

Where are you?
ฟังเสียงสะท้อน 4 ศิลปินและคนในชุมชนจากงาน ‘I will be missing you โศกนาฏกรรมเงียบของท้องทะเล’
- มัดรวม 4 ผลงานที่สะท้อนเสียงปลาทูไทย ใน ‘I will be missing you โศกนาฏกรรมเงียบของท้องทะเล’ นิทรรศการที่พาไปสำรวจวิกฤตทะเลไทย ผ่านงานศิลปะ 4 แขนง พร้อมตั้งวงสนทนากับ ‘ปิยะ เทศแย้ม’ นายกสมาคมประมงพื้นบ้านทุ่งน้อย
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เราได้ยินคำว่า ปลาแซลมอนบ่อยกว่า ‘ปลาทู’ และครั้งล่าสุดที่เรากินปลาทูทอดคือเมื่อไรกันนะ?
คำถามเหล่านี้คงทำให้หลายคนได้คิดหลังจากมาชม “I will be missing you โศกนาฏกรรมเงียบของท้องทะเล” นิทรรศการที่จะทำให้ทุกคนกลับไปคิดถึงปลาทูตัวล่าสุดที่ได้กิน และหวนไปมองว่า ปลาทูที่ผ่านสายตาครั้งล่าสุดนั้นใช่ปลาทูไทยหรือเปล่า
แม้งานจบลงไปแล้ว แต่เรากล้าพูดได้เต็มปากว่า การได้สำรวจนิทรรศการนี้ทำให้เราเข้าใจปัญหาท้องทะเลไทยมากกว่าเคย และไขข้อสงสัยว่า ทำไมปลาทูในท้องตลาดสมัยนี้ถึงมีแต่ปลาทูตัวเล็ก เนื้อไม่ละเอียดเหมือนปลาทูที่เคยกินสมัยก่อน แถมยังเป็นปลาทูที่สีส้นแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด
นั่นเป็นเพราะทุกคนไม่ได้กำลังกินปลาทูไทยอยู่ยังไงล่ะ
นิทรรศการ I will be missing you พาไปสำรวจต้นขั้วของสาเหตุที่ทำให้ปลาทูไทยจากที่เคยมีอยู่ในทะเลไทยกว่าแสนตัน ตอนนี้กลับเหลือเพียง 17,000 ตัน โดยมองต้นตอเหล่านี้ผ่านเลนส์ของ 4 ศิลปินอย่างวิชชุกร ตั้งไพบูลย์, อวิกา สมัครสมาน, สาธิต รักษาศรี และประสาท นิรันดรประเสริฐ กับอีก 1 ผู้ผลิตสารคดีอย่าง พิสุทธิ์ ศรีหมอก ที่ได้เข้าไปคลุกคลีกับชาวประมงในพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อสร้างงานศิลปะหลายแขนง ให้สะท้อนเสียงที่ถูกกลบมานานนับกว่า 10 ปีของชาวประมงไทย
ในบทความนี้ ONCE จะพาไปสำรวจงานศิลปะที่ส่งเสียงของทะเลไทยไปพร้อมๆ กับการเข้าใจปัญหาที่ชาวประมงไทยต้องเผชิญผ่าน 4 ผลงานศิลปะ และบทสนทนากับ ปิยะ เทศแย้ม นายกสมาคมประมงพื้นบ้านทุ่งน้อย ที่ทำงานร่วมกับศิลปินทั้ง 4 ท่าน ซึ่งได้มาบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้กับวิกฤตทะเลไทยให้เราได้เข้าใจในบทความนี้
01
บางที…ทะเลอาจกำลังฟัง
“เรื่องนี้อันตราย เพราะทะเลเชื่อมโยงคนทั้งโลก ถ้าปัญหาเกิดกับคนจับปลา คนกินปลาก็จะมีปัญหาด้วย”
นี่คือจุดแรกของนิทรรศการที่ติดตั้งผลงานภาพถ่ายชุด บางที…ทะเลอาจกำลังฟัง โดย วิชชุกร ตั้งไพบูลย์ เป็นจุดรีเซ็ตความรู้สึกของผู้ชมให้เตรียมตัวเข้าไปค้นหาและเข้าใจปลาทูไทยมากขึ้น แต่เป็นการเดินเข้าไปในโลกของปลาทูไทยที่ไม่ได้สวยหรู วิชชุกรจึงจัดแสดงผลงานด้วยการทำทั้งบันไดก่อนขึ้นชั้น 2 ให้เป็นสีแดงเหมือนไฟฉุกเฉิน เพื่อสื่อสารว่า การลดลงอย่างมหาศาลของปลาทูไทยคือเรื่องเร่งด่วน
