

This Must Be The Place
‘มารีน่า บาเล็นซิเอก้า’ กับบทบาทศิลปิน เขียนเพลงให้คนฟังสบายใจลืมวันแย่ๆ พร้อมเริ่มวันดีๆ อีกครั้ง
- คุยกับ มารีน่า-ศดานันท์ บาเล็นซิเอก้า กับการค้นพบบาลานซ์ชีวิตให้เจอสุขแสนเรียบง่ายหลัง เก็บเกี่ยวประสบการณ์บนเส้นทางบันเทิง ด้วยการกลับสู่บทบาทศิลปิน (ในรอบหลายปี) พร้อมซิงเกิล This Must Be The Place ที่อยากให้คนฟังสุขไปกับพื้นที่ของเธอ และกลางปีนี้จะปล่อย ‘CASA MARI’ อีพีแรกในชีวิต กับ 5 บทเพลงสากล ที่เธอเขียนเนื้อและแต่งทำนองเพลงเอง
ONCE ตื่นเต้นกับการสัมภาษณ์ครั้งนี้มากเป็นพิเศษ ที่จะได้นั่งคุยใกล้ชิดกับนางเอกวัยใสที่เคยได้เห็นในทีวีตั้งแต่ยุคที่บ้านเรายังไม่มีสตรีมมิงออนไลน์ให้ชมอย่างในปัจจุบัน
นางเอกคนสวยที่พูดถึงคือ มารีน่า-ศดานันท์ บาเล็นซิเอก้า หรือที่หลายคนรู้จักในบทบาท ‘มารีน่า’ จากละคร ‘น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์’ แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว แต่ยอมรับเลยว่า ละครน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้ง ONCE และหลายๆ คนได้รู้จักและจดจำมารีน่าในฐานะนักแสดงมากขึ้น
ในวันนี้ ONCE ไม่ได้มาคุยกับมารีน่าในฐานะนักแสดง แต่อยากชวนเธอคุยในบทบาท ‘ศิลปิน’ ที่มารีน่าลุยสนามวงการบันเทิงควบทั้ง 3 ลู่วิ่ง คือ นักแสดง นางแบบ และนักร้อง ซึ่งบทบาทหลังสุดคือสิ่งที่มารีน่ากำลังทุ่มเทมากเป็นพิเศษในช่วงนี้
พิเศษถึงขั้นลงมือเขียนเพลงสากลทั้ง 5 เพลงของ อีพี CASA MARI ด้วยตัวเอง โดยเพลงแรกที่จะปล่อยให้ทุกคนฟังคือเพลง This Must Be The Place ที่เธออยากพาทุกคนไปพักใจ ปล่อยใจสบายๆ กับชีวิตประจำวัน พร้อมบูสต์เอเนอร์จีเพื่อเริ่มต้นวันดีๆ ไปด้วยกัน และยิ่งไปกว่านั้น เพลงนี้ยังเป็นการเปิดตัวตนอีกมุมของมารีน่าให้ทุกคนได้เห็นมากขึ้นอีกด้วย
การได้ฟังเพลงจากอีพี CASA MARI เหมือนได้อ่านไดอารี ที่มารีน่าได้บันทึกทุกอย่างที่คิดในรูปแบบของเมโลดี เป็นบันทึกที่อ่านแล้วรู้สึกสบายใจและมีความสุขกับสิ่งรอบข้างได้ ONCE จึงอยากชวนทุกคนมารู้จักกับมารีน่า หญิงสาวมาดเท่ที่เราเชื่อว่า หลังจากอ่านบทความนี้จบ ทุกคนจะชอบและหลงรักเธอมากขึ้น
*คำแนะนำก่อนเลื่อนอ่านบทความ : อย่าลืมเปิดเพลง THIS MUST BE THE PLACE ระหว่างอ่านบทความนี้ด้วยนะ*
1 สนาม 3 ลู่วิ่งของมารีน่า
ชอบละครที่ตัวเองเล่นเรื่องไหนมากที่สุด
