The Parisien Heights
The Parisien Heights ลัดเลาะทอดน่องบนที่สูงของกรุงปารีส
ท่องปารีสจาก 'มุมสูง' ตามสไตล์คนปารีเซียงนิยมเที่ยวกัน เพราะเมืองใหญ่เมืองนี้ไม่ได้มีดีแค่หอไอเฟล พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ถนนช็องเซลิเซ หรือมหาวิหารโน-เทรอ-ดามเท่านั้น
- ณ เนินเขานักบุญเฌอ-เนอ-วิ-แอฟ ที่มีทั้งวิหารป็อง-เต-อง สถานฝังศพของบุคคลสำคัญของฝรั่งเศส ชมสถาปัตยกรรมโบราณของห้องสมุดเก่าแก่ และโบสถ์แซงต์เอเตียนดูมงต์สไตล์กอทิกผสมเรอแนซ็องส์
- มารู้จักกับสองค็อกเทลจากแคว้นบูร์กอญ เครื่องดื่มยอดนิยมของชาวฝรั่งเศส คือ กีร์ (Kir) เป็นเครื่องดื่มผสมเหล้าหวานจากผลไม้ผสมกับไวน์ขาว แต่ถ้าเป็น ‘กีร์ รัวยาล’ (Kir Royal) ก็จะใช้แชมเปญผสมแทนไวน์ขาว
- เยือน Montmartre ที่ยังคงกลิ่นอายของศิลปะไว้ทุกซอกมุม มีจุดชมวิวเมืองปารีสในมุมสูงจากโดมของมหาวิหารซาเคร่เกอร์ และไร่องุ่นซ่อนตัวอยู่
เนินเขานักบุญ
สถานที่แรกเป็นย่านนักศึกษา หรือการ์ทิเย-ลา-แตง (Quartier latin) ในใจกลางกรุงปารีส บนเนินเขานักบุญ เฌอ-เนอ-วิ-แอฟ (Sainte-Geneviève) ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำแซน (หรือที่ชาวปารีเซียงเรียกกันว่า Rive gauche) เมื่อเดินขึ้นมาถึงยอดเขาจะพบกับวิหารป็อง-เต-อง (le Panthéon แปลว่า วิหารแห่งเทพ) ที่สร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 เพื่ออุทิศให้นักบุญผู้นี้ แต่หลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่นี่กลายเป็นสถานที่ฝังศพบุคคลสำคัญของฝรั่งเศส อาทิ Jean-Jacques Rousseau (ผู้ประพันธ์ “ว่าด้วยสัญญาประชาคม” – Du Contrat Social) / Victor Hugo (ผู้ประพันธ์ Notre-Dame de Paris และ Les Misérables)/ Louis Braille (ผู้คิดค้นอักษรเบรล) / คู่สามีภรรยานักวิทยาศาสตร์ Pierre และ Marie Curie เป็นต้น เพื่อยกย่องคุณงามความดีที่ทำไว้ในด้านต่างๆ ดั่งที่ปรากฏข้อความ ‘Aux grands hommes la patrie reconnaissante’ (แด่มหาบุรุษ ด้วยกตัญญูของมาตุภูมิ) ที่จารึกไว้ด้านบนของทางเข้า
Don’t miss this!
