About
ART+CULTURE

Embrace And Move On

ถอดบทเรียนแห่งความรู้สึกจาก Blossoms of Embrace ทางเดียวที่จะมูฟออนคือโอบกอดทุกแง่มุมของตัวเอง

Beingthere Detour Be myguest FLAVOR Resound art+culture Insights Trends Business Insiders Balance Craftyard News
Read At ONCE
  • สนุกกับการหาข้อเสียของตัวเอง เผชิญหน้ากับเรื่องราวอันเจ็บปวด และอะไรก็ตามที่ทำให้ขาข้างหนึ่งยังจมอยู่กับอดีต เพื่อ ‘ยอมรับ’ และก้าวไปข้างหน้าอย่างแท้จริง

หลายคนเปรียบเด็กแรกเกิดเป็น ‘ผ้าขาว’ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ แล้วผ้าจะขาวไปได้ตลอดไหม และที่สำคัญกว่านั้น เราจะชอบสีสันที่ถูกแต่งแต้มบนผ้าของเราหรือเปล่า

“ผ้าขาวเป็นตัวแทนของชีวิต ซึบซับประสบการณ์จากพ่อแม่ โรงเรียน สังคม สิ่งที่เราเลือกเสพ แล้วพอถึงปัจจุบัน มันกลายเป็นผ้าที่เราไม่ชอบ”

ตั้ม-สุวิศิษฏ์ รักประยูร เกริ่นเกี่ยวกับนิทรรศการ ‘Blossoms of Embrace : The Cycle of Self-Acceptance’ ขณะที่เราทั้งคู่ยืนดูผ้าผืนยาวบนพื้นห้องนิทรรศการ มันทั้งเปรอะเปื้อนด้วยสี ทั้งถูกก้อนหินกดทับ

ผ้าขาวผืนนั้นยังยาวเลยก้อนหินออกมา ไม่ต่างจากชีวิตที่ดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะผ่านอะไรมาก็ตาม

“จริงๆ แล้วชีวิตก็เป็นอย่างงี้” ตั้มพูดเสียงเรียบ

นิทรรศการนี้เป็นเหมือนประมวลข้อคิดจากประสบการณ์ชีวิตของศิลปิน รวมถึงคนรอบข้างของเขา ว่าด้วยการ ‘ยอมรับ’ อาจเป็นการยอมรับข้อเสียของตัวเอง หรือบทเรียนหนักหน่วงที่ทำให้เราจมอยู่กับอดีต โดยมีเป้าหมายคือการชวนมองอนาคตและก้าวไปข้างหน้า

ส่วนสำคัญของนิทรรศการอย่างวงล้อดอกไม้บนเพดานห้องคือ ‘พวงหรีด’ โดยฝีมือของ อ้อมดาว ลอยสุวรรณ์ มันขับเน้น ตีความเพิ่มเติม และถ่ายทอดคอนเซปต์ข้างต้นได้อย่างลึกซึ้ง รูปลักษณ์ของมันเล่าเรื่องสอดประสานกับคอนเซปต์ของนิทรรศการอย่างกลมกล่อมจนผู้เข้าชมมายืนร้องไห้ต่อหน้า

Blossoms of Embrace

Me and My Shadow

ทำไมถึงเลือกประเด็น ‘การยอมรับตัวเอง’ มาเล่าผ่านนิทรรศการ

ตั้ม : เราอยู่ใกล้ชิดเพื่อนฝูง สิ่งที่เราเห็นคือภาพความเจ็บปวดและเจ็บป่วย จากสภาวะทางสังคมที่มาตกกระทบต่อตัวเอง พอตกกระทบมาเรื่อยๆ มันไม่ได้เกลียดสังคม แต่เกลียดตัวเอง เราคุยกับบางคน เขาเกลียดตัวเองถึงขั้นไม่อยากมองตัวเองในกระจกด้วยซ้ำ แล้วพอต้องให้คำปรึกษาบ่อยๆ เลยอยากหยิบเรื่องนี้มาพูดให้กว้างขึ้นและพูดทีเดียวเลย แทนที่จะรับโทรศัพท์ทีละสาย