ตอบยากเลยค่ะ … ตั้งแต่เล่นละครมา ก็เล่นมาหลายบทบาทมาก แต่คิดว่าเรื่อง ‘น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์’ น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้เรียนรู้บทบาทการเป็นนักแสดงจริงๆ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้ผูกพันกับตัวละคร รวมถึงได้สนิทกับเพื่อนๆ ในกอง ที่ปัจจุบัน ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ เรียกว่าเป็นละครที่ทำให้น่าได้มีความทรงจำดีๆ มาจนถึงตอนนี้
เล่าถึงชีวิต 3 ลู่วิ่งในวงการบันเทิงของมารีน่าให้ฟังหน่อย
ถ้าไล่เรียงจริงๆ เลย คือน่าถ่ายแบบก่อน เริ่มถ่ายแบบตั้งแต่ประมาณ 10 ขวบ เพราะตอนเด็กน่าค่อนข้างตัวสูงเลยถูกจับไปถ่ายแบบบ่อยๆ แล้วค่อยมาเล่นละครค่ะ และตามด้วยร้องเพลง ซึ่งน่าเริ่มร้องเพลงคัฟเวอร์ลงยูทูบก่อน ตอนนั้นทุกคนก็เริ่มได้เห็นว่าน่าทำอะไรได้หลากหลาย จึงเริ่มมีงานร้องเพลงประกอบละครเข้ามา มีช่วงนึงที่น่าทำ 2 อย่างควบคือร้องเพลงและเล่นละคร แต่ตอนนี้น่าเข้าสู่เส้นทางการเป็นนักร้องอย่างจริงจังแล้วค่ะ
ทั้ง 3 บทบาทมีเสน่ห์ยังไงกับมารีน่า
การเป็นนางแบบหรือแฟชั่นคืองานอาร์ตที่สามารถใส่อะไรเข้าไปก็ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว จะต้องรู้สึกอะไรสักอย่างกับมัน ซึ่งน่ามองว่า นี่คือเสน่ห์ของอาร์ตและแฟชั่น
ส่วนเสน่ห์ของการแสดงคือการสามารถเข้าไปอยู่ในชีวิตของคนคนหนึ่งได้ ซึ่งกว่าจะเห็นบทบาทของตัวละครหนึ่งๆ การแสดงจำเป็นจะต้องมีการเตรียมการหลายขั้นตอนมาก ทั้งเขียนบท วางคาแรกเตอร์ มีการกำหนดวิธีการพูด หน้าที่ กระทั่งวิธีการเดิน การแต่งตัว เข้าสู่การถ่ายทำ ต้องมีพรีโปรดักชันมีการตัดต่อ เรียกว่าเป็นโปรเซสที่เราต้องทิ้งความเป็นตัวเองให้หมด แล้วเข้าไปเป็นตัวละครแบบ 100%
ต่างกับการทำเพลง การทำเพลงเหมือนการดึงตัวตน ดึงคาแรกเตอร์ของเรา ความจริงใจ และสื่อสารให้คนฟังได้สัมผัสถึงอารมณ์ของเราจริงๆ ซึ่งน่ามองว่า ศาสตร์การร้องเพลงก็คืออาร์ตอย่างหนึ่ง เมโลดีของเพลงสร้างมาจากโน้ตไม่กี่ตัว แต่มันเปลี่ยนโลก เปลี่ยนความรู้สึกผู้คน สื่อสารกับผู้คน และสร้างความรู้สึกบางอย่างให้ผู้ฟังได้ น่าเลยรู้สึกว่าดนตรีคืออีกสิ่งที่ทรงพลังมาก
ทำงานในวงการมาทุกรูปแบบขนาดนี้ มารีน่าอยากนิยามตัวเองว่าอะไร
คงเป็นอาร์ทิสต์ค่ะ นี่เป็นคำถามที่น่าคิดทบทวนมาในช่วงหลายปีมานี้ ว่าเราจะนิยามตัวเองว่าอะไรดี แต่ที่นิยามว่าตัวเองเป็นอาร์ทิสต์ เพราะว่าเราเอ็นจอยในงานศิลปะในหลายๆ อย่าง ช่วงหลังมานี้ น่ารู้สึกว่าสามารถมีความสุขกับสิ่งรอบข้างได้ง่ายขึ้น
