี่วางขายไม่ซ้ำกัน เพราะเขาชอบทดลอง ถ้าช่วงนั้นกำลังสนใจอะไรใหม่ๆ ก็จะหยิบมาผสมปรุงแต่งจนได้เป็นเมนูเบเกอรี่หน้าตาไม่ซ้ำเดิม แต่ที่ยังคงไว้เสมอคือความอร่อย ในระหว่างพูดคุยอินก็ทำขนมไป ยิ้มแย้มไป เราเลยอยากรู้ว่าสำหรับเขา เสน่ห์ของการทำเบเกอรี่คืออะไร

“คือการที่เราได้ตื่นเต้นกับทุกผลลัพธ์ เพราะการทำขนมแต่ละครั้งจะได้หน้าตาที่ไม่เหมือนกันเลย” (ยิ้ม) เราไม่สงสัยแล้วว่าทำไมเบเกอรี่ถึงขายดีขนาดนี้…เพราะเขาทำด้วยใจจริงๆ

เรามาทันได้ลอง Caramel Coco Toffee Waffle (69 บาท) หอมซอสคาราเมลแบบโฮมเมด กินคู่กับวาฟเฟิลช็อกโกแลตกรอบๆ  ตามด้วยลาเต้เย็นสักแก้ว (75 บาท) เท่านี้ก็ถูกใจสาวกของหวานอย่างเราแล้ว

บ้านอินคำ

มาบางโพทั้งที โธ่! จะพลาดร้านไม้ได้ไง ว่าแล้วก็เลี้ยวเข้าซอยประชานฤมิตร ถนนงานไม้ที่พาเราเหมือนหลุดไปอีกโลกนึงเลย ใครที่อยากมาเดินแต่ไม่รู้จะซื้ออะไร หรือไม่ได้อยากซื้อของไปทำงานไม้จริงจัง ขอกวักมือให้ลองเดินเข้ามาที่ร้านนี้

บ้านอินคำเปิดมา 25 ปีแล้ว จุดเริ่มต้นนั้นเกิดจากเจ้าของร้านอยู่ในชุมชนย่านไม้มานาน แล้วเล็งเห็นว่า ร้านทำเฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงร้านขายไม้มักจะทิ้งเศษไม้ไว้เยอะมาก ด้วยความตั้งใจอยากเพิ่มมูลค่าให้กับเศษไม้ เธอขอซื้อแล้วลองหาวิธีดัดแปลงจนเกิดเป็นงานไม้ประดับเล็กๆ น้อยๆ งานไม้แกะสลัก งานฉลุรูปทรงดอกไม้ นักษัตร ตัวอักษรไม้ และพวงกุญแจ ซึ่งมีลูกค้าสนใจเยอะ

ปัจจุบันจึงกลายเป็นร้านที่มีงานไม้หลายรูปแบบ ตั้งแต่ของใช้จุกจิกไปจนถึงงานไม้จริงจัง แถมยังรับทำไม้ตามแบบที่ต้องการด้วยนะ นักศึกษาส่วนใหญ่ที่ต้องทำงานโมเดลก็มักเข้ามาที่ร้านนี้ เพราะนอกจากมีของพร้อม ทางร้านยังให้ลองลงมือปฏิบัติงานเองโดยมีช่างคอยช่วยสอนอีกด้วย

เรียกว่าบริการครบวงจรจริงๆ

Soulmate Furniture

ใครจะรู้ว่าในซอยประชานฤมิตร ที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยงานไม้และเฟอร์นิเจอร์ Old Fashion จะมีร้านขายเฟอร์นิเจอร์สไตล์เรโทร ที่ตกแต่งด้วยของเก่า ของสะสม สร้างความเซอร์ไพรส์ให้ผู้ที่สัญจรไปมา รวมถึงเราด้วย