อะไรทำให้พวกเขาไว้ใจคุณ

ตั้ม : ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นเราตลอด (หัวเราะ)
อ้อมดาว : จากที่เรามองตั้มนะ เขาทำแบรนด์อาหารจากสงขลา เราตามในอินสตาแกรมตลอดแต่ไม่เคยเจอ พอย้ายจากเกาะพงันมากรุงเทพฯ แล้วอยากสั่งอาหารร้านนี้ บังเอิญว่าเพื่อนเราก็รู้จักตั้ม แล้วพอเรารู้จักตั้ม เราว่าตั้มเป็นคนเปิดเผย เราไม่ Doubt อะไรเขาเลย

Blossoms of Embrace

ถ้าคำปรึกษาของเราส่งไปไม่ถึงเขาล่ะ

ตั้ม : เราเข้าใจ (คำถาม) นะ แต่บางครั้งก็ต้องเชื่อใจกัน มันยังไม่ใช่เวลานี้ และอย่าไปทุกข์กับเขา เราถูกสอนมาว่า ทุกครั้งที่ฟังเรื่องคนอื่น เรารับฟังได้ แต่ต้องไม่ปล่อยตัวจมไปกับเขา เราทำเท่าที่ทำได้ ส่วนที่เหลือมันเกินขอบเขตของเราแล้ว
อ้อมดาว : ก็เหมือนทำงานศิลปะ เราคราฟต์ออกมาแล้วก็ต้องปล่อยให้มันทำงาน เราให้คำปรึกษาใครแล้ว เขาจะเก็ตไม่เก็ตก็ขึ้นกับเขา อยู่ที่กระบวนการตีความของเขาเอง

ทำไมการยอมรับตัวเองถึงเป็นเรื่องยาก

ตั้ม : เพราะมันเจ็บปวด และไม่มีใครอยากเจ็บปวด ไม่มีใครอยากมานั่งพูดกับตัวเองว่า เราไม่ดี เรานิสัยไม่ดี เราทำอันนี้ออกมาแย่มาก ทุกการยอมรับนำพามาซึ่งการเจ็บปวด
อ้อมดาว : ใช่ เจ็บปวดนะ
ตั้ม : แต่ถ้าเราชินกับความเจ็บปวด สักพักหนึ่งจะไม่ค่อยเจ็บแล้ว ทุกอย่างจะกลายเป็น ‘อ๋อ เข้าใจ’
อ้อมดาว : คำนี้แหละ (พูดต่อทันที)

Blossoms of Embrace

การยอมรับตัวเองเริ่มจากการสำรวจตัวเอง แล้วสิ่งสำคัญที่ควรยึดถือระหว่างสำรวจตัวเองคืออะไร

ตั้ม : สนุกกับการค่อยๆ นั่งดูตัวเอง ดูว่าไม่เวิร์กตรงไหน เราอาจมีนิสัยไม่ดีที่ติดจากพ่อแม่ มันเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครเพอร์เฟกต์แม้แต่พ่อแม่เรา แล้วเราก็มองข้อเสียตัวเองเป็นเงา ทำความรู้จักมัน อนุญาตให้มันมานั่งข้างๆ

การเจอข้อเสียตัวเองคือสเต็ปแรกที่นำไปสู่การยอมรับ แล้วนำไปสู่การแก้ บางคนใช้ชีวิตยาวนาน ไม่เคยสำรวจตัวเอง มันก็กลายเป็นทุกข์ แล้วบางครั้ง ทุกข์นั้นไประรานคนอื่นด้วย

มีวิธีป้องกันไม่ให้เงาของเราทำร้ายคนอื่นไหม

ตั้ม : การยอมรับเท่ากับว่าเราเห็นมันนะ เราก็เป็นเด็กเกเร ใจร้อน เมื่อก่อนใช้เวลาเป็นวันกว่าจะคิดได้ว่า ‘ไม่น่าทำเลย’ แต่พอยอมรับแล้ว ‘ฮึบ’ ตัวเองบ่อยๆ จะระงับได้ก่อนลงมือทำ วันหนึ่งเงาจะบางลง มันไม่ไปไหนหรอก แต่ทำร้ายใครไม่ได้อีกแล้ว
อ้อมดาว : เราว่าการโอบกอดเงาคือความรักรูปแบบหนึ่ง พอเรารักตัวเองก่อน จะส่งผลต่อการรักคนอื่น เราจะไม่ทำร้ายคนอื่นโดยเจตนา ไม่เกิดการปะทะ เพราะเรารักตัวเอง และรักคนรอบข้างด้วย

