- เรื่องราวของ บอม-กฤตนัย คงธนารักษ์ แชมป์ดริปกาแฟประเทศไทยจากการแข่งขันในปี 2024 ที่เริ่มต้นจากการดื่มกาแฟเพียงเพราะว่าเป็นเครื่องดื่มราคาถูก จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างอาชีพ ความฝัน ปัญหาสุขภาพจิต และการเติบโต จนมองเห็นแง่มุมอย่างลึกซึ้งในการใช้ชีวิต
ช่วงเวลาเช้าๆ คือเวลาที่เหมาะสมที่สุดกับการจิบกาแฟสักแก้ว และในเช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง เราเดินทางมาที่ร้าน COF AND COW at Sena Nikhom แต่เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อหากาแฟดื่มยามเช้าแบบธรรมดาๆ แต่มาเพื่อจิบกาแฟจากนักชงที่ดีที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทย
ผู้ที่มาชงกาแฟให้ได้ชิมในวันนี้คือ บอม-กฤตนัย คงธนารักษ์ ผู้ชนะการแข่งขันรายการ Thailand National Brewers Championships 2025 (แข่งขันในปี 2024) หรือพูดเป็นภาษาบ้านๆ คือแชมป์ดริปกาแฟของประเทศไทยจากรายการที่ดีที่สุดและเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันรายการใหญ่ระดับโลก อย่าง World Brewers Cup Championship 2025
ความสำเร็จของเขาทำให้ผมสนใจที่อยากจะพูดคุย แต่ไม่ใช่เพราะเขาคือแชมป์ดริปกาแฟของประเทศไทย แต่เป็นเพราะตัวผมเป็นเพื่อนกับบอมมานานอย่างน้อย 17 ปี และตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมา นี่คือช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเขา
แม้จะเป็นปีทองของเพื่อน แต่ตัวผมกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเส้นทางสายนี้ของเขามากนัก นอกจากรู้ว่าเขาลงสนามแข่งขันทำกาแฟ และรู้ตัวอีกทีเขาก็เป็นแชมป์ดริปกาแฟของเมืองไทยไปแล้ว
ตลอดชีวิตผม ได้พูดคุยสัมภาษณ์คนมานับร้อย ได้รับรู้ชีวิตและเรื่องราวตัวตนแท้จริงของคนดัง คนที่น่าสนใจมากมาย แต่ผมก็ต้องมานั่งถามตัวเองว่า แล้วเรารู้จักเพื่อนของเราดีพอหรือยัง? บางทีตัวผมเองอาจรู้จักตัวตนของคนดังที่ผมเห็นผ่านหน้าจอ มากกว่าเพื่อนที่รู้จักกันมาเกินครึ่งชีวิตก็ได้
แต่ในอีกด้านผมก็ได้เห็นเรื่องราวของบอมตั้งแต่เขายังเป็นพนักงานธรรมดาในร้านกาแฟ จนวันนี้เขากลายมาเป็นแชมป์ของประเทศไทย ยิ่งทำให้ผมอยากพูดคุยกับเขา ผู้ชายคนนี้เปลี่ยนไปแค่ไหนจากวันแรกที่ผมรู้จัก จนวันนี้ที่เขาเป็นแชมป์กาแฟระดับประเทศ เพราะจากประสบการณ์ของตัวเอง คนที่ต่อสู้จากก้าวแรกจนขึ้นสู่จุดสุดยอดบนภูเขาแห่งความฝัน ต้องมีความคิดที่ไม่ธรรมดาซ่อนอยู่เบื้องหลังแน่นอน ไม่ว่าจะมองในมุมของ “เพื่อน” หรือ “ผู้เล่าเรื่องราว” ก็มีอะไรที่ผมอยากรู้จากบอม-กฤตนัยเต็มไปหมด และนี่คือเรื่องราวของชีวิตผู้ชายหนึ่งคนที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เพราะสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า “เมล็ดกาแฟ”