น่าเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 14 ปี จนถึงเข้ามหาวิทยาลัย ทำงานแบบต่อกัน 7 วัน จนรู้สึกว่าชีวิตเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันเลย แม้แต่ละครที่ตัวเองเล่นก็ไม่ได้มีเวลากลับมานั่งดู รู้สึกว่าตัวเองอยู่กับอนาคตตลอดเวลา พอมีโควิดก็เริ่มได้หยุดพักจากการทำงาน เลยมานั่งคิดทบทวน และปรับความคิดตัวเองใหม่ เริ่มบาลานซ์ชีวิตตัวเองได้มากขึ้น ช่วงหลังมานี้เลยค่อนข้างมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก่อนเสมอเลยค่ะ
ช่วงที่ทำงานหนัก 7 วัน/สัปดาห์ คือช่วงพีคในวงการของมารีน่าไหม
ไม่ค่ะ เหมือนเป็นช่วงก่อนพีคมากกว่า คำว่า “พีค” ของน่า คือการที่คนจดจำเราได้ค่ะ ซึ่งช่วงที่ทำงานหนักคือการที่น่าได้คราฟต์ฝีมือตัวเอง ได้เข้าใจว่าการเป็นนักแสดงที่ดีคืออะไร เป็นช่วงของการเรียนรู้และการปรับใช้ แล้วก็ได้เจอกับคนหลากหลายรูปแบบ
แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัย น่าไปเรียนสาย BBA (บริหารธุรกิจ) ทำให้น่ามองว่าตัวเองก็เป็นโปรดักส์ชิ้นหนึ่ง ถ้าขายไม่ได้ก็จะไม่มีใครมาจ้าง เลยห้ามหยุดพัฒนาตัวเอง ฉะนั้น น่าคงไม่เป็นแค่นักแสดงได้อย่างเดียว เพราะคนเราสามารถทำอะไรในชีวิตได้ตั้งหลายอย่าง
จนถึงจุดนึงที่เราประสบความสำเร็จมากๆ แต่ก็ยังรู้สึกอยู่ว่ายังต้องพัฒนาตัวเองอยู่ บางทีรู้สึกถึงขั้นว่า เราพัฒนาตัวเองได้ไม่ทันเท่าโอกาสที่มาหาเราด้วยซ้ำ เลยเกิดความนอยด์บางอย่างในช่วงนั้น แถมในช่วงที่ทำงานหนัก 7 วัน/สัปดาห์ น่าก็มองว่ายังไม่ได้มอบความคราฟต์ให้งานได้อย่างเต็มที่ เหมือนเราเอาแต่วิ่งขึ้นภูเขาสูงอย่างเดียวอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ
แล้วผลลัพธ์การวิ่งขึ้นภูเขาสูงของมารีน่าคืออะไร
คงเป็นมายด์เซ็ตของเรามั้งคะ น่าสามารถรับมือกับหลายๆ สถานการณ์ในชีวิตที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเราได้ น่าคิดว่าสามารถนำพาตัวเองไปในที่ที่ดีได้เสมอ และก็สามารถมอบบางอย่างในทางที่ดีให้โลกนี้ได้
อีกอย่างคือทำให้รู้ตัวว่า น่าไม่ใช่คนชอบแข่งขัน ไม่ได้เป็นคนเซ็ตโกลล์แล้วต้องกดดันตัวเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อย ไม่มีจุดหมายนะคะ น่ายังคงวางมาตรฐานการใช้ชีวิตเพื่อรักษาสมดุล เพียงแต่แค่ปรับมายด์เซ็ตให้มองโลกแบบเข้าใจมากขึ้น เพราะที่ผ่านมา น่าได้เรียนรู้ว่ามนุษย์ทุกคนใช้ชีวิตที่ผิดพลาดกันได้ มนุษย์ไม่ต้องประสบความสำเร็จตลอดเวลาก็ได้
วงการบันเทิงให้อะไรให้กับมารีน่าบ้าง