Blossoms of Embrace

มีเคล็ดลับในการพัฒนาตัวเองยังไงบ้าง

ตั้ม : ทำทีละนิด ทำทุกวัน อาจเป็นเรื่องที่ปรับได้ง่ายๆ อย่างเราเล่นกีฬา เราก็มีวิธีคิดแบบนักกีฬา คือลองตื่นเช้า กินอาหารตรงเวลา ในเมื่อเงานั้นสะสมมาหลายสิบปี การยอมรับหรือแก้ไขก็ต้องทำวันละนิด เราพยายามบอกทุกคนตลอดว่า ใจเย็นกับสิ่งที่เกิดขึ้น

สมมติว่าเจอคนที่มองปัญหาใหญ่กว่าความเป็นจริง จะแนะนำอย่างไร

ตั้ม : อันดับแรกคืออย่าให้จินตนาการมาทำร้ายเรา เดี๋ยวแก้ไม่ได้ พอแก้แล้วล้มเหลว และเราก็จะไม่กลับไปทำสิ่งนั้นซ้ำ อันดับสอง คงบอกว่า เราควรกลับไปจุดที่เล็กที่สุด แล้วเริ่มจากตรงนั้น

การเริ่มจากจุดเล็กๆ สำคัญยังไง

ตั้ม : จุดเล็กๆ นั้นอาจไม่แก้ปัญหาในทันทีก็ได้นะ เพราะเราไม่สามารถตื่นมาเป็นคนที่ดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ได้ แต่อาจทำให้เรา ‘เริ่ม’ ทำมากขึ้น สิ่งเล็กๆ จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่า เราพอจะทำได้นะ และไม่เหนื่อยเกินไปที่จะทำ

Blossoms of Embrace

I Am Not Afraid Anymore

คุณเคยทำ Street Art มาก่อน แต่ก็เลิกไป เพราะอะไร

ตั้ม : ตอนนั้นคิดว่าเราสนุกกับการสร้าง Form สร้างรูปร่างหรือรูปทรงน่ะ แต่จริงๆ เราสนุกกับกระบวนการคิดมากกว่า พอทำไปสัก 1-2 ปี ก็รู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เลยตัดสินใจหยุด

หยุดไปนานแค่ไหน

ตั้ม : 10 ปีเลย แล้วอ่านหนังสือ ฟังเพลงแทน เราพยายามจะลงลึกไปกับสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะงานศิลปะ เพื่อนๆ เราก็ทำงานศิลปะนะ จนตอนนี้ดังแล้ว มีเราคนเดียวที่ไม่ได้ทำต่อเนื่อง

มองเพื่อนแล้วรู้สึกยังไง

ตั้ม : ยินดีกับเขา ส่วนเราก็เรียนรู้ในแบบที่เราอยากจะเป็น เราทำทุกอย่างแบบใจเย็นมาก อ่านหนังสือไป เรียนรู้ไป พออายุมากขึ้น ประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น ความลึกนั้นยิ่งไปได้อีก

Blossoms of Embrace

อะไรทำให้อยากเป็นศิลปินแต่แรก

ตั้ม : มันคิดอยู่ในหัวตลอดเวลา คิดไม่จบอยู่อย่างนั้น เลยต้องหาทางออกให้ชีวิต เราโตมาในสังคมที่มันสุดโต่ง มีตีรันฟันแทง ขายยา เลยมีประเด็นให้คิดตลอดเวลา สุดท้ายเราก็ไม่เรียนหนังสือนะ ออกจากสถานศึกษาเลย

