House of Passa
HOUSE OF PASSA จากพื้นที่ว่างใต้ออฟฟิศ สู่ดีไซน์สเปซเสิร์ฟ Sense ทุกสัมผัสของประสบการณ์
- หลายคนอาจคุ้นหูคุ้นตากับ House of Passa ตึกดีไซน์เก๋ รูปทรงแปลกตาย่านปทุมวัน กลางซอยเกษมสันต์ 1 เพราะทางร้านเคยเปิดให้บริการไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และเพิ่งกลับมาเปิดอีกครั้ง พร้อมกับ Exhibition ใหม่ๆ
- เดิมทีพื้นที่ตรงนี้เป็นออฟฟิศและสตูดิโอออกแบบ Passa Studio ที่ถูกใช้งานเพียงด้านบน ทุกคนในออฟฟิศเลยเกิดไอเดียอยากปรับเปลี่ยนพื้นที่ว่างด้านล่างให้เกิดประโยชน์ใช้สอยมากกว่าการปล่อย ทิ้งไว้ ด้วยการเริ่มเล่นสนุกกับพื้นที่ ลอง Experiment ใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ เลยทำให้เราได้เห็น installation art ปรับเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา
เราว่าสิ่งที่ทำให้ House of Passa อาคารทรงกล่องเรียบง่าย ขนาดกะทัดรัด ในสไตล์โมเดิร์นลอฟต์ มีความแตกต่าง นั่นคืองานดีไซน์และคอนเซ็ปต์ของที่นี่ ไปจนถึงงานแสดงนิทรรศการต่างๆ ที่สะท้อนความชอบ ความตั้งใจ และความใส่ใจในทุกรายละเอียดของกลุ่มดีไซเนอร์ผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบสเปซแห่งนี้ ทำให้ที่นี่มีคาแรคเตอร์ชัดจนเราสัมผัสได้
“ส่วนตัวชอบไปที่ที่มันทิ้งเวลาได้ เหมือนตอนนี้เมืองไทยมันมีแค่ไม่กี่ที่ ถ้าคิดว่าจะไปไหนก็มีแค่ห้าง คาเฟ่ ร้านอาหาร ก็เลยรู้สึกอยากให้ที่นี่เป็นที่ที่คนมาทิ้งเวลาได้” คุณมิ้น ตัวแทนทีมดีไซน์เนอร์ Passa Studio เล่าถึงความตั้งใจที่แท้จริงของการกลับเปิดสเปซในครั้งนี้
Passa
หลายคนอาจมองว่า House of Passa เป็นแค่ Café and Art space ที่เสิร์ฟเครื่องดื่มและงาน Exhibition ต่างๆ ให้เราได้แวะเวียนเข้าไปชม แต่ถ้ามองให้ลึกกว่านั้นจะเห็นว่า มากกว่าแค่คาเฟ่เสิร์ฟกาแฟธรรมดา ที่นี่ยังเสิร์ฟ ‘Sense’ ซึ่งในภาษาบาลี Passa (ผัสสะ) มีความหมายว่า การสัมผัส
“แต่มันจะมากกว่า Physical ที่เรารู้กันอยู่ 5 อย่าง (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) เพราะอันนี้มันจะมี 6 อย่าง คือเพิ่มด้านจิตใจ เหมือนมันเพิ่ม Experience เข้ามาด้วย เลยรู้สึกว่า เป็นชื่อที่ดีที่จะเอามาเป็น House of Passa เหมือนเป็นแหล่งรวมของ Sense ของทุกคนในทุกๆ ด้าน ภายใต้แนวคิด Sense and Experience Space ที่อยากให้ทุกคนได้มาเอ็นจอยจริงๆ
ความหมายของขาว-ดำ
เดินพ้นบานประตูทางเข้าทรงห้าเหลี่ยมเข้ามาในร้าน เราจะเจอกับม่านสีขาวทิ้งตัวลงมาจากด้านบน กั้นระหว่างคนที่อยู่ด้านหน้าและหลังเคาน์เตอร์บาร์เอาไว้ ภายในร้านตกแต่งด้วยสีขาวคลีนสลับดำ เน้นความความเรียบง่ายทั้งโทนสีและรูปทรง ชวนให้เราสงสัยว่า
ทำไมต้องขาวดำ?