สิ่งแรกคือความรับผิดชอบ ทำให้น่าคิดเสมอว่า ต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน หรือเล่นกีฬา คิดเสมอว่าเราบาดเจ็บไม่ได้ เพราะพรุ่งนี้ต้องทำงาน ไม่อยากให้คนอื่นในกองมาเดือดร้อนเพราะเรา หรือเวลาที่เหนื่อยก็ต้องมีวิธีจัดการตัวเอง เพื่อให้ลุกไปต่อกับงานได้ทันที วงการบันเทิงสอนให้เรามีความรับผิดชอบมากๆ แต่พอมันมากไปในช่วงที่น่าเล่าให้ฟัง ก็เลยต้องมาปรับจูนให้บาลานซ์กับชีวิตมากขึ้น อย่างตอนนี้รู้สึกว่าชีวิตของน่ากำลังดีเลยค่ะ เพราะได้มีเวลาให้ทั้งงานและครอบครัวด้วย
อะไรคือความสุขหรือสิ่งที่เติมเต็มมารีน่าในช่วงนี้
คงเป็นการจัดเรียงความสำคัญของชีวิตได้ถูกต้องมั้งคะ เลยไม่เสียดายหรือเสียใจกับอะไรเลย มีความสุขกับปัจจุบันได้ง่ายและดีมากๆ มองอะไรรอบตัวก็สนุกไปหมดเลย การใช้ชีวิตของน่าในตอนนี้ ถ้ามารีน่าเวอร์ชันเด็กมองขึ้นมา ก็ยังภูมิใจในตัวมารีน่าคนนี้อยู่ “I can be there for my younger self” เราเติบโตในแบบที่เด็กหญิงมารีน่าจะไม่รู้สึกว่า ‘ทำไมโตมาแล้วเป็นแบบนี้วะ?’ (หัวเราะ)
ช่วงนี้มีงานอดิเรกไหม
ทำเยอะมาก ตลอดเวลา แต่หลังๆ โฟกัสการออกกำลังกาย แต่ไม่ได้ออกในยิมแล้ว ช่วงนี้ชอบเล่นเทนนิส เพราะสดชื่น ทุกอย่างโล่ง อีกอย่างนอกจากเล่นกีฬาคือกำลังอินกับการทำอาหาร การใช้เวลากับเพื่อนๆ เพราะก่อนหน้านี้แทบไม่ได้เจอใครเลย แต่ตอนนี้ทุกคนเริ่มอยู่ตัวกันแล้ว เลยได้กลับมาเจอเพื่อนๆ ซึ่ง อีพี CASA MARI ก็ได้ไอเดียจากตรงนี้เหมือนกันนะ เพราะน่าเป็นคนติดบ้าน แต่ชอบคิดถึงเพื่อนๆ เลยกลายเป็นว่าแทนที่จะชวนเพื่อนไปแฮงก์เอาต์ข้างนอก ก็ชวนเพื่อนมาบ้านแทน เพลงใหม่ของน่าเลยได้ไอเดียมาจากตรงนี้ด้วย
WELCOME TO ‘CASA MARI’
ปีนี้เราจะได้เห็นมารีน่าในบทบาทนักร้องเต็มตัวเลยหรือเปล่า
น่าเริ่มโฟกัสการทำเพลงแบบจริงๆ จังๆ เมื่อปีที่ผ่านมา ก่อนหน้าทำเป็นซิงเกิลออกมาตลอด ยังไม่เคยคิดเป็นภาพใหญ่แบบการทำอัลบั้มหรืออีพีมาก่อน เพราะจะติดความคิดที่ว่า ‘งานคืองาน’ ‘มารีน่าคือชีวิตส่วนตัว’ ประมาณว่าจะไม่เอาสองสิ่งนี้มาปนกัน อยากให้คนได้เสพผลงานของเราโดยไม่ตัดสินจากตัวเรา แต่พอมาเป็นเพลง กลับเป็นสิ่งที่น่าต้อง reintroduce ตัวเองอีกรอบนึงให้คนได้เข้าใจตัวตนของน่าจริงๆ เพราะเพลงเป็นสิ่งที่ต้องจริงใจและซื่อสัตย์กับคนฟัง พอไม่ได้เป็นงานที่เซ็ตมาแล้วเหมือนกับละคร ยิ่งต้องจริงใจกับแฟนๆ มากกว่าเดิม น่าเลยตัดสินใจว่า ถ้างั้นลองสร้างอีพีที่เปิดรับทุกคนเข้ามาในบ้านเราดีไหม จึงเป็นที่มาของชื่ออีพี ‘Casa Mari’ เพราะคำว่า CASA ในภาษาสเปน แปลว่า บ้าน ส่วน MARI มาจากชื่อที่น่าชอบใช้แทนตัวเวลาที่คุยกับเพื่อน น่าชอบคุยกับเพื่อนด้วยการแทนตัวเองว่า ‘มาริ’
ตัวตนมารีน่าที่ซ่อนอยู่ในบทเพลงเป็นแบบไหน?