จุดเริ่มต้นจากเครื่องดื่มราคาถูก
“ย้อนไปตอนอยู่มัธยมปลายนะ เคยด่าคนดริปกาแฟด้วย ตอนนี้กลายมาเป็นแชมป์ดริปกาแฟซะเอง” บอมกล่าวประโยคที่เรียกเสียงหัวเราะเริ่มต้นการพูดคุยของเราได้เป็นอย่างดี
“จริงๆ ไม่ใช่คนกินกาแฟ ตอนเด็กเคยไปสั่งลาเต้กินแล้วเกิดท้องเสีย เวลาไปร้านกาแฟจะสั่งชาแทน แต่เพื่อนคนอื่นก็สั่งกาแฟ พอผ่านไปสักพัก เลยอยากลองกินกาแฟบ้าง”
“ก็เลย ลองไปเริ่มต้นสั่งอเมริกาโนร้อน” เมื่อถามต่อว่าเหตุผลที่เขาอยากลองกาแฟดำสไตล์เข้มคืออะไร คำตอบของบอมก็เรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง
“จริงๆ คือมันถูกที่สุด พูดกันแบบตรงๆ ว่าเริ่มกินกาแฟดำเพราะว่ามันถูก ก็กินมาเรื่อยๆ นะ เพราะมันถูกนี่แหละ จนไปกินกาแฟร้านหนึ่งแล้วรู้สึกว่า ‘กาแฟมันเปรี้ยว’ คือพอได้กินกาแฟเปรี้ยวก็รู้สึกแปลก เรามาคิดว่ากาแฟมีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ? เมื่อก่อนไม่เคยคิดเลยนะ รู้สึกว่ากาแฟก็น่าสนใจสำหรับเรา
“แต่จริงๆ ก็ไม่ได้อินกาแฟขนาดนั้น ความฝันแค่อยากทำงานบริการ เพราะตอนเรียนมหาวิทยาลัยได้ทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านพิซซ่า ก็รู้สึกชอบงานบริการขึ้นมา อยากทำตรงนี้ต่อ ตอนนั้นเรียนประมง แต่ตัดสินใจว่าไม่เอาแล้วประมง” บอมเล่าด้วยเสียงหัวเราะ
“แต่ว่าตอนทำงานร้านพิซซ่า จะเริ่มงานประมาณบ่าย 4 ตอนบ่าย 3 ก็จะไปนั่งรอเข้างานที่ร้านกาแฟ ไปกับพี่เจ้าของร้านนี่แหละ ทำแบบนี้อยู่เกือบปี จนพี่ที่ร้านเห็นว่าเรามาบ่อย เขาก็มาถามว่า ‘อยากลองทำกาแฟดูไหม?’
“พอได้มาลองทำจริงๆ ก็ได้เห็นอะไรมากขึ้น คือกาแฟไม่ใช่แค่เรื่องของการคั่ว มีอะไรมากกว่านั้น มันสำคัญมาตั้งแต่เริ่ม
“คือสมัยก่อนเราก็คิดแค่ว่ากาแฟก็คือกาแฟ กาแฟเอามาคั่วแล้วเป็นกาแฟจบ แต่พอมาเรียนรู้จริงๆ คือกระบวนการแต่ละอย่างกว่าเราจะได้กาแฟมาสักแก้วนึง มันไม่ง่าย ต้องเริ่มตั้งแต่การปลูกการเก็บของเกษตรกร ก็เลยอินขึ้นมา”
เรายิงคำถามใส่บอมว่า นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาตัดสินใจอย่างจริงจังใช่ไหม? ที่จะเลือกมาทำงานด้านกาแฟ คำตอบของเขาก็เรียกเสียงฮาได้อีกรอบ
“พอได้ลองชงกาแฟก็รู้สึกว่ามันเท่ดี จริงๆ ก็ทำเพราะว่ามันเท่ด้วยแหละ” หลังจากนั้นเสียงหัวเราะก็ปกคลุมบทสนทนาของเรา