แล้วเคยมีช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวไหม

ตั้ม : เราเฉยๆ กับความโดดเดี่ยว เพราะเราเคยอยู่แต่บ้านเป็นปีๆ พาร์ตหนึ่งเป็นเด็กติดเกม อีกพาร์ตหนึ่งนั่งฟังเพลงเดิมซ้ำๆ ทุกวัน เรามีเพลงเป็นเพื่อน

ชอบฟังเพลงอะไร

ตั้ม : ไม่รู้เพราะเราเป็นคนใต้ด้วยหรือเปล่า เราฟังเพลงเพื่อชีวิตเยอะ แล้วกลายเป็นว่าเข้าใจสังคมจากเพลงพวกนั้น ความหลากหลายในเนื้อเพลง ทำให้เราเห็นภาพของสังคมจริงๆ อย่างเพลงของคาราบาว เพลงหนึ่งพูดถึงลูกคนจน เพลงหนึ่งก็พูดถึงลูกคนรวย ตอนเด็กๆ เรามีเพื่อนที่ทำงานโรงงานปลากระป๋อง ได้เงินวันละ 125 บาท ภาพมันชัด

พอมาอยู่ที่นี่ ถ้าขึ้นรถไฟฟ้าแล้วลืมหยิบหูฟังมา เราจะเปิด Spotify อ่านเนื้อเพลงไปเรื่อยๆ อ่านได้เป็นชั่วโมง หรือเพลงที่เข้ากับความคิดช่วงนั้นพอดี เราฟังได้ทั้งวันเพื่อจะทำความเข้าใจ

Blossoms of Embrace

คนที่พยายามเข้าใจหรือยอมรับทุกสิ่ง เคยเจอเรื่องที่ยากเกินจะยอมรับไหม

ตั้ม : ตอนที่น้องเราเสีย วินาทีที่รับโทรศัพท์ตอน 01.45 น. เราบอกตัวเองตั้งแต่นั้นว่า ต้องยอมรับให้ได้ แต่ยอมรับไม่ไหวหรอก ตอนเช้ายังใส่รองเท้าออกไปทำงาน ตอนค่ำแม่ยังโทร. มาบอกให้ไปกินชาบูด้วยกันอยู่เลย

ตอนที่ยอมรับได้แล้วรู้สึกยังไง

ตั้ม : เรากับน้องเป็นอิสระ

ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะคิดได้แบบนี้

ตั้ม : ปีกว่าๆ ระหว่างนั้นเราโดนทุบตีทางความรู้สึกตลอด ไม่รู้ว่าความทุกข์นี้จบตรงไหน แต่ก็บอกตัวเองทุกวันว่า ต้องยอมรับให้ได้ ถ้าไม่ยอมรับ เราจะมูฟออนแบบครึ่งๆ กลางๆ เราต้องยอมเจ็บปวดก่อน เราจะได้ไม่กลับมาเจ็บอีก แล้วพอทำได้ เราไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป การที่น้องตายเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตเราเลย

Blossoms of Embrace

มันเปลี่ยนเราให้เป็นคนใหม่ยังไงบ้าง

ตั้ม : จากที่ไม่กลัวอะไรเลย มันยิ่งทลายความกลัวไปจากชีวิต ตอนเราเด็ก เราไม่กลัวอะไร เพราะไม่เข้าใจมากกว่า ส่วนตอนนี้เราไม่กลัวที่จะลองทำสิ่งต่างๆ เพราะไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไหร่

เราเคยคิดว่า ถ้าพ่อกับแม่ไม่อยู่ เราคงไม่ไหว แต่ไม่เคยนึกเลยว่าน้องจะเสียก่อน เขาอายุน้อยกว่าเรา ตั้งแต่นั้นมา เรายอมรับความตายของพ่อแม่ และตัวเองด้วย แล้ววันที่มันมาถึง เราก็ไม่อยากมองกลับมาแล้วรู้สึก…(จิ๊ปาก) เสียดายน่ะ