ด้านข้างของวิหาร le Panthéon เป็นที่ตั้งของหนึ่งในห้องสมุดเก่าแก่และสวยที่สุดในฝรั่งเศส คือ ห้องสมุดนักบุญ เฌอ-เนอ-วิ-แอฟ (la bibliothèque Sainte-Geneviève) แม้สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.1851 แต่ยังคงความวิจิตรงดงามของสถาปัตยกรรมในยุคนั้นทั้งภายนอกและภายในไว้ได้อย่างน่าทึ่ง ที่สำคัญเข้าชมฟรี ถัดมาไม่ไกลกัน มีโบสถ์แซงต์เอเตียนดูมงต์ (Saint-Étienne-du-Mont) โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมกอทิกผสมเรอแนซ็องส์ที่งดงามตระการตา สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1626 แต่เดิมมีหีบสักการะที่บรรจุอัฐิของนักบุญ เฌอ-เนอ-วิ-แอฟ แต่น่าเสียดายที่อัฐินี้ได้สูญหายไปในสมัยปฏิวัติฝรั่งเศส เหลือไว้เพียงหีบสักการะ ทว่า โบสถ์แห่งนี้ยังมีหลุมศพของแบลซ ปัสกาล (Blaise Pascal) นักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ และนักปรัชญา ที่คนทั่วโลกรู้จัก ถ้ามีเวลาอีกนิด ผมอยากชวนเดินต่อไปที่มหาวิทยาลัยซอร์บอน (La Sorbonne) ถึงเข้าไปข้างในไม่ได้แค่ได้ชมสถาปัตยกรรมภายนอกก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
Take a break…
เดินกันมาพักใหญ่ มาแวะพักขากันสักหน่อยที่ Rue Mouffetard เป็นถนนคนเดินที่อยู่ใกล้กัน คนในละแวกนั้นจะเรียก ‘La Mouffe’ ที่นี่เป็นย่านตลาดที่มีสีสัน มีร้านรวงสำหรับคนท้องถิ่น รวมถึงร้านกาแฟและร้านอาหารมากมาย โดยเฉพาะที่ Place Contrescarpe (จัตุรัส Contrescarpe) ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากการจิบกาแฟแล้วล่ะก็ อยากให้ลองสั่งค็อกเทลที่ชาวฝรั่งเศสชื่นชอบกันดูครับ นั่นคือ ‘กีร์’ (Kir) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากแคว้นบูร์กอญ (หรือเบอร์กันดี) กีร์เป็นเครื่องดื่มผสมเหล้าหวานจากผลไม้กับไวน์ขาว ต่างจากปกติที่ทำจากแบล็กเคอร์แรนต์ ถ้าอยากหรูขึ้นอีกนิด ต้องสั่ง ‘กีร์ รัวยาล’ (Kir Royal) ก็จะใช้แชมเปญผสมแทนไวน์ขาว กีร์ทั้งสองชนิดนี้เป็นค็อกเทลที่ดื่มง่าย สดชื่น เหมาะกับการนั่งชิลล์ในช่วงแดดร่มลมตกเช่นนี้ นอกจากกีร์แล้ว เครื่องดื่มที่สั่งในร้านกาแฟ/บาร์ ได้ที่ทุกอีก 2 ชนิดคือ โมนาโก (Monaco) เป็นเบียร์ผสมน้ำมะนาวและน้ำหวาน grenadine และปานาเช (Panaché) ซึ่งก็คือโมนาโกแบบไม่ใส่น้ำหวานนั่นเอง
อยากให้ลองสั่งค็อกเทลที่ชาวฝรั่งเศสชื่นชอบกันดูครับ นั่นคือ ‘กีร์’ (Kir) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากแคว้นบูร์กอญ (หรือเบอร์กันดี) กีร์เป็นเครื่องดื่มผสมเหล้าหวานที่ทำจากผลไม้กับไวน์ขาว
ไปให้ถึง Monmartre ย่านศิลปิน
ศิลปินในยุคกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะในยุคอิมเพรสชันนิสม์จำนวนมากเลือก Montmartre เป็นจุดนัดพบในการสังสรรค์และพักอาศัย ไม่ว่าจะเป็น Manet / Renoir / Monet / Toulouse-Lautrec หรือ Van Gogh จนถึง Picasso ที่นี่จึงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของศิลปินซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง และกลายเป็นเสน่ห์ของ Montmartre