กาแฟและความฝัน
“จริงๆ ก็เหมือนคนทั่วไปที่เริ่มทำกาแฟ คืออยากทำลาเต้อาร์ต” บอมเล่าเรื่องราวของเขาต่อ “แต่ว่าตัวเองเป็นคนมือสั่น กว่าจะฝึกทำลาเต้อาร์ตได้สักลาย ใช้เวลาเป็นเดือนนะ แต่พอเห็นคนอื่นเขาฝึกทำลายเดียวกัน ใช้เวลาแค่ 2 วัน ก็มาคิดว่าไม่ใช่ทางของเราแล้ว”
เมื่อไปต่อกับสายลาเต้อาร์ตไม่ได้ ความสนใจของบอมก็หันมาสู่สายกาแฟดำแทน ซึ่งเปิดประตูที่ทำให้เขาตัดสินใจเริ่มเอาจริงเอาจังกับการดริปกาแฟ และเห็นเสน่ห์ของเส้นทางสายนี้มากขึ้น
“มันก็คืองานคราฟต์ด้วย การดริปกาแฟคืองานคราฟต์มากๆ เพราะแค่เมล็ดกาแฟไม่เหมือนกัน อุณหภูมิไม่เหมือนกัน เวลาไม่เท่ากัน กาแฟที่ทำออกมา ก็ต่างกันแล้วก็รู้สึกว่ามันมีรายละเอียดเยอะนะที่จะดริปกาแฟดีๆ ออกมาสักแก้ว และเราเป็นคนชอบทำงานที่มีความละเอียดแบบนี้ด้วย ยิ่งมีรายละเอียดเยอะ ยิ่งน่าสนใจ”
ช่วงเวลาเดียวกับที่บอมเริ่มทำกาแฟ คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิตด้วยเช่นกัน เพราะชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของเขากำลังจะจบลง และบอมก็ต้องหาอาชีพเพื่อเลี้ยงตัวเองต่อไป ซึ่งกาแฟคือหนึ่งในเส้นทางที่เขาพิจารณาอย่างจริงจัง
“จริงๆ ก็มองไว้หลายตัวเลือกนะ เพราะตอนนั้นไม่ได้ชอบแค่กาแฟอย่างเดียว แต่เป้าหมายของเราคือ ถ้าเลือกไปทางไหนก็อยากไปได้ไกลด้วย ไม่อยากเข้าไปทำงานแล้วก็ย่ำอยู่กับที่ มองตัวเองอยากจะไปในจุดสูงสุดของทางที่เราจะเลือกเดิน
“ช่วงนั้นมีคนไทยชนะเป็นแชมป์โลกทำลาเต้อาร์ต (อานนท์ ธิติประเสริฐ แชมป์โลกลาเต้อาร์ตในปี 2017) เราดูเขาแข่งก็รู้สึกว่าอยากเป็นแบบเขาบ้าง และก็เหมือนสร้างเป้าหมายให้เราด้วย เหมือนเห็นภาพว่า ในอีก 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้า เราจะต้องไปอยู่จุดไหนในเส้นทางสายนี้
“เพราะตอนนั้นไม่ได้วางแผนชีวิตเลยนะว่า อนาคตอีก 10 ปีจะต้องมีรถหรือมีบ้าน ไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไรแบบนั้นกับชีวิตเลย คิดแค่ว่าอยากทำกาแฟ อยากทำให้เก่งขึ้นแค่นั้นเลย”
กาแฟบอกเล่าตัวตน
แม้ว่าจะไม่สามารถเดินตามรอยกับการเป็นแชมป์โลกลาเต้อาร์ต แต่บอมก็ทุ่มเทเต็มที่กับความฝันที่จะชงกาแฟ เขาลองผิดลองถูกมากมายกับสายอาชีพนี้ ทั้งสมัครทำงานร้านกาแฟแต่ได้ไปปั่นผลไม้แทน หรือยอมรับเงินเดือนแค่ 16,000 บาท เขาพร้อมจะลองเสี่ยงกับทุกโอกาสหากว่า ทำให้เขาสามารถเป็นนักชงกาแฟที่ดีขึ้นได้ จนสุดท้ายเส้นทางก็พาเข้าสู่การแข่งขันดริปกาแฟครั้งแรกในชีวิต
