'เมืองคอง' บันทึก
บทบันทึก ‘เมืองคอง’ ที่คิดถึง ชุมชนลับหลังเขาในความหนาวของเชียงดาว
- เมืองคอง ตั้งอยู่ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ชุมชนเล็กๆ ในอ้อมกอดแห่งขุนเขา อากาศบริสุทธิ์ เงียบสงบ และมีลำน้ำสายเล็กๆ ชื่อว่า แม่น้ำคอง ไหลผ่านทั่วหมู่บ้าน ถ้ามาเที่ยวในช่วงฤดูทำนาจะได้พบกับความเขียวขจีของนาข้าวตลอดสองข้างทาง
- ‘ถ้าอกหัก ให้มาพักใจ ที่เมืองคอง’ นิยามของสถานที่แห่งนี้ที่เราได้ยินมาชวนเราอยากลองสัมผัสดูสักครั้ง ว่าสถานที่ที่สามารถเยียวยาจิตใจผู้คนได้นั้นมีความพิเศษยังไง
- ครั้งนี้เราปักหมุดไว้ที่ บ้านวังริมคอง โฮมสเตย์ ที่พักบรรยากาศดี หลังดอยหลวงเชียงดาว เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางขุนเขาและสายน้ำคอง สถานที่ที่เหมาะจะหยุดเวลาไว้เพื่อการพักผ่อนโดยแท้
ถึงผู้อ่าน นี่เป็นการเขียนบันทึกยาวครั้งแรกของเรา เราบันทึกมันไว้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เป็นเหมือนบันทึกแห่งการค้นพบ เพราะนอกจากเราจะได้พบสถานที่โปรด ยังได้ค้นพบตัวเองไปในขณะเดียวกัน เราเลยอยากแบ่งบันเรื่องราวดีๆ ที่ได้พบเจอ หวังว่าเรื่องราวของเราอาจจุดประกายอะไรบางอย่างในจิตใจของผู้อ่านได้บ้าง อาจเป็นการลุกขึ้นมาเขียนบันทึก ออกเดินทาง หรือออกไปค้นหาตัวเอง…
เก็บกระเป๋าก้าวขึ้นรถไฟ
“อยากใช้ชีวิตแบบไหน ก็ให้เอาตัวเองไปอยู่ ตรงนั้น” จุดเริ่มต้นของการพาตัวเองไปยังสถานที่ที่มีชื่อว่า “เมืองคอง” จึงได้เริ่มต้นขึ้น
ออกตัวก่อนเลยว่าการเดินทางครั้งนี้เราไปกับเพื่อนอีกหนึ่งคน พวกเรามุ่งหน้าจากกรุงเทพฯ สู่เชียงใหม่โดยรถไฟ เพราะคิดว่าทิวทัศน์ระหว่างทางอาจทำให้บางอย่างที่อยู่ในใจตกตะกอนเป็นคำตอบให้กับตัวเองได้บ้าง(ตามประสาเด็กจบใหม่ที่มีเรื่องว้าวุ่นในใจนั่นแหละ)
ถึงเราสองคนจะตัดสินใจออกเดินทางด้วยเหตุผลที่ต่างกัน แต่ก็คงจะเหมือนกันที่จุดหมาย เพราะจุดหมายที่แท้จริงของพวกเราไม่ใช่สถานที่หรือปลายทาง เพียงแต่อยากออกไปใช้ชีวิตในแบบที่อยากทำมาตลอด ทิ้งความวุ่นวายไว้ข้างหลังแล้วเดินไปบนเส้นทางที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติและความสงบ
07.00 น. รถไฟเทียบชานชาลา ณ สถานีปลายทาง ตามแพลนเดิมพวกเราต้องไปขึ้นรถตู้ที่ท่ารถช้างเผือกเพื่อมุ่งหน้าไปยังเชียงดาว แล้วค่อยนั่งรถต่อไปยังเมืองคอง แต่การเดินทางก็มักจะไม่เป็นตามนั้นเสมอไป