สำหรับอีพี CASA MARI น่าเลือกเพลง This Must Be The Place เป็นเพลงเปิดตัว ซึ่งน่ามองว่า เพลงนี้ค่อนข้างเป็นตัวน่ามากๆ น่าเป็นคนที่มีความสุขกับอะไรได้ง่ายมากๆ เพียงแค่เราเลือกที่จะมองเห็น ตั้งแต่การไปเดินเล่นซูเปอร์มาร์เก็ต การได้ซื้อวัตถุดิบกลับบ้าน ระหว่างที่นั่งรถก็ชอบมองทางไปเรื่อย ขนาดซุ้มวัดที่มีสายไฟยุ่งเหยิง ก็ยังมองว่ามีเสน่ห์ในแบบของมัน น่าเลยอยากให้เพลงนี้ส่งพลังบวกที่เรียบง่าย เพราะจริงๆ เมื่อก่อนน่าชอบไปเที่ยวต่างประเทศมากๆ แต่ก็ไม่ได้แฮปปี้ขนาดนั้น ถ้าเทียบกับการได้อยู่บ้านแล้ว น่ามีความสุขกับการอยู่บ้านมากๆ น่าชอบละแวกหรือย่านบ้านตัวเองมาก ก็เลยเอาความรู้สึกและตัวตนใส่เข้าไปในเพลงนี้
น่าอยากให้ This Must Be The Place เป็นตัวแทนของเพลงที่ฟังแล้วสบายใจ อยากให้คนฟังเพลงนี้จบแล้วรู้สึกมีความสุขจังเลย ลืมวันแย่ๆ กลับมาสดใส พร้อมเริ่มต้นวันดีๆ อีกครั้ง
เพลงนี้มารีน่ามีส่วนร่วมในขั้นตอนไหนบ้าง
ทุกกระบวนการเลย เพลงนี้เลยใช้เวลานาน เพราะน่าทำตั้งแต่เริ่มวางคอนเซปต์อีพี รวมถึงขั้นตอนอื่นๆ ซึ่งเป็นการทำงานที่ต้องใกล้ชิดโปรดิวเซอร์มากๆ แล้วโชคดีมาก ที่โปรดิวเซอร์เข้าใจเรา เขามักพูดทุกครั้งว่า ‘This is your project’ เพราะฉะนั้น น่าอยากทำอะไร หรือมีไอเดียอะไร ไม่ต้องเกรงใจ ซึ่งโปรดิวเซอร์ดูแลในส่วนของดนตรี และน่าอยู่ในพาร์ตการเขียนเนื้อเพลง เราทำงานด้วยกันได้ลงตัวมากๆ ซึ่งส่วนหนึ่ง ที่เพลงนี้ใช้เวลานาน อาจเป็นเพราะน่าได้อยู่ในทุกขั้นตอน ก็เลยเติมเสริมแต่งให้งานดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะน่าสนุกกับมันมาก
ขั้นตอนไหนท้าทายสุดสำหรับเพลงนี้