“ตอนนั้นได้ไปแข่งรายการหนึ่งปี 2018 ตอนนั้นแข่งเครื่องชงกาแฟแบบเครื่องไซฟอน คือเขาส่งชื่อให้ไปแข่ง เราก็ไป แต่ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ ไม่มีความพร้อมอะไรเลย เหมือนโยนตัวเองไปให้เสือกิน
“แต่ก็ดีนะ ทำให้รู้ว่า คนแข่งขันทำกาแฟจริงจังขนาดไหน คือเขาจริงจังกันสุดๆ เขามีความพร้อมเตรียมตัวกันเป็นเดือน แต่เราเตรียมตัวแค่ 2 วันก่อนแข่ง แต่การชิมลางครั้งนี้ก็ทำให้รู้ว่า เราต้องมีความพร้อมแค่ไหน ถ้าคิดจะมาแข่งจริงจัง”
“แล้วกลับมาแข่งอีกทีตอนไหน?” … “2022” คำตอบของบอมทำให้ต้องพูดคำว่า โอ้โห ออกมา เพราะเขาทิ้งเวลาไปถึง 4 ปีกับการลงแข่ง แต่เหมือนสำนวนภาษาอังกฤษที่บอกว่า “Everything happens for a reason” สิ่งที่เกิดขึ้นก็มีเหตุผลรองรับเช่นกันในเรื่องราวของบอม
“คือตอนนั้นเปลี่ยนงานใหม่พอดี และหัวหน้าในแผนก เขาเป็นกรรมการตอนที่ไปแข่งเมื่อปี 2018 คือตอนนั้นก็คิดเลยว่า เราอยากแข่ง และพี่เขาน่าจะช่วยสนับสนุนเราได้ ก็บอกเขาไปเลยตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์งานว่า ‘อยากแข่งทำกาแฟ จะช่วยสนับสนุนได้ไหม?’
“จริงๆ คือเข้ามาทำงานบริษัทใหม่ ไม่ได้เป็นแล้วบาริสตา มาทำฝ่ายขายแทน ก็คือไม่ได้ชงแล้วกาแฟ เพราะฉะนั้น ถ้าจะได้ชงกาแฟแบบจริงจังก็ต้องไปแข่งเท่านั้น”
ด้วยวัยใกล้ 30 บอมยอมรับว่า ในตอนนั้นเขาคิดถึงแค่เรื่องแพสชันอย่างเดียวไม่ได้ เขาต้องคิดถึงชีวิตตัวเองด้วย การเปลี่ยนมาทำงานออฟฟิศก็เพื่อความมั่งคงของตัวเอง แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาจริงจังกับการแข่งขันชงกาแฟมากแบบไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต เพราะคือทางเพียงไม่กี่ทางที่ทำให้เขามีพลังเดินหน้าล่าฝันต่อในเส้นทางที่เขารัก
เพื่อแสดงออกถึงแพสชันในการลงแข่งขันในครั้งแรกในปี 2022 เขาจึงนำเสนอกาแฟด้วยเรื่องราวที่แสดงถึงตัวตนของเขาให้ได้มากที่สุด
“ในการแข่งขันจะมีรอบนึงเรียกว่าโอเพนเซอร์วิส คือเราจะต้องเตรียมกาแฟไปเอง คิดคอนเซปต์นำเสนอไปเอง ตอนนั้นยังไม่ได้มีประสบการณ์เยอะ ก็คิดแค่ว่าเลือกกาแฟที่เรากินแล้วชอบที่สุดแค่นั้นเลย คิดแค่ว่ากินกาแฟตัวนี้แล้วขนลุก เรามีความสุขกับมัน อยากนำเสนอออกไปแค่นั้นเลย ก็ได้กาแฟจากโคลอมเบียมา”
“ส่วนคอนเซปต์คือเราจับกาแฟไปคู่กับดนตรี เพราะตอนมหาวิทยาลัยเคยไปทำงานแบ็กสเตจให้งานดนตรี เราก็คิดคอนเซปต์ว่า การทำกาแฟสักแก้วไม่ใช่มีแค่เบื้องหน้าคือคนชง แต่มีคนเบื้องหลังคนปลูก คนคั่ว เหมือนกับงานดนตรี ไม่ได้มีแค่นักดนตรีข้างหน้า แต่มีทีมงานข้างหลังที่ช่วยเหลือกันอีกมาก ก็จับเรื่องราวนี้มาเชื่อมโยงกัน