ภาพถ่ายของวิชชุกรคือภาพถ่ายวิถีชีวิตชาวประมง ตั้งแต่ออกเรือไปหาปลา การคัดแยกปลา การเอาปลาไปขาย การทำกิจกรรมรณรงค์เกี่ยวกับปลาทูไทย จนถึงภาพถ่ายตาของปลาทูแบบใกล้ๆ ที่ไม่ใช่แค่ชวนให้คิดว่า ‘เราเห็นปลาทูไทยครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?’ แต่ยังสื่อสารถึงระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมผ่านตาใสๆ ของปลาทูด้วย
วิชชุกรสร้างผลงานนี้ระหว่างที่ได้เข้าไปคลุกคลีกับชาวประมงในจังหวัดสงขลา สิ่งสำคัญระหว่างการทำผลงานชิ้นนี้สำหรับวิชชุกรคือ…
“การไปกินข้าวที่บ้านของชาวประมง”
เพราะไม่เพียงแค่ได้รู้ว่า ทุกมื้อข้าวของชาวประมงให้ความสำคัญกับอะไร แต่ทำให้ได้เห็นว่า ‘ทะเลหน้าบ้าน’ มีความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่าการอธิบายถึงแค่วิวทิวทัศน์ เพราะทะเลหน้าบ้านของชาวประมงคือการที่สามารถหาอาหารสดๆ จากทะเลได้ในระยะไม่กี่ร้อยเมตรนับจากบริเวณบ้าน ทะเล-สัตว์น้ำ-ชาวประมง จึงเป็นความสัมพันธ์ที่ยึดโยงกันแบบที่ขาดกันไม่ได้
แต่เมื่อวันหนึ่งที่ปัญหาคุกคามธรรมชาติของท้องทะเล ชาวประมงจึงเป็นคนกลุ่มแรกที่รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อทะเลหน้าบ้านเปลี่ยนไป วิถีชีวิตของชาวประมงก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน
02
Undergrow Reborn และ Echoes of Choices
“เราตั้งคำถามกับตัวเองว่า ในเมื่อเราเอาลูกปลาที่เรือพาณิชย์จับได้ มาทำเป็นงานศิลปะสะท้อนสังคม แปลว่านี่คือการฟอกขาวหรือเปล่า?”
คำถามที่มีต่อผลงานตนเองของ อวิกา สมัครสมาน ทำเอาเราต้องหยุดคิดตามสักพัก แล้วย้อนมองตัวเองว่า หรือเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของวงจรที่ทำให้ทะเลไทยติดกับดักวิกฤตเดิมซ้ำๆ เหมือนกันกับเธอ ผลงานของอวิกาจึงออกมาเป็นผลงานเชิงทดลองอยู่ 2 ชิ้น อย่าง Undergrow Reborn และ Echoes of Choices
Undergrow Reborn คือ การนำลูกปลามาสร้างขึ้นเป็นวัสดุสิ่งทอด้วยวิธี Nonwoven ซึ่งลูกปลาที่ถูกนำมาใช้ในงานส่วนใหญ่ ได้มาจากลูกปลาทูและลูกปลาเป็ดที่มีขายอยู่ทั่วไปบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาจากเรือประมงพาณิชย์ ในขณะที่การได้ลูกปลาทูตัวเล็กจากเรือชาวประมงมักหาได้ยากกว่า เพราะวิถีประมงชาวบ้านคือการปล่อยลูกปลากลับคืนสู่ทะเล และคัดเลือกเฉพาะปลาที่ขายได้แบบที่ไม่ทำลายวงจรของธรรมชาติ งานนี้จึงสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำที่ผู้บริโภคยังมองไม่เห็น ระหว่างการทำประมงอย่างยั่งยืนและการประมงลากอวนพาณิชย์
Echoes of Choices คือ การนำสิ่งทอที่เกิดจากลูกปลาทูมาทดลองว่า แผ่นลูกปลาทูสามารถทำอะไรได้อีกบ้าง อวิกาจึงลองทำเป็นของเล่นในวัยเด็กอย่างเกมกดน้ำ ที่แฝงนัยถึงการกระทำของมนุษย์ ซึ่งมีผลกระทบต่อทะเล ทุกแรงกดของเราในเกมนี้เปรียบเสมือนการตัดสินใจ และการบริโภคที่ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติโดยตรง ผลงานทดลองชิ้นนี้จึงตั้งคำถามต่อทุกบทบาทในห่วงโซ่ของปลาทู ทั้งกับผู้บริโภคและตัวศิลปินอย่างอวิกาเองที่ขบคิดว่า การทำงานศิลปะของเธอคือการฟอกขาวปัญหานี้อยู่หรือเปล่า?