ความสุขปลอดสาร
ในที่สุด…เราก็ได้เดินทางมาทำความรู้จักกับสถานที่ที่มีชื่อว่า ‘เมืองคอง’ ทิวทัศน์เขียวขจีกับวิถีชีวิตที่เงียบสงบ แต่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของผู้คน บนความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายน่าหลงใหล ตอนนั้นในใจมีแค่คำว่า ‘ความสุขแม่งแค่นี้เองอะ’
พอได้มาอยู่ตรงนี้จริงๆ มันสุขใจสะยิ่งกว่าฟังคำบอกเล่าของใครหลายๆ คน และคงเพราะระหว่างทางมันยากลำบาก เลยรู้สึกคุ้มค่าที่ได้มาเยือน หรือจริงๆ อาจเป็นเพราะเราเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ด้วยตัวของพวกเราเอง
ที่ดีใจไปกว่านั้นคือ วันนี้เรามาทันดูอาทิตย์ตกด้วยแหละ สีของท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นส้มอมชมพู ดวงอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยหลบมุมไปทางหลังเขา จากนั้นอากาศเย็นก็เคลื่อนมาแทนที่
บรรยากาศตอนกลางคืนของที่นี่เงียบสงบ อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ ตามเวลา สำหรับคืนนี้เราเลือกออกมานั่งเปลอ่านหนังสือที่ลานตรงกลาง มีเสียงน้ำเอื่อยๆ ไหลผ่านหมือนเป็นเสียงวิทยุของค่ำคืนนี้
การได้พกหนังสือเล่มโปรดสักเล่มมายังสถานที่ที่ชอบ แล้วได้นั่งอ่านอย่างสบายใจ นี่แหละภาพที่เราวางไว้
ธรรมดาคือความพิเศษ
สวัสดีเช้าวันที่สอง ไม่น่าเชื่อว่าช่วงปลายเดือนกุมภาอากาศจะเย็นมากขนาดนี้ สารภาพว่าเมื่อคืนห่มผ้าไปสี่ชั้นยังไม่รู้สึกอุ่นขึ้นมาสักนิด คงเพราะฤดูหนาวยังไม่ผ่านไปดี เรานึกถึงที่ใครบางคนเคยบอกว่า ‘เดือนกุมภาเป็นสถานีเปลี่ยนฤดูกาล’ เป็นช่วงที่เราเตรียมลงจากสถานีที่ชื่อว่าฤดูหนาว…เข้าสู่ฤดูร้อนอันเข้มข้น วันนี้อากาศดีใช่เล่น แดดช่วงแปดโมงเริ่มสาดลงมาปะทะกับไอหมอกที่ยังไม่จางไปเท่าไหร่นัก
เราออกมานั่งเสพบรรยากาศตรงระเบียงอยู่สักพัก…แต่ก็เป็นสักพักที่พอจะเห็นการเปลี่ยนผ่านของ ไอแดด สายลม และคลุ้งหมอก มองท้องฟ้าตามโค้งเว้าที่ต้นไม้เว้นช่องไว้ หลับตาฟังเสียงตัวเองบ้างเป็นระยะๆ สัมผัสได้ว่าความรู้สึกข้างในค่อยๆ พองโต ในจังหวะคงที่ เราเรียกอาการนี้ว่า ‘สุขใจ’
ลืมบอกไปว่า ‘บ้านวังริมคอง’ เป็นจุดหมายที่เราตั้งใจมาในครั้งนี้ โฮมสเตย์ที่นี่อยู่ท่ามกลางขุนเขาและติดกับแม่น้ำคอง รายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่ไม่ถูกเติมแต่ง จึงทำให้เห็นวิถีชีวิตและได้สัมผัสความเป็นเมืองคองอย่างแท้จริง