ทางร้านออกแบบและผลิตเฟอร์นิเจอร์เอง ทำให้สินค้ามีคุณภาพดี ราคาสมเหตุผล พ่อค้าอารมณ์ดีเล่าถึงจุดเริ่มต้นของร้านให้ฟังว่า เดิมทีชอบสะสมของเก่าทั้งสไตล์เรโทรแบบไทยและแบบฝรั่ง และที่เลือกมาเปิดในย่านนี้ เพราะเป็นแหล่งผลิตชั้นดี มีวัสดุให้เลือกครบ ฉะนั้นวางใจเรื่องคุณภาพได้เลย

ถ้ายังโนไอเดีย ลองเดินเข้ามาเสพบรรยากาศร้านก่อนได้นะ ที่นี่แบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นล่างจัดวางเฟอร์นิเจอร์ของร้านเป็นส่วนใหญ่ ชั้น 2 เฟอร์นิเจอร์จะจัดให้กลมกลืนกับของเก่า ส่วนชั้น 3 ตกแต่งสไตล์ Space Age ว้าวสุดๆ หรือจะแวะมาพูดคุยก่อนยังไม่ต้องซื้อก็ได้ พ่อค้ายินดี แถมยังบอกอีกด้วยว่า ถ้าชอบงานไม้ ของ DIY มาเดินซอยนี้เลย เพราะที่นี่เหมาะเป็นแหล่งหาไอเดียสุดๆ

เอาล่ะ…เราน่ะเป็นสาวกชอบของเก่า เข้าทางสุดๆ เลยอยากแนะนำใครที่กำลังมองหาเฟอร์นิเจอร์สีสันสดใสสไตล์เรโทร ยุค 60-70 เข้ามาที่นี่ได้เลย

TRYST Bangkok

เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่ตกแต่งร้านได้กลมกลืนกับย่านงานไม้ ด้านในจึงเน้นเฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนชื่อร้าน TRYST แปลว่า สถานที่นัดพบ เพราะไม่อยากให้ดูเป็นคาเฟ่จ๋าเกินไป อีกทั้งตั้งใจอยากเปิดบาร์ค็อกเทลในช่วงค่ำ แต่ตอนนี้ขอเก็บไว้เป็นไอเดียก่อน เพราะแค่คาเฟ่อย่างเดียว ลูกค้าก็ติดใจรสชาติเค้ก กาแฟ จนมีออเดอร์ล้นมือ ทำเอาสองเจ้าของร้านอย่าง กายและต๋อง ทำไม่ทันแล้ว

ทางร้านครีเอตเมนูเครื่องดื่มและเบเกอรี่เองทั้งหมด กายแนะนำเครื่องดื่ม 2 เมนู แก้วแรกคือ Pracha Naruemit (80 บาท) ตั้งชื่อให้ล้อไปกับชื่อซอยไม้ แต่มีที่มาคือช่วงที่ได้ทำเลแล้ว กายต้องเดินหาไม้และเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งร้าน ณ ตอนนั้นเหนื่อยๆ รู้สึกอยากได้กาแฟที่ดื่มแล้วสดชื่น เหมาะกับช่วงเวลาเย็นๆ เลยได้มาเป็นส่วนผสมมะนาวโซดา กุหลาบ ด้านบนราดด้วย Single Shot Espresso เพื่อคนที่ไม่ใช่สายกาแฟ สามารถดื่มได้ง่ายๆ

แก้วต่อมา ทาสรักตระกูลเบอรี่ต้องลอง Sawai Suwan (80 บาท) ที่จริงเป็นเมนูวันคริสต์มาส แต่ดันติดใจลูกค้าหลายๆ คน เลยยกให้เป็นอีกเมนูประจำร้าน ตั้งเป็นชื่อซอยที่อยู่คู่ขนานกับซอยประชานฤมิตรไปเลย ส่วนผสมคือ ราสพ์เบอร์รีกับโซดา ตามด้วย Single Shot Espresso รสชาติหอมหวาน ตบท้ายด้วย Cheesecake (120 บาท) ที่มีเนื้อเนียนนุ่ม กลิ่นหอมละมุน กินคู่กับเครื่องดื่ม เข้ากันได้ดี ขอยกให้เป็นอีกคาเฟ่ที่เราต้องกลับมาอีกครั้งแน่นอน อีกเหตุผลก็เพราะเจ้าของร้านน่ารักและเป็นกันเองมากๆ

