The World of Ghibli
มัดรวมไฮไลต์ Ghibli Park สวนสนุกแห่งแรกของสตูดิโอจิบลิในจังหวัดไอจิที่ทุกคนรอคอย
- Ghibli Park สวนสนุกของสตูดิโอ จิบลิแห่งแรกของโลกในญี่ปุ่น จะเปิดบริการวันที่ 1 พ.ย. นี้ที่จังหวัดไอจิ หลังรอคอยมานาน 5 ปี ภายในแบ่งเป็น 5 โซน แต่จะเปิดก่อน 3 พื้นที่ คือ Hill of Youth, Ghibli’s Large Warehouse และ Dondoko Forest ส่วนที่เหลืออีก 2 แห่งคือ Mononoke’s Village คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2023 และ Valley of Witches ในปี 2024
- สวนสนุกจิบลิไม่มีเครื่องเล่นขนาดใหญ่และขบวนพาเหรดตัวละคร แต่จะเน้นประสบการณ์ทางวัฒนธรรมและโลกของจิบลิควบคู่ไปกับความงามตามธรรมชาติ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- หนึ่งในไฮไลต์คือ Ghibli’s Large Warehouse มีขนาดใหญ่กว่าพิพิธภัณฑ์จิบลิในโตเกียวถึง 3 เท่า อัดแน่นด้วยนิทรรศการพิเศษ โรงภาพยนตร์ 170 ที่นั่ง ฉากจากอนิเมะ 13 เรื่อง สนามเด็กเล่น คาเฟ่และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในจักรวาลจิบลิ
คงมีหลายคนที่เติบโตมากับแอนิเมชันเรื่องโปรดจากสตูดิโอ จิบลิ หลงรักในคาแรคเตอร์ของตัวละครอย่าง โทโทโร แคทบัส ผีไร้หน้า (No Face) หรืออีกมากมาย และน่าจะตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อมีโอกาสจะได้สัมผัสความมหัศจรรย์และความลับจากโลกจินตนาการกับการเปิดทำการของ Ghibli Park แห่งแรกของโลกในญี่ปุ่น วันที่ 1 พ.ย. นี้ หลังรอคอยมานาน 5 ปีนับตั้งแต่ประกาศโปรเจ็กต์ และต้องเลื่อนกำหนดเปิดทำการมาจากปี 2020 เพราะสถานการณ์โควิด-19
สวนสนุกจากค่ายสตูดิโอจิบลิ ซึ่งใช้งบลงทุน 34 พันล้านเยน (ราว8.65 พันล้านบาท) ตั้งอยู่ที่เมืองนากาคุเตะ (Nagakute) จังหวัดไอจิ (Aichi) สถานที่เดียวกับที่เคยจัดงานเวิลด์ เอ็กซ์โป 2005 หรือทางทิศตะวันออกของเมืองนาโกยา ภายในแบ่งออกเป็น 5 โซน แต่จะเปิดก่อน 3 พื้นที่คือ Hill of Youth, Ghibli’s Large Warehouse และ Dondoko Forest ส่วนที่เหลืออีก 2 แห่งคือ Mononoke’s Village คาดว่าจะเปิดตัวในปีหน้าและ Valley of Witches ในปีถัดไป
“ต้องขอบคุณต้นไม้และภูมิทัศน์ในสวน มันรู้สึกเหมือนโลกของจิบลิอยู่ที่นี่มานานแล้ว” โกโร มิยาซากิ ลูกชายของ ฮายาโอะ มิยาซากิ ผู้ร่วมก่อตั้งสตูดิโอ จิบลิและผู้ดูแลการสร้างสวนสนุก กล่าวถึงสวนสนุกที่หลายคนรอคอย
Ghibli Park ยังถูกคาดหวังว่าจะเป็นคู่แข่งกับ Disney's Hollywood Studio แต่จะน่าสนใจอย่างไรลองตามมาดูกัน
ธรรมชาติสไตล์จิบลิ
อย่าคาดหวังว่าจะได้เห็นเครื่องเล่นขนาดใหญ่หรือขบวนพาเหรดตัวละครในสวนสนุกขนาดกว่า 1,200 ไร่แห่งนี้ เพราะมันไม่มี!