“เรานำเสนอประมาณว่า ความเปรี้ยวหนักๆ ก็เหมือนคาแรกเตอร์ของเพลงร็อก รสชาติที่เบาลงมาหน่อยก็เหมือนเพลงแจ๊ซ ความรู้สึกในการชิมกาแฟก็เหมือนท่อนต่างๆ ของเพลง เช่น กลิ่นอโรมาที่นำมาก่อนก็เหมือนกับช่วงอินโทรของเพลงประมาณนั้น และปิดท้ายว่า กาแฟที่ได้ทำจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีคนปลูก คนคั่วเบื้องหลัง เหมือนกับการแสดงดนตรีที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีทีมงานแบ็กสเตจ
“นี่คือคอนเซปต์ที่ชอบมากที่สุดแล้ว จนถึงทุกวันนี้ก็ยังรักมากที่สุด รู้สึกว่านี่แหละตัวตนของเราจริงๆ เป็นสิ่งที่เราอยากทำ เหมือนกับได้บอกโลกว่านี่คือตัวเรา”
“แล้วตอนนั้นได้อันดับเท่าไหร่?” … “ได้ที่ 7 เขาเอาเข้ารอบ 6 คน” คำตอบของบอมเรียกเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง
แชมป์ประเทศไทย
จริงๆ แล้ว ผลงานของบอมในรอบโอเพนเซอร์วิสยอดเยี่ยมติด 1 ใน 6 แต่การแข่งขันไม่ได้มีเพียงรอบเดียว เพราะยังมีการแข่งขันทำกาแฟจากส่วนกลาง ซึ่งมีจะมีกาแฟให้มา และผู้เข้าแข่งขันมีเวลา 40 นาที เพื่อลองหาสูตรของกาแฟด้วยตัวเองในการชงออกมาให้มีรสชาติดีที่สุด ซึ่งในส่วนนี้เขาได้อันดับ 3 จากท้าย ทำให้ต้องตกรอบไป
“ฝังใจมาก ตอนหลังแข่งท้อแท้ รู้สึกล้มเหลวเลย ยิ่งพอไปดูคะแนนหลังจากแข่งจบ เห็นว่าจริงๆ คะแนนเราห่างจากการเข้ารอบแค่ 1.3 คะแนน มันนิดเดียวเองนะ ถ้าปีหน้าทำได้ดีกว่านี้ เราเข้ารอบได้แน่ ก็ตั้งใจเลยว่าปีหน้าจะกลับมาแข่ง จะมาเอาคืนตรงนี้ให้ได้”
บอมเล่าว่า เขาซ้อมหนักขึ้น วางแผนให้ชัดเจนมากขึ้น การกลับมาแข่งขันในปี 2023 เขาสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ล้างตาจากปีที่แล้วได้สำเร็จ ก่อนจะจบการแข่งขันในอันดับที่ 5 ของรายการ
“ตอนนั้นโล่งมากเลยนะ เพราะการตกรอบในปี 2022 เป็นฝันร้ายของตัวเองเลย พอได้เข้ารอบชิงก็ไม่ได้สนแล้วว่าจะได้แชมป์ไหม คือพอใจมากกับตัวเอง”
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างกลับพลิกผัน เพราะแทนที่การขยับเข้าใกล้แชมป์ประเทศไทยมากขึ้น จะช่วยปลุกไฟในการแข่งขันมากกว่าเดิม แต่กลับทำให้บอมเจอกับภาวะปัญหาทางสุขภาพจิตเป็นครั้งแรก
“เหมือนที่เคยบอกว่า อยากเดินในเส้นทางที่จะพาตัวเราไปได้ไกลที่สุด ตอนนั้นก็แข่งระดับประเทศได้ที่ 5 เลยนะ แต่รู้สึกว่าไม่มีใครจดจำเราได้เลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แค่รู้สึกเหมือนไม่มีตัวตนเลย ตอนนั้นก็ตัดสินใจเลยว่า ไม่แข่งแล้ว ปีหน้า ไม่เอาแล้ว”