Lab Coffee x Pudding Lab

ขึ้นต้นว่า  Lab ชวนให้นึกถึงวิทยาศาสตร์ แต่จริงๆ แล้ว ความครีเอทีฟคือแกนหลักของทางร้านเลยล่ะ Lab Coffee x Pudding Lab ก่อตั้งโดย Creative Director อย่างชาญชัย สุวรรณฉายา ที่อยู่ในธุรกิจแฟชั่นมามากว่า 10 ปี แต่เพราะความหลงใหลในกาแฟ จึงขอเปิดคาเฟ่ โดยตั้งคอนเซ็ปต์หลักไว้ว่า Creative Coffee for Creative People in Creative Space หรือการนำสิ่งที่มีอยู่ เมนูที่คุ้นเคยมา Twist ให้เกิดเป็นเมนูใหม่ๆ รสสัมผัสใหม่ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับคนดื่ม

เราชอบเมนูกาแฟของที่นี่ เพราะดูมีความพิเศษเฉพาะตัว อย่าง  Lab Duet Set (180 บาท) ประกอบไปด้วย ลาเต้ กับ Single Espresso และน้ำที่อยู่ในแก้วบีกเกอร์ แค่มองก็รู้สึกว่าเรากำลังจะได้ลิ้มรสกาแฟแปลกใหม่ ความตื่นเต้นมาเยือนทันที ตามมาด้วย Long Black (90 บาท) ที่สายกาแฟต้องลองเองจริงๆ นะ นอกจากกาแฟ พุดดิ้งยังเป็นที่พูดถึงเยอะมาก เรียกว่าแทบจะเป็นเมนูไฮไลต์ของทางร้านเลย พอได้ลอง Milk Pudding (100 บาท) เนื้อสัมผัสแน่น หอมนมมากจนอยากตะโกน

The Standard Burger

ร้านเบอร์เกอร์ย่านบางซื่อ-บางโพ ที่แฝงตัวอยู่ในตึกแถว เป็นร้านเล็กๆ ที่ด้านหน้าเน้นโทนมินิมัล ภายในตกแต่งสไตล์ Loft ไฟสลัวๆ เหมาะมานั่งกินชิลล์ๆ ส่วนเมนูเบอร์เกอร์ของที่นี่เป็นแบบโฮมเมด ทั้งขนมปัง เนื้อและหมูไปจนถึงตัวซอสเป็นสูตรเฉพาะของร้าน เอาเป็นว่าถ้าได้มาลองกินครั้งนึงแล้ว

จะรู้ว่าสวรรค์ของคนรักเบอร์เกอร์มีอยู่จริง!

พ่อค้าแนะนำว่า ใครยังไม่เคยมา ให้ลองเมนู The Standard เป็นเบอร์เกอร์เรียบง่าย อารมณ์กินแบบเชิงลองให้รู้จักรสชาติของร้านก่อน แต่เรามาทั้งทีขอสั่งเมนูยอดฮิตอย่าง Summer Lovin เนื้อ (275 บาท) เป็นเนื้อออสเตรเลียที่คนไม่ค่อยกินเนื้อก็กินได้ง่ายๆ เลย ราดด้วยมอซซาเรลลาที่มีกลิ่นหอมของกระเทียมนิดๆ สับปะรดย่าง เบคอนรมควันทอดกรอบ กับซอส oioli กระเทียมโฮมเมด และผักเบบี้ร็อกเก็ต ปิดด้วยขนมปังโฮมเมดสูตรต้นตำรับที่เนื้อเหนียวนุ่มและชิ้นใหญ่มาก เราชอบเป็นพิเศษ เพราะติดใจกลิ่นหอมของเนย คนรักขนมปังจะเข้าใจ