หากก้าวออกจากสถานี Blanche ของรถไฟใต้ดิน (métro) แล้วสะดุดตาเข้ากับเจ้ากังหันลมสีแดง (Le Moulin Rouge) เข้าอย่างจัง ก็มั่นใจได้ว่าคุณมาถึงย่าน Montmartre แล้ว ที่นี่เป็นที่รู้จักกันในหมู่นักท่องเที่ยว โปรดระวังมิจฉาชีพทุกประเภทด้วยนะครับ จากนั้นให้เดินขึ้นเนินไปตามถนน Le Pic ไม่นานจะเห็นร้านกาแฟ le Café des Deux Moulins (ร้านกาแฟสองกังหัน) เป็นร้านดังของย่านนี้ เพราะเคยใช้ถ่ายภาพยนตร์ฝรั่งเศสแนวโรแมนติกคอมมิดี้ เรื่อง Le Fabuleux Destin d’Amélie Poulain (เอมิลี่ สาวน้อยหัวใจสะดุดรัก) ที่มีนางเอกเป็นสาวเสิร์ฟในร้านกาแฟ มีนิสัยขี้อายแต่การพบกล่องเหล็กสีขาวของเด็กชายที่เคยอยู่อพาร์ตเมนต์ก่อนหน้าเธอเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว ทำให้เธอตัดสินใจออกตามหาเด็กคนนั้นเพื่อคืนกล่องให้ เมื่อเธอได้ ‘แอบ’ คืนกล่องให้เขาแล้ว เธอก็มุ่งมั่นที่จะทำให้คนอื่นมีความสุข โดยที่ยังไม่รู้ว่า นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเองมีความสุขหรือไม่
จากร้านกาแฟเดินต่อไปจนถึงถนน Joseph-de-Maistre เดินตามทางไปอีกสักพัก จะเห็น le Moulin de la Galette ซึ่งเคยเป็นสถานที่สังสรรค์และเต้นรำในยุคก่อน และได้บันทึกไว้ในภาพวาดชื่อ ‘การเต้นรำที่มูแล็งเดอลากาแล็ต’ ผลงานของปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ (Renoir) ถ้าคุณเป็นคนอินกับงานศิลปะแล้วล่ะก็ จากตรงนั้นมาอีกไม่ไกล แวะชม Place du Tertre (จัตุรัส Tertre) ที่เต็มไปด้วยศิลปินและจิตรกรรับจ้างวาดรูปด้วย มาอยู่เนินสูงแบบนี้ทั้งที ต้องไม่พลาดการชมวิวจากมุมสูง ซึ่งจุดชมวิวจากโดมของมหาวิหารซาเครเกอร์ (Sacré-Cœur) นั้นเป็นที่รู้กันว่าคือหนึ่งในจุดชมวิวที่สวยที่สุดในกรุงปารีส
เซอร์ไพรส์ใน Montmartre
สิ่งที่นักท่องเที่ยวทั่วไปอาจไม่รู้คือ Montmartre ยังมีไร่องุ่นอยู่ที่ les Vignes du Clos Montmartre หลายคนอาจสงสัยกันใช่ไหมครับว่า ทำไมจึงมีทั้งกังหันลมและไร่องุ่นอยู่ในย่านนี้ นั่นเพราะสมัยก่อน ที่นี่ถือเป็นเขตชานเมืองที่เต็มไปด้วยเรือกสวนไร่นา และกังหันลมก็คือเครื่องทุ่นแรงในการทำเกษตรกรรม ปัจจุบัน Montmartre ยังมีพื้นที่ปลูกองุ่นเหลืออยู่ถึงประมาณ 1.5 ตร.กม. และในทุกปียังมีการจัดงานเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวองุ่น (les vendanges) เป็นประจำมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1934 จนถึงปัจจุบัน และมีผู้เข้าชมงานมากกว่า 5 แสนคน โดยผลผลิตจากไร่องุ่นที่นี่นำไปผลิตไวน์ได้มากกว่า 1,000 ขวด
ปัจจุบัน Montmartre ยังมีพื้นที่ปลูกองุ่นเหลืออยู่ถึงประมาณ 1.5 ตร.กม. และในทุกปียังมีการจัดงานเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวองุ่น (les vendanges) เป็นประจำมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1934 จนถึงปัจจุบัน
เก็บตกจุดชมวิว (มุมสูง)
ที่ไม่ควรพลาดอีกแห่งคือ สวนสาธารณะ le Parc des Buttes-Chaumont สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1867 สมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 เพื่อให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวปารีเซียง สวนนี้ไม่เหมือนสวนอื่นใดในเมืองหลวงของฝรั่งเศส เพราะออกแบบให้เป็นสวนสาธารณะสไตล์อังกฤษที่จำลองภูมิทัศน์ของภูเขา ประกอบด้วย โขดหิน หน้าผา น้ำตก ถ้ำ สะพานแขวน รูปปั้น วิหาร เป็นต้น จากหลายจุดในสวนนี้สามารถมองเห็นกรุงปารีสจากมุมสูงได้เช่นกัน และจุดชมวิวแห่งสุดท้ายที่ผมอยากแนะนำ คือตึก Montparnasse (la Tour Montparnasse) สูง 210 เมตร โดยชั้นบนสุด (ชั้น 59) เป็นสถานที่ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวิว 360 องศาของกรุงปารีส