Blossoms of Embrace

Blossoms of Embrace

Blossoms of Embrace

Blossoms of Embrace

นิทรรศการนี้ก็เกิดขึ้นได้เพราะความไม่กลัวใช่ไหม

ตั้ม : จริงๆ มาจากทั้งแพสชันและความไม่กลัว ทีแรกเรามีความกลัวอย่างหนึ่ง คือเราจะดูเหมือนสอนคนอื่นมากไปหรือเปล่า แต่เบื้องต้นเราแค่อยากบอกคนรอบข้างที่ได้คุยกันมาตลอดมากกว่า เล่าให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

ทำไมถึงเลือกเล่าผ่านดอกไม้

ตั้ม : เพราะจำความรู้สึกตอนน้องเสีย แล้วเรารับพวงหรีดได้ ตอนนั้นเราเริ่มจะยอมรับความเป็นจริง แล้วเราเล่าให้พี่อ้อมฟัง เพราะเขาเคยเรียนจัดดอกไม้และเขารู้จักเราดี เราก็โยนไอเดียพวงหรีดและดอกไม้ไป บอกว่าเดี๋ยวมีผ้าห้อย ซึ่งเป็นตัวแทนของชีวิต

Blossoms of Embrace

Blossoms of Embrace

Blossoms of Embrace

เสน่ห์ของการเล่าเรื่องผ่านดอกไม้คืออะไร

อ้อมดาว : เสน่ห์ของมันคือการสังเกต มันช่วยเราสังเกตความรู้สึกและความคิดของตัวเอง จนเห็นทุกแง่มุมของตัวเอง เราประยุกต์ใช้หลักอิเคบานะจากที่เรียนตอนอยู่เกาะพงัน เรามองพวงหรีดของตั้มเป็นเหมือนการเดินจงกรม เราปักไปเรื่อยๆ ในระยะเวลา 2 สัปดาห์จนครบรอบ

อิเคบานะคือการใช้ดอกไม้เยียวยาใจ เขาเชื่อว่ามันคือความไม่สมบูรณ์แบบ เราสังเกตลายเส้นหรือธรรมชาติของดอกไม้แล้วประทับไว้ในใจ แล้วเราปักมัน การปักแสดงถึงจุดมุ่งหมายที่เราจะไป ปักแล้วจะไม่มีการดัด พอปักเสร็จคือการปล่อยวาง

คล้ายกับคอนเซปต์ ‘การยอมรับ’ ของ Blossoms of Embrace ไหม

อ้อมดาว : มันคล้ายกัน เราบอกตั้มว่า มีด้านหนึ่งของพวงหรีดที่เราโคตรไม่ชอบ ยิ่งปักดอกไม้ยิ่งแย่ แต่มันก็ฝึกเราด้วยว่าต้องยอมรับ ไม่ว่างานจะดีหรือไม่ดี งามหรือไม่งาม และสำหรับเรา ศิลปะไม่ใช่แค่ความงาม ขึ้นกับว่าเราจะสื่อสารยังไงมากกว่า

เราทำงาน 2 ทาง ทำงานกับศิลปินด้วย ทำงานกับดอกไม้ด้วย ศิลปินใช้ทั้งชีวิตมาสร้างเป็นงานศิลปะ เราก็เคารพในส่วนนั้น แล้วเรามีดอกไม้เป็นอาวุธ ทำให้งานน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

Blossoms of Embrace

Blossoms of Embrace

Blossoms of Embrace

Blossoms of Embrace

เริ่มตีความงานนี้จากตัวศิลปินหรือคอนเซปต์

อ้อมดาว : เรานึกถึงน้องมากกว่า เมสเสจหลักๆ คืออดีต ปัจจุบัน และอนาคตของตัวศิลปิน เราใช้เถาวัลย์ทำเป็นพวงหรีดที่ตั้มอยากได้ ร้อยใบไม้แห้งมาพันเถาวัลย์ บ่งบอกว่ามันคืออดีตที่จบไปแล้ว ดอกหน้าวัวซึ่งเป็นดอกไม้ปลอม หมายถึงปัจจุบันที่เดี๋ยวก็จบลง มันคือมายาคติ และดอกเยอบีราแทนความสดใหม่ มันคือตั้มที่งอกงามกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