อาหารของทางที่พักเป็นอาหารพื้นบ้านเมนูง่ายๆ อย่าง น้ำพริกอ่อง ผัดฟักทอง ไข่เจียว ผัดฟักแม้ว ส่วนตอนเช้าจะเป็นข้าวต้ม และข้าวเหนียวหมู รสชาติอาหารแต่ละอย่างจะไม่จัดมากแต่รับรองว่าอร่อยกินเพลินทุกเมนู ส่วนกิจกรรมก็มีให้เลือกทำตั้งแต่ ปั่นจักรยาน ล่องเรือยาง และล่องแพ
ส่งท้ายบันทึก
ความทรงจำและความประทับใจมากมายเกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ เริ่มตั้งแต่ความน่ารักจากคุณแม่ของพี่เจ้าของที่พักที่คอยถามไถ่และดูแลพวกเราอย่างดีตลอดระยะเวลา 2 คืน ผู้คนรอบๆ หมู่บ้านที่เรามีโอกาสได้พูดคุย พี่ๆ นักเดินทางที่ได้พบกันบนที่พัก
นี่สินะที่เค้าบอกว่า “อยากไปไหนก็แค่ไป แล้วเราจะได้เจอเพื่อนที่ปลายทาง” แม้จะเป็นการพบเพื่อจากแต่ภาพความทรงจำจะอยู่กับเราตลอดไป
ขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจออกเดินทาง เข้าใจแล้วว่าการเดินทางนั้นทำให้ชีวิตมีคุณค่าได้ยังไง วันนี้ได้ลองออกมาหาคำตอบด้วยตัวเอง แม้จะยังไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์แต่ก็เหมือนจะเริ่มตอบตัวเองได้หลายๆ อย่าง แล้ววันนึงเราคงเจอคำตอบในแบบของเรา ‘อย่าลังเลที่จะใช้ชีวิต อย่าลังเลที่จะก้าวออกไป อย่าลังเลที่จะหาความสุขให้ตัวเอง’
เพราะสุดท้ายจุดหมายปลายทาง อาจไม่ใช่สถานที่ใดที่หนึ่ง แต่เป็นการได้มองเห็นสิ่งต่างๆ ด้วยมุมมองใหม่ๆ หรือได้ก้าวผ่านกำแพงบางอย่างในใจ เหมือนอย่างที่เราเองค้นพบว่าการเขียนบันทึกและการออกเดินทางมันสนุกแบบนี้นี่เอง…
เมืองคองอยู่ที่ไหน?
ที่นี่อยู่ใน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ห่างถ้ำหลวงเชียงดาว 40 กว่า กิโลเมตร
เดินทางไปยังไง?
ขนส่งสาธารณะ: เมื่อถึงตัวเมืองเชียงใหม่ ให้ไปขึ้นรถต่อที่สถานีขนส่งช้างเผือก นั่งรถบัสคันสีแดง เชียงใหม่ -ท่าตอน แต่ให้ลงที่ตลาดสดเชียงดาว (ค่าโดยสารประมาณ 90 บาท) จากนั้นให้ขึ้นรถสองแถวสีเหลือง เชียงดาว – เมืองคอง มี 2 รอบ (08.00 น. และ 10.00 น.)
รถส่วนตัว: จากตัวเมืองเชียงใหม่ ให้เดินทางด้วยเส้นทางเดียวกับไปถ้ำเชียงดาว ขับไปตามทางเรื่อยๆ ระหว่างทางจะมีป้ายบอกทางตลอด จนกระทั่งถึง หน่วยพิทักษ์ป่าสบห้วยผาตั้ง-ศาลา จะมีการเก็บค่าธรรมเนียมคนละ 20 บาท และรถยนต์คันละ 30 บาท จากนั้นให้ขับไปตามเส้นทางนี้ตลอดอีก 30 กิโลเมตรก็จะถึงเมืองคอง