03
ความโลภ อาจกว้างใหญ่กว่าผืนดิน และลึกกว่ามหาสมุทรในจิตใจมนุษย์
“บางคนบอกว่าปลาทูที่หายไปไม่เกี่ยวอะไรกับเขา แต่จริงๆ แล้วปลาทูคือวิถีชีวิตและห้องอาหารของโลกต่างหาก”
สาธิต รักษาศรี ใช้ผลงานสื่อผสมมาสะท้อนเสียงของท้องทะเล โดยการมองย้อนกลับไปที่การกระทำของมนุษย์ โดยสาธิตรวบรวมขยะและวัสดุต่างๆ ของชาวประมงระหว่างการลงพื้นที่ในสงขลา เพื่อนำมาสื่อสารถึงความโลภอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์
อยากให้ทุกคนพินิจแต่ละภาพให้ดี แล้วจะเห็นรายละเอียดวัสดุที่สาธิตใช้ อย่างตาข่ายจับปลา เศษเสื้อผ้า ไม้แขวนเสื้อ จนไปถึงเศษธนบัตรที่ถ้ามองอย่างผิวเผิน อาจดูเหมือนเศษกระดาษ แต่เมื่อสังเกตใกล้ๆ เห็นได้เลยว่าสาธิตใช้เศษแบงก์จริงๆ เพื่อสื่อสารว่า ความโลภคือสิ่งที่อยู่ในใจมนุษย์ทุกคนโดยปฏิเสธไม่ได้ แต่มนุษย์จะปล่อยให้ความโลภนั้นมันกัดกินใจตนเองต่อไปอีกนานแค่ไหน? หรือจะปล่อยใจไปกับความโลภจนกว่าโลกนี้จะไม่มีทรัพยากรดีๆ ให้ใช้อีกต่อไปแล้ว?
04
ใบไม้ร่วงใบเดียว สะเทือนถึงทะเล
“ใบไม้ใบเดียวที่กระทบสู่ทะเลยังมีผลต่อแพลงก์ตอนตัวเล็กๆ ที่เป็นอาหารของปลาตัวใหญ่อย่างวาฬ ฉะนั้น การกระทำของมนุษย์เองก็มีผลกระทบเช่นกัน”
ผลงานภาพพิมพ์แกะไม้ของ ประสาท นิรันดรประเสริฐ ที่อยู่ตรงผนังกลางของห้องนิทรรศการ ผลงานแบ่งออกเป็น 3 ชิ้น ได้แก่ ‘เด็ดใบไม้ใบเดียวสะเทือนถึงปลาในทะเล’ ‘กลายพันธุ์’ และ ‘ปลาทูหายไปไหน’
เด็ดใบไม้ใบเดียวสะเทือนถึงปลาในทะเล คือ งานที่ย้ำเตือนว่า เพียงแค่ลมหายใจของมนุษย์ ก็เชื่อมโยงและมีผลกับธรรมชาติแล้ว หรือแม้กระทั่งใบไม้ที่กระทบผืนน้ำเพียงใบเดียว ก็ส่งผลต่อแพลงก์ตอนที่เป็นอาหารของวาฬได้ ดังนั้น ไม่ว่ามนุษย์จะทำอะไร สิ่งเหล่านั้นย่อมมีผลกระทบต่อธรรมชาติ และท้ายที่สุดมันก็ย้อนมาเอาคืนมนุษย์อยู่วันยังค่ำ งานภาพพิมพ์จึงเสมือนต้นไม้ มนุษย์ และผืนน้ำมีความสัมพันธ์ยึดโยงกันอยู่แบบขาดกันไม่ได้ เป็นงานที่อยากสื่อสารว่า หากเรากระทำแบบไหนสู่ท้องทะเล ท้องทะเลเองก็จะส่งผลลัพธ์ต่อการกระทำของเรากลับคืนมาแน่ๆ
กลายพันธุ์ เป็นงานที่พิมพ์บนผ้าลินิน แม้งานของประสาทจะพิมพ์บนกระดาษเสียส่วนใหญ่ แต่งานนี้เขาเลือกใช้ผ้า เพราะลดการใช้ปริมาณกระดาษที่มากเกินไป และการทำงานบนผ้ายังยั่งยืนกว่าด้วย ซึ่งผลงานนี้คือสิ่งที่ประสาทมองว่า คนเรากลายพันธุ์ทุกๆ วัน เพียงแค่ไม่ได้กลายพันธุ์ในแง่ของรูปลักษณ์ เพราะทุกวันนี้ผู้คนขาดทักษะการเอาตัวรอดในชีวิต ขาดการตระหนักถึงธรรมชาติ มนุษย์เริ่มไม่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ และนั่นคือการกลายพันธุ์ของมนุษย์ที่ถ้ายังไม่เข้าใจธรรมชาติสักที อาจจะเป็นมนุษย์เองที่กลายพันธุ์จนใกล้สูญพันธุ์เสียเอง