สามารถสั่งเป็นเซ็ตคู่กับเฟรนช์ฟรายร้อนๆ และเครื่องดื่มได้ เพิ่มเงินอีก 45 บาทเท่านั้น อ๋อ! ทางร้านยังมีแตงกวาดองโฮมเมดเตรียมไว้ให้กินคู่กัน อร่อยลงตัวมากๆ ชิ้นนึงอิ่มท้องยาวๆ เลย

Code Craft Beer Bar

เป็นร้านที่คอคราฟต์เบียร์ต้องแวะ เพราะอยู่ไม่ไกลจาก MRT เตาปูนเลย เป็นร้านเล็กๆ ตกแต่งด้านในด้วยสติกเกอร์ โปสเตอร์ลายเท่ เก๋ และไฟนีออน ช่วยเสริมบรรยากาศชวนให้อยากนั่งชิลล์ๆ แถมยังเป็นคอมมูนิตี้ที่ตอบโจทย์ผู้คนทุกไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่สายดื่มไปจนถึงกลุ่มคนทำงานที่ขอยกคอมพ์มานั่งทำงานชิลล์ๆ ที่ร้านกันเลยทีเดียว

ร้านนี้เสิร์ฟทั้งเบียร์สด เบียร์ขวด เบียร์กระป๋อง คราฟต์เบียร์ แล้วยังมีไอศกรีมโฮมเมดด้วยนะ ต้อนรับนักดื่มทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสายดื่มจัดหนักจัดเต็ม ไปจนถึงคนไม่ค่อยดื่ม หรือยังไม่เคยดื่ม พ่อค้าจะช่วยค้นหาแก้วที่ใช่ จากการสอบถามรสชาติที่ชอบ และอารมณ์ในขณะนั้นว่าฟิลนี้ควรดื่มอะไร เอาเป็นว่าทุกวาจาที่แลกเปลี่ยนระหว่างกัน คุณจะไม่ผิดหวังเมื่อได้รับเครื่องดื่มหลังจบบทสนทนา

แต่ถ้าไม่อยากดื่ม ก็มีไอศกรีมโฮมเมดจากแบรนด์ Holidae ที่มีรสชาติให้เลือกมากมาย เราเลือก HEARTBREAKIN (100 บาท) ไอศกรีมช็อกโกแลต จากเนื้อบราวนี่ผสมกับเบียร์เพื่อเพิ่มความขมและรสเข้มข้นลงไป แต่ด้วยกระบวนการปั่นไอศกรีม ทำให้แอลกอฮอล์จางหายไปแล้ว เหลือไว้แต่รสชาติเพียงเท่านั้น

อีกหนึ่งอย่างที่เราชอบคือสีสันน่ารักของตึกรามบ้านช่องในย่านนี้ ที่ชวนเราหยุดมองอยู่หลายครั้ง บางมุมที่เราได้เห็นตามซอยเล็กๆ  ไม่มีเขียนบอกไว้ในรีวิว นี่แหละข้อดีของการเดิน เมื่อเราได้สังเกตสิ่งรอบตัว จะเริ่มเข้าใจวิถีความเป็นอยู่ของผู้คน บางครั้งก็เกิดเป็นความสงสัยชวนให้อยากหาคำตอบ อยากทำความรู้จักตัวตนของชุมชนให้ลึกลงไป ส่วนความสนุกที่สุดที่ตามมาคือการได้ฟังเรื่องราวในอดีตผ่านเสียงของเจ้าถิ่น ราวกับได้มาสัมผัสตำนานที่มีลมหายใจอย่างแท้จริง