อย่างที่ทราบกันดีว่าญี่ปุ่นเต็มไปด้วยสวนสนุกและติดอันดับท็อป 5 ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกถึง 3 แห่งอย่าง โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (อันดับ 3) โตเกียวดิสนีย์ซี (4) และยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เจแปน (5) รองจากเมจิก คิงดอม (1) และดิสนีย์แลนด์ พาร์ก (2) แต่ก็ล้วนรับอิทธิพลมาจากสหรัฐมากกว่าสะท้อนตัวละครของญี่ปุ่น แทนที่จะแข่งขันโดยตรงกับดิสนีย์และยูนิเวอร์แซล สวนสนุกจิบลิกลับยึดแนวทางดั้งเดิม คือ เน้นประสบการณ์ทางวัฒนธรรมกับความงามตามธรรมชาติที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับแอนิเมชันอันเขียวชอุ่มของสตูดิโอ จิบลิ
นอกจากนี้ จิบลิ พาร์กยังเป็นสวนสนุกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นั่นหมายความว่าจะไม่มีการตัดต้นไม้ใดๆ เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับสถานที่ท่องเที่ยว ตรงกันข้ามจะต้องช่วยเพิ่มและรักษาพื้นที่ธรรมชาติมากขึ้น พร้อมกับใช้วัสดุในท้องถิ่นให้ได้มากที่สุด
เช่น โกดังใหญ่ของจิบลิ (Ghibli’s Large Warehouse) ก็ถูกดัดแปลงจากสระว่ายน้ำในร่มที่ติดกับลานสเก็ตในร่ม เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างความก้าวหน้ากับการอนุรักษ์ธรรมชาติตามแนวคิดของมิยาซากิ วัย 81 ปี
ท่องโลกจินตนาการ
เมื่อไม่มีเครื่องเล่นหรือนักแสดงในคราบตัวละครเหมือนกับสวนสนุกทั่วไป ไฮไลต์ของที่นี่คือการนำองค์ประกอบและสัญลักษณ์ในภาพยนตร์มาแสดงให้มีชีวิตชีวา ไม่ใช่แค่การถ่ายภาพภายนอกเท่านั้น แต่แฟนๆ สามารถเข้าไปสำรวจได้จริง พร้อมสัมผัสความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวละครหนึ่งในนั้น
แต่ละโซนจะถูกออกแบบโดยอ้างอิงมาจากเรื่องต่างๆ เช่น Hill of Youth ใช้ธีมจากเรื่อง Howl’s Moving Castle โดดเด่นด้วยลิฟต์ขนาดยักษ์ที่สามารถขึ้นไปชมวิวของสวนได้ด้านบน รวมทั้งได้พบกับร้านขายของกระจุกกระจิกจาก Whisper of the Heart และองค์ประกอบจาก The Cat Returns หรือ Dondoko Forest ก็เป็นที่ตั้งของบ้าน Satsuki และ Mei ซึ่งล้อมรอบด้วยธรรมชาติที่เขียวชอุ่มและภูมิทัศน์ในชนบทสมัยโชวะ (1926 – 1989) จากภาพยนตร์ จาก My Neighbor Totoro ตลอดจนเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่เรียงรายไปด้วยรูปปั้นของแมงมุม หมูป่า และตัวละครอื่นๆ ของจิบลิ
ว้าวตั้งแต่ทางเข้า
ประตูบานแรกที่ต้อนรับแฟนๆ เข้าสู่โลกของจิบลิ คือ โซน Hill of Youth ที่เปลี่ยนสะพานลอยเก่าเป็นหอสังเกตการณ์และสร้างหอลิฟต์ในแนวสตีมพังก์ หรือแนวไซไฟผสมวินเทจ ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ที่ใช้เทคโนโลยีระบบฟันเฟืองและเครื่องจักรไอน้ำ อาคารบ้านช่องส่วนใหญ่ทำจากไม้และอิฐ
นอกจากการตกแต่งที่สร้างบรรยากาศให้เหมือนหลุดไปในโลกอนิเมะเรื่อง Laputa: Castle in the Sky และ Howl’s Moving Castle แล้ว จากจุดนี้ทุกคนสามารถมองเห็นวิวโดยรอบ ซึ่งมีการเปิดให้ประชาชนทั่วไปใช้บริการโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.
สำหรับโซนนี้ทุกคนยังจะได้พบกับอาคารสีส้มท่ามกลางแมกไม้เขียวขจีที่ชวนให้นึกถึงร้านขายของเก่าในย่านเซกิ ซากุระกาโอกะ ทางตะวันตกของโตเกียวจาก Whisper of the Heart และสำนักแมวในเวอร์ชันย่อจากเรื่อง The Cat Returns
อลังการโซนโกดัง
อดีตสระว่ายน้ำสาธารณะที่ปิดตัวลงปี 2018 ถูกเนรมิตกลายเป็นคลังสินค้าขนาดใหญ่ของจิบลิ หรือโซน Ghibli’s Large Warehouse ที่มีขนาดใหญ่กว่าพิพิธภัณฑ์จิบลิในโตเกียวถึง 3 เท่า ด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างองค์ประกอบแบบญี่ปุ่นและตะวันตก ซึ่งมีหน้าตาเหมือนเมืองแห่งสีสันและแปลกตามากกว่าโกดังตามชื่อที่ถูกตั้ง
เมื่อก้าวเข้าไปข้างในจะพบกับนิทรรศการพิเศษ ขุมสมบัติของสิ่งประดิษฐ์จากคอลเลกชั่นของสตูดิโอจิบลิ โรงภาพยนตร์ 170 ที่นั่ง คาเฟ่ สนามเด็กเล่นและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ โดยมีแรงบันดาลใจหลักจากเรื่อง Laputa , My Neighbor Totoro และThe Secret World of Arrietty ไม่ว่าจะเป็นสวนลอยฟ้า เรือเหาะขนาด 6.3 เมตร ที่ห้อยลงมาจากเพดาน หุ่นยนต์ทหาร สวนในมุมมองของอาร์ริเอตี ห้องรถบัสแมว โดยมี 14 ฉากจากหนัง 13 เรื่องให้ผู้มาเยือนโพสต์ท่าเก็บภาพเป็นที่ระลึก หนึ่งในนั้นคือบนรถไฟที่เข้าไปนั่งข้าง No Face เหมือนกับชิฮิโระขณะมุ่งหน้าไปบ้านของเซนิบะในช่วงท้ายของหนัง
แต่สิ่งที่มีการพูดถึงมากในโซนนี้คือ การสร้างเมืองลึกลับจากเรื่อง “Spirited Away” อนิเมะเรื่องดังที่คว้ารางวัลออสการ์ปี 2011 ที่สำคัญไม่ว่าแดดจะร้อนจัด ฝนโปรย หรือหิมะปก โซนนี้ก็ยังเปิดต้อนรับให้ผู้มาเยือนได้แวะมากิน ช้อป เดินเล่นได้ทุกสภาพอากาศเพราะเป็นโกดังในร่ม
ล้วงลับอาหารจานโปรด
เหล่าแฟนๆ ค่ายนี้น่าจะทราบดีว่าอาหารในภาพยนตร์ของจิบลินั้นเกือบจะเป็นเหมือนคาแร็กเตอร์ในตัวเอง
“ทำไมอาหารในหนังจิบลิดูน่ากินจัง!?” ความลับเหล่านั้นจะถูกเปิดเผยในนิทรรศการพิเศษชื่อ ‘Delicious! Animating Memorable Meals’ ซึ่งเป็นเวอร์ชันอัพเกรดของนิทรรศการยอดนิยมที่เคยจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์จิบลิในเมืองมิตากะ ที่มีการเพิ่มเรื่องวัสดุการผลิตจาก Spirited Away , From Up on Poppy Hill และ Earwig and the Witch รวมทั้งการผลิตซ้ำของห้องครัวในเรื่อง From Up on Poppy Hill
พายปลาของกิกิ เบคอนและอาหารเช้าแบบไข่จาก Howl’s Moving Castle แผงขายอาหารที่พ่อแม่ของซิฮิโระออกมากินในเรื่อง Spirited Away สปาเก็ตตีโบโลเนสจาก Porco Rosso และอีกมากมาย จะมีให้ชมและบางอย่างก็มีให้ชิมกันจริงๆ ในร้านอาหาร
สำรวจปราสาทเวทมนตร์
เชื่อว่าคนที่เคยดูหนัง Howl’s Moving Castle คงมีความคิดอยากเข้าไปผจญภัยในปราสาทเวทมนตร์บ้าง และโอกาสนั้นมาถึงจริงๆ แล้ว เมื่อหนึ่งในไฮไลต์ของสวนสนุกจิบลิ คือ ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ ซึ่งอยู่ในโซน Valley of Witches
แม้จะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เหมือนในโลกแฟนตาซี และมีขนาดเล็กกว่าที่เห็นในภาพยนตร์เล็กน้อย แต่ก็ยังมีขนาดสูงถึง 16 เมตรหรือ 4-5 ชั้น มีพื้นที่รวม 289 ตารางเมตรที่มีความอาร์ตในตัว พร้อมด้วยปืนใหญ่ที่เคลื่อนที่ที่มีลักษณะคล้ายลูกตา และสามารถมองเห็นห้องนอนของฮาวล์ภายในอาคาร รวมถึงเดินเล่นในสวนของปราสาทและเติมพลังที่ร้านอาหารในบริเวณนั้นได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม แฟนๆ อาจจะต้องรอหน่อยเพราะตามประกาศที่ออกมาพื้นที่ส่วนนี้จะเป็นโซนสุดท้ายในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยในโซนนี้ยังมีบ้านของครอบครัวกิกิและร้านเบเกอรีจากเรื่อง Kiki’s Delivery Service รวมถึงบ้านของเบลลา ยากา ในเรื่อง Earwig and the Witch ซึ่งภายในจำลองมาจากฉากในภาพยนตร์และสามารถเข้าไปสำรวจและใช้เวลาอยู่ในห้องได้
เยี่ยมบ้านซัตสึกิกับเม
แม้จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีมานาน 17 ปีแล้ว แต่บ้านของซัตสึกิและเมย์ก็ยังคงองค์ประกอบสำคัญจากเรื่อง My Neighbor Totoro ซึ่งถือเป็นผลงานชิ้นเอกของมิยาซากิที่สาวกสตูดิโอ จิบลิ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางที่ถอดออกมาได้เหมือนกับอนิเมะจนเห็นภาพหนูเมวิ่งเล่นได้ชัดเจน หรือความประทับใจที่ยืนยันได้จากการเป็นสถานที่ยอดนิยมในช่วงงานเอ็กซ์โป 2005
บ้านของสองพี่น้องตั้งอยู่ในโซน Dondoko Forest ที่มีลักษณะคล้ายกับภูมิทัศน์ในชนบทสมัยโชวะ (1926-1989) ด้านบทของเนินเขาซึ่งอยู่ด้านหลังบ้านมีรูปปั้นไม้โทโทโร่ขนาดยักษ์สูง 5.2 เมตรเรียกว่า ‘ดอนโดโกะโด’ ซึ่งอนุญาตให้เฉพาะเด็กๆ เข้าไปสำรวจข้างในได้ครั้งละ 5 คน
ทั้งนี้คำว่า Dondoko ที่เป็นชื่อพื้นที่นั้นมาจาก Dondoko Odori การเต้นรำใต้ต้นไม้ใหญ่ของสองพี่น้องและโทโทโร่ เพื่อขอพรให้เมล็ดพืชที่พวกเขาหว่านไว้เจริญเติบโตขึ้น
เรียนรู้กลุ่มชาติพันธุ์โบราณ
โซน Mononoke’s Village ไม่เพียงจำลองหมู่บ้านช่างตีเหล็ก ‘ทาทาระบะ’ จากเรื่อง Princess Mononoke แต่ยังรวมถึงหมู่บ้านเอมิชิ บ้านเกิดของเจ้าชายอาชิทากะด้วย และจะได้พบร่างของปิศาจทาทาริกามิ เทพเจ้าหมูป่า แมงมุมยักษ์ และสิ่งมีชีวิตในตำนานอื่นๆ ที่วางไว้รอบทุ่ง
โกโร ลูกชายของมิยาซากิ กล่าวไว้ว่าหมู่บ้านโมโนโนเกะจะเพิ่มความวัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นสองเท่า ราวกับว่าก้าวออกมาจากยุคโจมง หมู่บ้าน Emishi จะเป็นโอกาสในการเรียนรู้เกี่ยวกับเอมิชิ หรือกลุ่มชาติพันธุ์โบราณในชีวิตจริงที่ชนเผ่าของ Ashitaka อาศัยอยู่ และเนื่องจากจังหวัดไอจินับรวมเครื่องปั้นดินเผา Seto และ Tokoname ไว้ในงานหัตถกรรมท้องถิ่น มิยาซากิจูเนียร์ยังเปรยว่าโรงงานแห่งนี้อาจจะมีการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผา
บริเวณใกล้กันยังมีสนามเด็กเล่นที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่อง The Cat Returns ที่มีทั้งสไลเดอร์ เขาวงกต และซิปไลน์ ‘เชือกทาร์ซาน’ ไว้ให้เด็กๆ ได้เพลิดเพลินฟรีด้วย เนื่องจากสร้างขึ้นในพื้นที่สาธารณะของสวน
โอบกอดความคิดถึง
นอกจากความเรียบง่ายแต่ใส่ใจในรายละเอียดอย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะในโซนโกดังขนาดใหญ่ของจิบลิ อาทิ การจัดกลุ่มภูติเขม่าที่ซ่อนอยู่ตามมุม โทโทโร่ที่ซุกตัวหลับใหลอยู่ในบริเวณสนามเด็กเล่น การแสดงออกที่สมจริงของสุนัขแรคคูนจากปอมโปโกะ หรือหยดน้ำขนาดเท่ามือคนเมื่อมองโลกผ่านสายตาของอาร์ริเอตีแล้ว ที่นี่ยังมีของจำพวกหายากและให้ความรู้สึกเหมือนโลกจิบลิให้หายคิดถึง
ร้านขนมโบราณขายขนมที่หาได้ยากในโตเกียว ตู้หยอดเหรียญกาชาปองแบบเก่า ร้านขายขนมที่เสิร์ฟนมขวดพร้อมพาย คือสีสันความสนุกกับชีวิตที่แฝงไปด้วยวัฒนธรรมของญี่ปุ่น อย่างที่มิยาซากิ ผู้ไม่ชอบใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน จินตนาการและอยากนำเสนอ
วัดดวงก่อนเข้าชม
การเข้าสวน Expo 2005 Aichi Commemorative Park ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่มีค่าเข้าชมพื้นที่ในแต่ละโซนของ Ghibli Park ซึ่งมีราคาแตกต่างกันไปและเพื่อหลีกเลี่ยงความแออัดยัดเยียดของนักท่องเที่ยว จึงมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมรวม 3 โซนประมาณ 5,000 คนต่อวัน โดยใช้ระบบการออกตั๋วแบบล็อตเตอรี ซึ่งผู้ซื้อต้องเลือกวัน เวลา และพื้นที่ที่ต้องการเข้าชม ก่อนจะมีการประกาศผู้โชคดีที่ได้ตั๋วภายหลัง
ตอนนี้การจองตั๋วสำหรับเดือนพ.ย.- ม.ค.ได้ปิดไปเรียบร้อยแล้ว เพราะจะเปิดจองล่วงหน้า 2 เดือนโดยจะเปิดจองออนไลน์ทุกวันที่ 10 ของเดือน แต่อาจจะยังพอหาตั๋วหลุดจองได้ 2-3 ใบสำหรับเดือนธ.ค.- ม.ค. ซึ่งขายแบบมาก่อนได้ก่อน ราคามีตั้งแต่ 500-1,250 เยน (ราว 128-318 บาท) สำหรับเด็ก 4-12 ปี และ 1,000-2,500 เยน (ราว 255-636 บาท) สำหรับผู้ใหญ่ ส่วนเด็ก 3 ขวบลงมาเข้าฟรี
Photo Credit : https://ghibli-park.jp/
ที่มา
https://ghibli-park.jp/en/about/daisouko.html
https://www.timeout.com/tokyo/news/what-we-know-so-far-about-the-worlds-first-ghibli-park-opening-in-2022
https://www.washingtonpost.com/world/2022/10/13/studio-ghibli-anime-park-japan
https://blog.govoyagin.com/ghibli
https://blooloop.com/theme-park/in-depth/studio-ghibli