“ต้องยอมรับว่าจริงๆ แล้วมันก็มาจากความชอบของคนที่นี่ ที่ชอบความขาวดำ มินิมัล แล้วอีกอย่างคือรู้สึกว่า อยากทำให้ทุกอย่างมันเรียบเพื่อที่ทุกคนจะได้โฟกัสในสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ อีกอย่างที่มันเป็นทรงเรียบก็เป็นเรื่องของฟังก์ชันด้วย เพราะเราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ก็คล้ายๆ พวกอาร์ตสเปซแกลอรี่ที่เปลี่ยนอะไรไปเรื่อยๆ”
พื้นที่แห่งการทดลอง: Inspire in space
“จริงๆ หลายๆ อย่างมันก็อาจจะไม่ได้มีคอนเซ็ปต์มากขนาดนั้น แค่อยากทำอยากลองดู”
ช่วงที่เราไปโซนชั้น 1 จะเป็นงาน Installation ‘Endless summer’ นำดอกไม้มาจัดแสดงเพื่อสื่อถึงความเป็นซัมเมอร์ที่ไม่มีวันสิ้นสุดให้เข้ากับฤดูร้อนของเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมา ดีไซน์ดูแปลกตาและน่าสนใจ เพราะเป็นการจัดดอกไม้ใส่แจกันเรียงรายเหมือนเป็นการจำลองสวนดอกไม้ขนาดย่อมในรูปแบบใหม่ ใจกลางกรุง พร้อมกับฉายวิดีโอเกี่ยวกับดอกไม้ที่จอมอนิเตอร์ขนาดเล็กข้างงานจัดแสดงเพื่อเสริมบรรยากาศ
โซนชั้น 2 เป็นงาน Visual และ Sound เล่าผ่านผลไม้หลากชนิดในรูปแบบ Interactive แค่เราสัมผัสผลไม้อย่างนุ่มนวลพร้อมกับแตะช่องวางนิ้วข้างๆ ‘Touch my body and Squeeze gently’ ผลไม้แต่ละชนิดก็จะให้สีสันและเสียงคนละแบบผ่านจอภาพทางด้านหน้า ให้เราได้สนุกไปกับจังหวะและดนตรีที่สามารถมิกซ์ได้ตามใจต้องการ
คุณมิ้นเล่าถึง Inspiration ของงานชิ้นนี้ให้ฟังว่า “ตอนแรกสนใจเรื่องเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้า เลยทดลองซื้อวงจรมาทำสัมผัสแล้วเกิดเสียงนู่นนี่ แล้วช่วงซัมเมอร์ผลไม้มันก็มีความน่ารัก เลยรู้สึกว่าอยากเอามาลองเล่นดู แล้วก็ให้มันมี Interection กับคนด้วย เพราะมันน่าจะเป็นอะไรสนุกๆ ให้คนได้นั่งเล่นกัน” อีกมุมนึงเรามองว่าสเปซตรงนี้เป็นส่วนเชื่อมปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนได้ดี ด้วยดีไซน์ของโต๊ะจัดแสดงเป็นวงกลม บวกกับจอแสดงภาพที่เป็นตัวเชื่อมสัมผัสของทุกคนไว้ด้วยกัน ทำให้กิจกรรมตรงนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นบทสนทนาของใคร หลายๆ คน
ที่นี่เป็นอะไรก็ได้ (แล้วแต่มอง)
“ถ้าจะเอาแบบเข้าใจง่ายๆ Art space ก็คงเป็นจุดประสงค์หลัก แต่ถ้าให้นิยามจริงๆ ก็ยังนิยามไม่ได้ หมายถึงว่า มันก็เป็นอะไรก็ได้จริงๆ แล้วแต่คนจะมองด้วย”
“แต่เอาจริงๆ ก็ไม่ได้อยากให้คนมองว่ามันเป็นร้านกาแฟขนาดนั้น เลยเป็นจุดประสงค์หนึ่งที่เพิ่มส่วนผ้าม่านมากั้นด้วย เหมือนให้มันช่วยลดความสำคัญของเคาน์เตอร์ลง เพราะอยากให้คนรู้สึกว่าสามารถเข้ามาฟรีๆ เลย เสพสื่อสิ่งอาร์ตอะไรก็ได้ ไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องเข้ามาแล้วตรงมาเคาน์เตอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่มอย่างเดียว อยากให้คนมองว่าที่นี่เป็นสเปซมากกว่า เครื่องดื่มมันเป็นแค่ Subset ย่อยมากๆ จริงๆ”
สำหรับเราเองพอได้มาสัมผัสกับสถานที่แห่งนี้จริงๆ ก็รู้สึกว่า Passa เป็นสถานที่ที่ต้องการทิ้งสเปซไว้ให้คนได้มาทิ้งเวลา เหมือนกับที่คุณมิ้นบอกว่า “อยากให้เกิดหลายๆ กิจกรรมในนี้ ไม่จำเป็นต้องมาสั่งน้ำ หรือถ่ายรูปอย่างเดียว”
เธอทิ้งท้ายบทสนทนาพร้อมรอยยิ้มไว้ว่า ดีใจที่เห็นคนมาเพราะดีไซน์ อยากให้ลองมากันเพราะคิดว่าน่าจะได้อะไรมากกว่าการเป็นคาเฟ่ ในเมืองไทยอาจไม่ใช่สิ่งที่คนไทยคุ้นเคยกัน แต่ก็ยังไม่ค่อยมีสเปซแบบนี้มากนัก เลยอยากให้ลองมา experience ดูว่าที่นี่มีอะไร….
เราว่าต้องไปกันแล้วล่ะ!
House of Passa
address : 36/3 Lit Bangkok Resident ซอยเกษมสันต์ 1 กรุงเทพฯ
Instagram : @houseofpassa
facebook : House of Passa