การบอกว่าเมื่อไหร่คือ “พอ” (หัวเราะ) เพราะเมื่อเป็นโปรเจ็กต์ของตัวเอง น่าเลยสามารถอัดเสียงร้องได้ 7-8 ชั่วโมงไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นโปรเจ็กต์เพลงประกอบละคร เขาอาจจะเผื่อเวลาอัดร้องให้เรา 4 ชั่วโมง แต่ยังไม่เคยใช้เกิน 2 ชั่วโมงเลย เพราะน่ารู้ว่าต้องจบให้ได้ แต่พอเป็นเพลงของตัวเอง ไม่มีใครมาบอกว่าควรจบหรือพอได้หรือยัง น่าเลยชอบเพิ่มลดในสิ่งที่อยากได้ไปเรื่อยๆ เพิ่มลูกเล่นให้เพลงสนุกขึ้น ความยากก็เลยเป็นการที่หาจุดจบของการทำเพลงนี่แหละค่ะ (หัวเราะ)
สิ่งที่อยากให้คนฟังเพลง This Must Be The Place ได้รับ
อยากให้ฟังแล้วรู้สึกสบายใจ อยากให้เพลงนี้เป็น Music Therapy อย่างหนึ่ง อยากให้ฟังแล้วมีความสุขกับปัจจุบันของเขา น่าไม่ได้คาดหวังมากมายจากเพลงนี้เลย แค่หวังว่าคนฟังแล้วจะรู้สึกดีเหมือนกับน่า
มีแพลนออกอัลบั้มไหม
จริงๆ อัลบั้มเสร็จแล้ว อีพี CASA MARI เป็นอีพีที่จะต้อนรับทุกคนเข้าสู่บ้านของน่าอย่างเป็นทางการ ซึ่ง This Must Be the Place คือเพลงแรกของอีพีนี้ที่น่าใช้แนะนำตัว ซึ่งจะเป็นเพลงที่เซ็ตโทนอีพีให้ทุกคนลองเข้ามาในบ้าน เพื่อเข้าใจตัวตนของน่ามากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้อาจจะเคยรู้จักน่าอยู่แล้ว แต่ถ้าได้มารู้จัก CASA MARI ในวันนี้ น่าอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่ทุกคนคิดก็ได้นะ
คิดว่ามารีน่าในภาพจำของคนอื่นเป็นยังไง
อาจมองว่าน่าเป็นคนที่สุขุม นิ่งๆ หรือจริงจัง เพราะเวลาทำงานน่าก็จะมีคาแรกเตอร์อีกแบบ ด้วยเสื้อผ้าหน้าผมที่ถูกกำหนดมาแล้ว ซึ่งคนที่ได้เจอน่ามักพูดประโยคนี้บ่อยๆ ว่า “ไม่เหมือนกับที่คิดไว้เลย” น่าก็เลยคิดว่า ‘เอ๊ะ แล้วเขาคิดไว้ว่ายังไงหว่า’ (หัวเราะ) น่าก็มีมุมจริงจังนะ เพียงแต่น้อยมาก จริงๆ น่าเป็นคนสบายๆ มากเลย อาจเพราะน่าโพสต์เกี่ยวกับงานในโซเชียลเยอะด้วย แต่ไม่ได้อัปเดตชีวิตส่วนตัวตลอดเวลาว่าทำอะไรอยู่ คนเลยมองว่าเป็นคนจริงจัง
แวะถามนอกเรื่องหน่อย รอยสักที่แขนของมารีน่า เป็นอีกสิ่งที่บ่งบอกตัวตนของมารีน่าเหมือนเพลงนี้หรือเปล่า?