วงล้อนี้โอบรับทุกอย่าง ทั้งความรู้สึกด้านลบ เกลียดตัวเอง รักตัวเอง ยอมรับตัวเอง

ตั้ม : และเราตัดสินใจใช้ดอกไม้จริง ถ้ามันจะร่วงก็ให้มันร่วง เหมือนกาลเวลาที่ผ่านไป

‘เวลา’ มีนัยอย่างไร

ตั้ม : นิทรรศการนี้พูดถึงอดีตก็จริง แต่เราไม่ได้มานั่งยึดติดกับมัน อดีตพาเรามาสู่ปัจจุบันแล้วนำไปสู่อนาคต อดีตควรมีบทบาทแค่นั้น เราไม่ควรปล่อยให้มันมาเพ่นพ่านเกินไป

นิทรรศการนี้มาจากหนังสือสิทธารถะ ของเฮอร์มานน์ เฮสเส ด้วย สิทธารถะเป็นมาหมดแล้วทั้งคนจน คนรวย เขาใช้ปัญญานำทาง ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ สุดท้ายกลับมาสู่ความจน แล้วเขาไปเจอคนพายเรือที่บอกว่า ‘ท่านดูแม่น้ำ เรียนรู้จากมัน’ ความหมายคือแม่น้ำไม่หวนกลับคืน

Blossoms of Embrace

Blossoms of Embrace

อยากฝากอะไรถึงคนที่มาชมนิทรรศการนี้ไปแล้ว

ตั้ม : การเห็นข้อผิดพลาดของตัวเองเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากๆ จงโอบรับมันไว้ แล้วมองไปข้างหน้า ไม่ต้องมองไปข้างหลังอีกแล้ว

คิดว่าสังคมควรหันมาสำรวจและยอมรับตัวเองมากขึ้นใช่ไหม

ตั้ม : สังคมเจ็บปวดและอ่อนล้า เราคิดว่าเราทำดีแล้ว แต่ยังดีไม่พอ คนเรายังมีข้อเสีย แต่ไม่มีใครผิดนะ เราก็ไม่อยากกำหนดว่าแบบไหนคือผิด แบบไหนคือถูก การยอมรับตัวเองเป็นการแก้ไขส่วนตัว ไม่มีเลว ไม่มีบาป

เลยเลือกใช้สีกรักแดงสำหรับย้อมจีวรในนิทรรศการเหรอ

ตั้ม : งานนี้ไม่ยึดติดกับศาสนาใดนะ แค่เปรียบกับพระ เพราะน่าจะสื่อสารกับคนไทยได้ง่าย เราพัฒนาตัวเองวันละนิดก็เหมือนพระรับจีวรไปสวมเพื่อเริ่มปฏิบัติกิจของสงฆ์ กว่าจะเป็นพระที่สวดมนต์ได้ดี ต้องใช้เวลาฝึกจนชำนาญ

Blossoms of Embrace

นับถือศาสนาอะไร

ตั้ม : เราไม่ได้นับถือศาสนา แต่เอาสิ่งที่เข้ากับเรามาปรับใช้ เราเปิดโอกาสให้ตัวเองเรียนรู้ (จากทุกศาสนา) ปลายทางของทุกศาสนาก็เป็นไปในทางเดียวกัน คือมนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเท่าที่จะเป็นไปได้

แล้ว ‘คนอื่น’ ควรมีบทบาทต่อ ‘การยอมรับตัวเอง’ มากแค่ไหน

ตั้ม : เราควรพยุงกันและกัน เราไม่สามารถอยู่ในสังคมด้วยตัวคนเดียวได้ และเราไม่ได้เข้มแข็งทุกวัน ส่วนเพื่อนเราก็ไม่ได้อ่อนแอทุกวัน เพราะฉะนั้น ในวันที่เราอ่อนแอ เพื่อนจะพยุงเรา และวันที่เพื่อนอ่อนแอ เราจะพยุงเพื่อน

ไม่มีใครโดดเดี่ยว และไม่ใช่เราคนเดียวที่เจ็บปวด

Tags: