- คุยกับสองหนุ่มผู้หลงรักในงานปั้นและมีไอเดียบรรเจิดในการสร้างสรรค์ผลงานจนเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และยากที่ใครจะก๊อบปี้ได้
- ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า กำลังการผลิตที่จำกัดเพราะเป็นงานแฮนด์เมด ทำให้ศิลปินอย่างพวกเขาต้องหาทางแก้ไข ด้วยการหาตลาดเพิ่มและหันมาใช้การหล่อเพื่อเข้ามาช่วยเพิ่มจำนวนสินค้า
- การค้นพบจุดสมดุลในการทำงานที่รักด้วยการหันมาผลิตสินค้าเป็นคอลเลกชัน ทำให้ทั้งสองสนุกและมีความสุขในการทำงานมากขึ้น ในขณะที่การจัดการทางธุรกิจก็ดำเนินไปได้ด้วยดี
ธงแขวนรูปเทพวัวถือใบโคลเวอร์สี่แฉกที่ห้อยอยู่เหนือประตูบ้านหลังหัวมุม กับรถตู้สีเหลืองสุดแนวที่จอดอยู่ริมรั้วคันนั้น ช่วยบ่งบอกถึงความ ‘อาร์ต’ ของเจ้าของบ้านได้ และทำให้เรารู้ว่ามาไม่ผิดหลังแน่ล่ะ
คุณมี่ วาสิทธิ์ จินดาพรกับคุณตุ้ย ภาคภูมิ นรังศิยา ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Wunderkammer เจ้าของผลงานปั้นเซรามิกแสนน่ารักเปิดประตูออกมาต้อนรับและเชิญเราเข้าบ้าน
จากนั้นการสนทนาระหว่างเราก็เริ่มต้นขึ้น...
ปั้นกระถางสร้างแบรนด์
จากการปั้นของขายกันสนุกๆ ในหมู่พี่น้องพ้องเพื่อนร่วมคณะมัณฑศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ‘กระถาง’ ที่พวกเขาปั้นก็ไปสะดุดตารุ่นพี่คนหนึ่งเข้า เลยเอ่ยปากชวนให้ไปออกบูธงานบ้านและสวนแฟร์ ถึงจะเป็นการออกนอกรั้วคนกันเองแล้วไปเจอ ‘ตลาด’ จริงครั้งแรก แต่ทั้งคู่ก็เลือกที่จะปั้น ‘ตามใจ’ ใส่ไอเดียให้สุดมากกว่าที่จะทำ ‘เอาใจ’ ตลาดและลูกค้า
คุณตุ้ยหนุ่มร่างเล็กเข้มทั้งสีผิวและขนคิ้วเว้นจังหวะการสนทนาให้คนฟังลุ้นผลการประเดิมตลาดของทั้งคู่อยู่ในใจ ก่อนค่อยๆ เล่าต่อว่า “ขาย-ดี-มาก ครับ ดีจนผมคิดในใจเลยว่า ‘รุ่งเรืองแล้วอนาคต’” แล้วสองหนุ่มก็ประสานเสียงหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดี
ทว่า จังหวะชีวิตในตอนนั้น ภารกิจหลักในฐานะนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายเช่นเขาทั้งสอง ก็คือการทำธีสิส อาชีพนักปั้นและการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง จึงเป็น ‘ฝัน’ ที่ต้องถูกพับเก็บเอาไว้ก่อน
ปั้นเล่นกลับ ‘ปัง’
ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ยังแบ่งเวลามาปั้นและยังไปออกบูธตามงานแฟร์ต่างๆ อยู่บ้างประปราย จาก ‘กระถาง’ ที่ปั้นเป็นหลัก ก็สลับไปทำ ‘โคมไฟ’ เพิ่มเข้ามา แต่ดูเหมือนว่าอาการอยากปั้นจะยังไม่ทุเลาสักเท่าไหร่ โชคดีที่การออกบูธจำเป็นต้องจัดตกแต่งร้านให้สะดุดตาเพื่อดึงดูดลูกค้าให้แวะเข้ามาชมสินค้า ทั้งสองจึงใช้โอกาสนี้ปล่อยของกันเต็มที่ ซึ่งไม่เพียงพบว่าทั้งสนุกและมีความสุขกว่าการปั้นกระถางเสียอีก แถมของจุกจิกงานปั้นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหล่านี้กลับโดนใจและเป็นที่ต้องการของลูกค้าอย่างคาดไม่ถึง
“เราไม่เคยมองของพวกนั้นเลยนะ ตอนปั้นมีความสุขมาก เพราะอยากปั้นอะไรก็ปั้น แต่พอไปจัดเรียงกระถาง ‘ทำไมขายไม่ค่อยดีเลยอ่ะ’ ขณะที่ของปั้นเล่นพวกนั้น ปั้นเท่าไหร่ คนก็ซื้อหมด”
หนุ่มตุ้ยเล่าพลางหัวเราะ คุณมี่ขยับแว่นสายตาเล็กน้อยก่อนเล่าเสริมว่า “ลูกค้าบางคนตั้งใจมางานแฟร์วันแรกเพื่อมาจับจองงานปั้นเล็กๆ พวกนี้ จนสักพักเราถึงเพิ่งรู้ตัวว่า มัน ‘ขายได้และขายดี’ ด้วยนะ”
ตามหาจุดสมดุล ‘ธุรกิจ’ กับ ‘ศิลปะ’
นับจากนั้นสองหนุ่มดูโอต่างไซซ์ก็ยึดงานแฟร์แสดงสินค้าของแต่งบ้านไอเดียเก๋ๆ เป็นตลาดตัวเอง แม้จะปั้นกระถางได้ค่อนข้างจำกัด เพราะเป็นงานแฮนด์เมดทุกขั้นตอน แต่กลับตอบโจทย์พ่อค้าอินดี้คู่นี้ที่ไม่ต้องการมีอะไรจำกัดความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา ส่วนลูกค้าก็สนุกไม่แพ้กัน เพราะได้เลือกกระถางที่ไม่เหมือนกันเลยสักใบ
กระทั่งวันหนึ่งที่รายรับจากยอดขายไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ทั้งคู่จึงค่อยมองเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น นั่นเพราะในการออกบูธแต่ละครั้งต้องใช้เวลาผลิตสินค้าล่วงหน้านานหลายเดือน เป็นการลงทุนลงแรงโดยที่ไม่มีรายได้อื่นเข้ามาเลย ฉะนั้น หากงานไหนขายได้ไม่ถึงยอด “เราก็ชักอยู่ลำบากครับ” คุณมี่บอกเราอย่างนั้น
ทางออกที่คิดได้คือการมองหาตลาดใหม่เสริมขึ้นมา ซึ่งมาลงตัวที่ห้างสรรพสินค้า ช่วงแรกหนทางดูสดใสขึ้นทันตา เพราะในห้างวางขายสินค้าได้นานกว่าและคนมีโอกาสได้เห็นมากขึ้น ยิ่งช่วงเทศกาล ยอดขายจะดีเป็นพิเศษ แต่ไม่นานปัญหาใหม่ก็ตามมาอีกครั้ง
คุณตุ้ยย้อนเหตุการณ์ช่วงนั้นให้ฟังว่า “ตอนนั้นเริ่มตื้อล่ะ (หัวเราะ) จากงานแฟร์มาวางในห้าง ก็พบว่าถ้านอกเทศกาล ยอดขายค่อนข้างนิ่ง เราเองก็ชักล้ากับการทำงาน เพราะทำทุกอย่างกันเองสองคน ตั้งแต่ออกไอเดีย ผลิตงาน ออกบูธก็ต้องจัดของ เก็บของ ขับรถเองหมด พอวางขายในห้างก็ต้องเอาของไปเติมอีก”
คุณมี่พยักหน้าตาม “เป็นความล้าที่สะสมมาเรื่อยๆ จนเริ่มรู้สึกว่า ‘คิดงานไม่ค่อยออกล่ะ หรือคิดได้ก็ไม่ค่อยเวิร์ก’ ตื่นมาเจอกระถางอีกแล้ว”
‘เคยคิดถอดใจไหม’ เป็นคำถามที่เราพูดออกไปอย่างที่ใจคิด ทั้งคู่ตอบแทบจะพร้อมกันว่า ‘ไม่เคย’ ก่อนบอกเหตุผลที่ช่วยให้บรรยากาศการสนทนากลับมาเฮฮาได้อีกครั้งว่า “เพราะไม่มีทางอื่น” (หัวเราะ)
การมาถึงของ ‘On the Cloud’
แม้ยอดขายในห้างจะขึ้นๆ ลงๆ แต่ก็ยังเป็นออเดอร์ที่มีเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ต้องรอวางขายในงานแฟร์อย่างเดียวเหมือนแต่ก่อน ทั้งคู่จึงพบอีกปัญหาสำคัญไม่น้อยไปกว่ายอดขาย ก็คือกำลังการผลิตที่จำกัด พวกเขาตัดสินใจทำต้นแบบแล้วนำไปหล่อเพื่อให้ผลิตในจำนวนที่มากขึ้นได้ โดยเลือก ‘พระพิฆเนศ’ เป็นการเปิดตัวคอลเลกชันแรก
ฟังดูนึกว่าเป็นสายมูเตลูที่ปั้นเทพมาเอาฤกษ์เอาชัยเบิกโรงยอดขาย ทว่า กลับตรงกันข้าม เพราะทั้งคู่ไม่ได้คิดปั้นเทพให้คนกราบไหว้บูชา พระพิฆเนศในสไตล์ของพวกเขาจึงประทับยืนบนก้อนเมฆ สวมมงกุฎ ถือดอกไม้ อุ้มหนู และมีรัศมีสีแดงหลังเศียร ‘กังวลว่าจะเจอดรามาว่านำสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาลบหลู่ไหม’ อีกครั้งที่ปากกับใจเราแท็กทีมกันทำงาน
สีหน้าคุณตุ้ยจริงจังขึ้นมา “ทีแรกกังวลมาก แต่พอไปวางขายจริงๆ ไม่เคยเจอปัญหานี้เลย ผมว่าคนที่มาเดินงานแฟร์ เขามองหาของที่ชอบ ไม่ได้มาหาเช่าวัตถุมงคลไปบูชา เอาจริงๆ ลูกค้าที่ซื้อไปยังไม่ถามด้วยซ้ำว่านี่คือรูปปั้นอะไร”
คราวนี้คุณมี่ขอค้าน “มีถามนะ แต่ถามว่าต้องมีบทสวดอัญเชิญเข้าบ้านไหม แล้วก็ไม่ได้หมายถึงพระพิฆเนศด้วย เพราะลูกค้าซื้อแมวกวักไปน่ะ” (หัวเราะ)
ทั้งคู่โพสต์ผลงานคอลเลกชันแรกในชื่อ On the Cloud ลงเพจ WK.studio และนำไปเปิดตัวในงาน NAP ที่เชียงใหม่ เป็นครั้งแรกที่ไปออกบูธโดยไม่มีกระถางไปด้วย แต่ทั้งคู่ก็สนุก ตื่นเต้น และหวังไว้ลึกๆ ว่าลูกค้าจะชอบเหมือนที่พวกเขามีความสุขตั้งแต่เห็นชิ้นงานสำเร็จสวยสมใจ
สมการความสุขที่ลงตัว
แววตาสองหนุ่มทอประกายความสุขขณะเล่าให้เราฟังถึงการเปลี่ยนมาผลิตสินค้าเป็นคอลเลกชัน ที่ทำให้พวกเขาได้ปั้นในสิ่งที่อยากทำโดยไม่ต้องมีฟังก์ชันการใช้งานมาเป็นกรอบ ทั้งคู่สนุกกับการได้ออกไอเดียและได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ทำให้งานปั้นของพวกเขาไม่เคยน่าเบื่ออีกเลย
“เรากำหนดเลยว่าคอลเลกชันนี้จะทำเท่าไหร่ โดยใส่หมายเลขกำกับไว้ทุกชิ้น แล้วทยอยทำไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้สลับไปทำคอลเลกชันอื่นด้วย ไม่อย่างนั้นกว่าจะทำครบ แบรนด์เราคงมีคอลเลกชันใหม่ๆ ออกมาให้ลูกค้าเห็นน้อยลงไปด้วย
“ข้อดีคือช่วยให้เราไม่ต้องปั้นจำเจอยู่แบบเดียว แล้วระหว่างที่ทำเราก็มักเกิดไอเดียใหม่ๆ อยู่เสมอ ทำให้แตกเป็นคอลเลกชันใหม่ได้ด้วย” คุณตุ้ยอธิบายให้เข้าถึงสมการความสุขในการทำงานของพวกเขา
คุณมี่ลุกไปเปิดตู้เก็บตัวอย่างงานทุกชิ้นของพวกเขา แล้วหยิบพระพิฆเนศลายวัวออกมา “อย่างชิ้นนี้ทำออกมาต้อนรับปีฉลู ผมเลยใส่ลายวัวเข้ามา จริงๆ การหล่อไม่ได้ช่วยให้การผลิตเราสบายขึ้นเลยนะครับ แค่ช่วยเพิ่มจำนวนชิ้นและทำให้เราผลิตซ้ำได้ แต่ทุกชิ้นก็ยังต้องจบด้วยมือเราอยู่ดี เพราะในการหล่อจำเป็นต้องตัดทอนดีเทลหลายอย่างออกไป บวกกับพื้นฐานความเป็นคนเยอะของเราสองคน (หัวเราะ) จะรู้สึกเสมอว่า ‘ทำไมมันโล่งแบบนี้’ ก็เลยต้องปั้นหรือเพนต์อะไรเติมแต่งเข้ามา”
ทั้งสองออกตัวว่าโชคดีที่ผลงานทุกชิ้นโดนใจลูกค้า ยิ่งเป็นคอลเลกชันที่เอี่ยวกับเทศกาลอย่างนุ้งแมวกวักคาบกุหลาบ ส่งสายตาหว่านเสน่ห์ปิ๊งๆๆๆ ช่วงวาเลนไทน์ที่ผ่านมา ก็จะเป็นที่ต้องการมากเป็นพิเศษ เป้าหมายต่อไปที่วางไว้คือการสร้างทีมงานมาเสริมทัพ เพราะทั้งคู่ยังมีไอเดียอีกมากมายที่อยากจะทำ ไม่ว่าจะงานปั้น ภาพสองมิติ จนถึงฝันอยากจัดนิทรรศการเทพ มีโชว์ประกอบดนตรี ถ้ามีคนมาช่วย ฝันที่คิดไว้จะได้เป็นจริงเร็วขึ้น
เราเอาใจช่วยสุดตัว ขอให้ฝันนั้นเป็นจริงในเร็ววัน
FB:WK.studio
IG: wk.thailand
Line : @wk.studio
Phone : 085-810-5242, 086-945-2097