อ๋อ ตอนนี้น่ามีรอยสัก 4 ที่ค่ะ สักครั้งแรกคือนิ้วนางค่ะ เป็นการสักครั้งแรกตอนเด็กที่อยากรู้ว่าการสักเป็นยังไง สักที่นิ้วนางเป็นรูปอินฟินิตี เพราะอยากรักตัวเองแบบอินฟินิตี้ แต่จริงๆ ไม่ใช่ มานั่งย้อนคิดดีๆ คือเราอยากสักแบบไม่ให้คุณแม่รู้ต่างหาก (หัวเราะ) เพราะถ้าสังเกตดีๆ นิ้วนางและนิ้วกลางของน่าจะชิดกันมากกว่านิ้วอื่น เพราะซ่อนไว้กลัวแม่เห็นค่ะ
ลายที่เริ่มสักเป็นเรื่องเป็นราวคือ Olive Branch น่าสักให้คุณพ่อค่ะ เพราะความหมายของ Olive Branch คือสันติภาพ อยากได้อะไรที่สบายใจ มีความเป็นธรรมชาติ แถมโอลีฟก็มีความเป็นลูกครึ่งสเปนด้วย ตัวลูกโอลีฟในรอยสักก็จะเป็นตัวแทนของครอบครัวเรา คือมีพี่กี้ (มาร์กี้ – ราศรี) ตัวน่าเอง และมีคุณพ่อคุณแม่
ส่วนลายที่ 3 สักให้คุณน้า ตอนที่คุณน้าเสีย คุณน้าชื่อ อรสา ซึ่งแปลว่านางฟ้า น่าเลยสักรูปคิวปิดค่ะ แขนนี้จึงเสมือนเป็นแขนที่ปกป้องตัวเรา เป็นลายที่สักนานและเจ็บมาก ทำให้หยุดสักไปนานเลย
ลายล่าสุดคือพี่สมคิด (เฟรนช์บูลด๊อกของมาร์กี้กับสามี) ตอนนั้นพี่สมคิดเสีย ผ่านไป 1 ปีแล้วน่าก็ยังคิดถึงพี่สมคิดอยู่ เลยคิดว่าพี่สมคิดต้องมาอยู่บนแขนเราแล้วแหละ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรจะได้มีพี่สมคิดอยู่ด้วยทุกที่
กลับมาที่การทำเพลง คิดว่าดนตรีมีอิทธิพลยังไงสำหรับมารีน่า
น่าว่าเพลงทรงพลังเหมือนกับคำพูดเลยนะ เพราะคำพูดคือสิ่งที่พูดออกไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ เพลงก็เหมือนกัน เพลงคือสิ่งที่เราพูดออกไปแล้วมีผลกระทบต่อความรู้สึกคนฟัง ก่อนหน้านี้น่าเคยทำเพลงเศร้า และมันทำหน้าที่เป็นฮีลเลอร์ประเภทหนึ่ง คือ เสียดาย เสียใจ และเข้าใจความเจ็บปวด แต่สุดท้ายสารของเพลงคือการต้องกลับมารักตัวเองและมูฟออนให้ได้ เลยคิดว่า น่าได้ทำหน้าที่เป็นนักร้องเพลงเศร้าได้อิ่มแล้ว
เลยอยากพาคนไปเห็นน่าในอีกรูปแบบหนึ่ง ออกมาเป็นแนวดนตรี R&B เหมือนเดิมแหละ แต่แค่เพลงก่อนหน้านี้คือเพลงอกหัก เสียใจ เพลงใหม่นี้เลยเป็นโหมดให้ทุกคนฟังแล้วรู้สึกสบายใจ มีความเป็นมารีน่าอยู่ในนั้น ได้ฟังแล้วมีพลังขึ้นมา เป็นเพลงที่นำพาว่าคนฟังจะใช้ชีวิตวันนั้นต่อด้วยความรู้สึกแบบไหน
เพลงเลยมีอิทธิพลต่อความรู้สึกมากๆ ฟังเพลงเพื่อให้พลังบวกขึ้นไปอีกก็ได้ หรือจะฟังเพลงแบบหักล้าง เช่น ฟังลบในตอนที่รู้สึกลบๆ อาจจะทำให้อารมณ์กลายเป็นบวกและมูฟออนก็ได้ เพลงทำได้หมด เลยอยากให้เพลงของน่าเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่ให้ความรู้สึกดีๆ สำหรับทุกคน
ถ้าให้เลือกระหว่างคำว่า “มาริ” และ “น่า” เลือกอะไร
ชอบคำว่า “มาริ” เพราะมาริโชว์คาแรกเตอร์ตัวเรา แต่การจะเรียกตัวเองว่ามาริ ก็ต้องมีความเป็นมาริมาก อาจจะขี้ลืม หรืออยู่ในโมเมนต์ที่ฮาๆ ตอนนั้นแหละที่จะแทนตัวเองว่ามาริ หรือเป็นการที่บอกว่า “มาริทำ!” (หัวเราะ) มาริคือเจ้าก้อน ฉะนั้น อีพี CASA MARI ก็คือมาริค่ะ มาริ 100% เลยค่ะ
ขอบคุณสถานที่สวยๆ จาก
MOXY Bangkok Ratchaprasong
ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330