ปลาทูหายไปไหน นอกจากพิมพ์ภาพแกะไม้บนผ้าลินิน ประสาทยังเลือกนำเสื้อผ้าที่เห็นได้บ่อยๆ ในกลุ่มชาวบ้านมาใช้ในการแสดงออกงานชิ้นนี้ บนเสื้อพิมพ์คำว่า ปลาทู-หาย-ไปไหน แม้ตัวงานจะดูเรียบง่าย แต่ประสาทอยากให้เห็นว่า ถ้ามองเสื้อที่พิมพ์คำว่า ‘ปลาทู’ เพียงตัวเดียว อาจไม่ได้ทำให้เรานึกถึงอะไรนอกจากปลาทู แต่เมื่อมีเสื้อตัวต่อไปที่พิมพ์ด้วยคำว่า ‘หาย’ และ ‘ไปไหน’ เข้ามาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทำให้เห็นว่าเสื้อทุกตัวสร้างผลลัพธ์บางอย่างให้เกิดขึ้นเสมอ ประสาทจึงอยากย้ำเตือนว่า ทุกการกระทำของคนสำคัญมากๆ อย่าคิดเพียงแค่ว่า ‘ฉันทำคนเดียวแค่นี้เอง ไม่มีใครรู้หรอก’ เพราะถ้ามีหลายคนที่คิดแบบนี้เหมือนกัน นั่นแปลว่าผลลัพธ์บางอย่างที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์กำลังจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วแน่นอน
05
เสียงจากคนที่มีทะเลหน้าบ้าน
เดินดูนิทรรศการจนครบทั่วห้องแล้ว ONCE ได้มีจังหวะมานั่งล้อมวงสนทนากับ ปิยะ เทศแย้ม นายกสมาคมประมงพื้นบ้านทุ่งน้อย ผู้มอบความเข้าใจและชี้ปัญหาถึงวิกฤตทะเลไทยให้เหล่าศิลปินทั้ง 4 ท่านในการทำผลงานครั้งนี้
แล้วปัญหาที่ชาวประมงต้องเผชิญตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีคืออะไร? ใช่ปัญหาจากภาวะโลกร้อนและปัญหาสิ่งแวดล้อมหรือเปล่า? อาจจะตอบว่าใช่ได้ไม่เต็มปาก เพราะภาวะโลกร้อนก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การประมงไทยต้องเกิดภาวะ ‘เรือล่ม’ เช่นกัน
ภาวะ ‘เรือล่ม’ ไม่ใช่การที่เรือสักลำแตกกลางทะเล แต่หมายถึง การที่เรือจอดเทียบท่าเรือเพื่อรอฝูงปลาเป็นนาน
นอกจากปัญหาสภาพแวดล้อมแล้ว ยังมีการทำประมงแบบผิดกฎหมาย การลักลอบหาปลาในฤดูกาลปิดอ่าว จนไปถึงปัญหาทางข้อกฎหมายที่ตอนนี้กำลังมีการแก้ไขมาตรา 69 พ.ร.ก. ประมง โดยจะอนุญาตให้ใช้อวนตาถี่และวิธีล้อมจับในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นกฎหมายที่เอื้อกับคนแค่ไม่กี่กลุ่ม
มาตรา 69 ฉบับเก่า คือการห้ามไม่ให้ใช้อวนต่ำกว่า 2.5 เซนติเมตร