“แต่หลังจากนั้นได้ไปดูงาน World Coffee Championships 2023 ที่ไทเป ดูเขาแข่งขันกัน ตอนเขาประกาศรายชื่อคนเข้ารอบสุดท้าย แค่คนเข้ารอบนะ ไม่ใช่คนชนะเลิศ ตัวเรายังแบบน้ำตาซึมอ่ะ อยากจะไปยืนอยู่บนนั้นบ้าง ซึ่งถ้าจะได้ร่วมแข่งขันรายการนี้ ก็ต้องเป็นแชมป์ประเทศให้ได้ ก็เหมือนได้ไฟกลับมาใหม่อีกครั้ง”
ประกอบกับการแข่งขันในปี 2024 คือครั้งแรกที่บอมมีทีมสนับสนุนอย่างจริงจัง หลังจากก่อนหน้านี้เขาต้องเดินหน้าลุยด้วยตัวเองเป็นหลัก แต่คราวนี้เขามีคนคอยวางแผนให้ ทำให้คราวนี้เขาตั้งเป้าอย่างถึงที่สุดที่จะคว้าตำแหน่งแชมป์มาครองให้ได้
“ตอนซ้อมก็ทำกาแฟให้โค้ชชิม โค้ชก็บอกว่าแชมเปี้ยน และเราชิมกาแฟก็รู้สึกว่ากาแฟที่ทำวันนี้อร่อยมาก ก็คิดว่าถ้าไม่ทำอะไรผิดพลาด เราต้องได้แชมป์แน่ๆ”
ไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น สุดท้ายชื่อของ กฤตนัย คงธนารักษ์ ก็ได้รับการประกาศออกมาในฐานะผู้ชนะของ Thailand National Brewers Championships ประจำปีนี้
“เหมือนหยุดหายใจเลย” บอมเล่าถึงบรรยากาศตอนได้ยินชื่อตัวเองในฐานะผู้ชนะ “มันคือความสำเร็จนะ เรารู้สึกว่าทุกความพยายามที่ทำมา มันตอบแทนแล้ว อะไรที่อยู่บนบ่าของเราถูกปลดลงไปเยอะ”
ชีวิตกับกาแฟ
การไล่ล่าตำแหน่งแชมป์ในการแข่งขันอาจเป็นแรงผลักดันสำคัญที่พาบอมเดินทางมาถึงจุดนี้ แต่การเดินทางที่ผ่านมาก็เช่นกัน จากเด็กหนุ่มที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับกาแฟ วันนี้เขาไม่ใช่แชมป์ดริปกาแฟของประเทศไทยเท่านั้น แต่ทุกก้าวบนเส้นทางสายนี้ทำให้เขาเข้าใจถึงวิถีทางการใช้ชีวิตของตัวเองมากขึ้น และมีความสุขกับชีวิตได้ยิ่งกว่าเดิม
“คิดว่ากลับมารักตัวเองมากขึ้นนะ เมื่อก่อนคิดว่าจะประสบความสำเร็จต้องดิ้นรนสู้ตายด้วยตัวคนเดียว แต่ชีวิตมีคนอีกเป็นล้าน เราไม่มีทางสำเร็จด้วยตัวคนเดียว เราต้องการความช่วยเหลือ และสักวันจะมีคนที่เข้าใจเรา
“เราขอบคุณกาแฟมากๆ นะ กาแฟคือสิ่งที่เรารัก อยากอยู่กับมัน ผมไม่ตัดสินนะว่ากาแฟดีหรือไม่ดี
สิ่งหนึ่งที่อยากบอกคือทุกคนในกระบวนการทำกาแฟจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทุกคนสำคัญหมด และอยากให้ทุกคนเห็นอกเห็นใจกัน”
“สำหรับเรา กาแฟไม่มีดีหรือแย่ แค่มีหน้าที่ของมัน บางคนดูถูกกาแฟโรบัสตาแต่เราก็มองว่า หน้าที่ของมันคือการเป็นกาแฟกระป๋อง แต่ไม่ได้หมายความว่า สู้กาแฟพิเศษๆ ไม่ได้ เช่นกันไม่ได้หมายความว่า คนกินกาแฟที่แท้จริงจะต้องซื้อกาแฟราคาแพงเท่านั้น”
“สุดท้ายคุณจะกินกาแฟดำ หรือกาแฟใส่นมข้มหวาน ก็แล้วแต่ ไม่มีถูกไม่มีผิด เราคิดว่าความคิดนี้คือเรื่องที่ดีนะ การที่เราไม่ตัดสิน ทำให้เรายังสนุกกับกาแฟมาจนถึงทุกวันนี้”
คำตอบของบอมพาให้เราคิดอะไรได้หลายอย่าง แต่ก่อนจะปิดบทสนทนา เราถามบอมว่า “ถ้าเปรียบกาแฟกับชีวิตมนุษย์ ตัวเขาได้เห็นอะไรบ้าง?” แชมป์ดริปกาแฟของไทยคนล่าสุดตอบคำถามนี้ว่า
“มันก็พูดลำบากนะ แต่เอาเป็นว่า กาแฟก็มีความยากของมัน แต่ถ้าเราจะทำให้ง่ายก็ง่ายนะ รู้สึกเหมือนมีความยืดหยุ่นประมาณนั้น
“กาแฟมีความซับซ้อนมากๆ ถ้าเรามองหาความซับซ้อนจากมัน กาแฟยังมีสิ่งที่เราต้องค้นหาอีกเยอะ แต่ถ้าคุณจะมองกาแฟเป็นแค่กาแฟ เป็นเครื่องดื่ม ก็เป็นแค่นั้น และไม่ได้ผิดอะไรด้วยที่จะมองแบบนั้น”
นี่อาจเป็นครั้งที่ร้อยในชีวิตที่ผมได้พูดคุยกับผู้ชายที่ชื่อ กฤตนัย คงธนารักษ์ แต่ไม่มีครั้งไหนที่มีความหมายและลึกซึ้งเท่าครั้งนี้ ผมนึกถึงวันที่เรารู้จักกันครั้งแรกตั้งแต่ยังเป็นเพียงนักเรียนชาวหัวเกรียน
กับวันนี้ที่เขาพูดแง่มุมของชีวิตผ่านเมล็ดกาแฟ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองคิดไม่ผิดที่พูดคุยกับผู้ชายคนนี้ แม้ว่าในความจริงมันคือการตื่นมาทำงานตอนเช้าในวันอาทิตย์ก็ตาม (ฮา)
แต่ก็เหมือนที่บอมพูดไว้ว่า สุดท้ายขึ้นอยู่กับมุมมองของเราในการใช้ชีวิต ในวันนี้ผมได้เห็นชีวิตของเพื่อนคนหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงและประสบความสำเร็จกับเมล็ดพันธุ์เล็กๆ แต่ขณะเดียวกันเมล็ดกาแฟของดีที่บอมตั้งใจนำมาให้เราชิมวันนี้ ก็มีรูปร่างเหมือนกับเมล็ดกาแฟแก้วละ 50 บาทที่ผมดื่มเป็นประจำก่อนไปทำงานทุกเช้า หากไม่บอกรายละเอียดของสายพันธุ์ คนไร้ความรู้ด้านกาแฟแบบผมคงแยกอะไรไม่ออก
เมล็ดกาแฟก็คือเมล็ดกาแฟอยู่วันยันค่ำ แต่เราจะมองเมล็ดกาแฟแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับเรา นี่คือสิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากบทสนทนาครั้งนี้ และหากเปลี่ยนคำว่า “เมล็ดกาแฟ” เป็นคำว่า “ชีวิต” ผมก็ไม่คิดว่า ความหมายของประโยคจะเปลี่ยนไปมากนัก
บางทีนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมได้รับจากเพื่อนคนนี้
เอื้อเฟื้อสถานที่
COF AND COW at Sena Nikhom
Map: https://maps.app.goo.gl/frLe5qCpSxMGG8727
เปิดบริการทุกวัน เวลา 09.00-18.00 น.
Facebook: COF AND COW
Instagram: cofandcow