มาตรา 69 ฉบับใหม่ คือการห้ามไม่ให้ใช้อวนต่ำกว่า 2.5 เซนติเมตร ในระยะ 12 ไมล์ทะเล ซึ่งแปลว่า หากออกเรือไปไกลกว่า 12 ไมล์ทะเล ย่อมแปลว่าอนุญาตให้จับสัตว์น้ำด้วยอวนตาถี่ต่ำกว่า 2.5 เซนติเมตรได้ ทุกวันนี้เลยมีคนที่ใช้เงินส่วนตัวไปจ้างเรือปั่นไฟเพื่อออกไปนอก 12 ไมล์ทะเล แล้วนำสัตว์น้ำต่างๆ กลับเข้าฝั่งหรือเพื่อถ่ายคลิปลงบนโลกอินเทอร์เน็ตด้วย
ในระยะ 12 ไมล์ทะเล มีทั้งลูกปลาทู หมึกกล้วย ลูกปลาเก๋า เรียกได้ว่ามีสัตว์น้ำทุกชนิด เพราะจริงๆ แล้วทะเลยิ่งลึกยิ่งมีสัตว์น้ำนานาชนิด ฉะนั้น เรือที่ได้ประโยชน์จึงกระจุกอยู่เพียงแค่คนไม่กี่กลุ่ม และเอื้อแค่เรือ 175 ลำเท่านั้น ในขณะที่เรือของชาวประมงมีทั้งหมด 60,000 ลำ คิดเป็นเรือเชิงพาณิชย์ 10,000 ลำ และเป็นเรือประมงพื้นบ้านอีก 50,000 ลำ แต่มาตรา 69 พ.ร.ก.ประมง ต้องการแก้ไขกฎหมายข้อนี้เพื่อเอื้อประโยชน์ในน่านน้ำให้กับเรือแค่ 175 ลำ เรือขนาดมหึมาที่ถ้าหากจับสัตว์น้ำแล้วได้ปลามาไม่ถึงพันตัน จะไม่ยอมกลับเข้าฝั่งเด็ดขาด
การเปลี่ยนแปลงของทะเลไทยมีอยู่ 3 ยุคสำหรับปิยะ นั่นคือ ยุคที่ทะเลไทยสมบูรณ์ที่สุด คือช่วงปี พ.ศ. 2526-2554 ยุคที่เทคโนโลยียังไม่เข้ามา และเรือที่ใช้หาปลายังคงเป็นเรือที่พายด้วยแรงคน ซึ่งในปี 2554 คือจุดสิ้นสุดของยุคอุดมสมบูรณ์ทางทะเล แล้วจึงเริ่มเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งมีผลต่อการประมงไทย ณ ขณะนั้น ทำให้เกิดการลักลอบทำประมงในช่วงฤดูกาลปิดอ่าว มีช่องโหว่ทางกฎหมายมากมาย และความพยายามผลักดันให้การประมงไทยสร้าง GDP ของประเทศให้สูง ทำให้ทะเลไทยเริ่มถูกขูดรีดทรัพยากร ปลาทูที่เคยมีอยู่ในทุกๆ ริมชายฝั่งประจวบคีรีขีนธ์ กลับอยู่กันเป็นกระจุกเดียว ไม่กระจายตัวทั่วชายฝั่งแบบเดิมอีกต่อไป
กระทั่งปี 2563-2565 ปิยะจึงเริ่มเคลื่อนไหวในเรื่องนี้อย่างจริง มีการรณรงค์และเดินทางจากปัตตานีสู่สภา เพื่อยื่นเรื่องให้รัฐปรับปรุงข้อกฎหมายใหม่ แต่จากวันนั้นถึงวันนี้ ความพยายามของประมงไทยยังคงเป็นแค่เสียงแผ่วเบา การเกิดขึ้นของนิทรรศการนี้จึงเป็นอีกกระบอกเสียงสำหรับชาวประมงพื้นบ้าน ที่ขอให้เหล่าคนเมือง ได้หันมามองเห็นวิกฤตเงียบที่กำลังคืบคลาน
“ผมอยากสะท้อนมุมมองของเราให้คนอื่นเห็นว่า ทะเลเป็นทางเลือกของทุกคน ทำยังไงจะให้ทุกคนได้ตื่นตัว รับรู้เรื่องราวการปกป้องทะเลโดยลำพัง”
ร่วมลงชื่อแก้ไขมาตรา 69 พ.ร.ก. ประมง : https://shorturl.asia/9W35x