Me, Myself & I
เก็บตกความคิด ซิน-ทศพร อาชวานันทกุล สู่การเป็นศิลปินอิสระและความสุขที่ขึ้นกับตัวเอง
- ชวนซิน-ทศพร อาชวานันทกุล พูดคุยถึงการเป็นศิลปินอิสระผู้ดูแลตัวเองตั้งแต่เบื้องหน้าถึงเบื้องหลัง และทบทวนเส้นทางที่ผ่านมาจากมือใหม่ที่ตัวสั่นบนเวทีจนมีก้าวย่างที่มั่นคงทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัวในวันนี้
เก็บตกความคิดของซิน-ทศพร อาชวานันทกุล ศิลปินหน้าหวานผู้มีเสียงทุ้มเปี่ยมเสน่ห์ กับการเติบโตระหว่างทางกว่า 10 ปีในวงการ วันนี้ซินกลายเป็นศิลปินอิสระที่จัดการงานเองแทบทุกอย่างตั้งแต่เบื้องหน้าถึงเบื้องหลัง ตั้งแต่ทำเพลงจนถึง Graphic Design กับ Costume Design และตั้งเป้าหมายเพียงแค่อยากทำงานอย่างมีความสุข
จุดเริ่มต้นอาชีพศิลปินมาจากเหตุการณ์เล็กๆ ซึ่งซินเช่าสตูดิโออัดเดโมเอง แล้วได้คำแนะนำจากผู้ดูแลห้องอัดว่า ควรส่งเดโมไปหาค่ายเพลง
ถ้าพี่ที่ห้องอัดไม่แนะนำแบบนั้น วันนี้จะมาเป็นนักร้องไหม - เราถาม
“ถ้ายังไม่ได้เป็นก็จะพยายามอยู่ เพราะเราอยากทำเพลง อยากแต่งเพลง อยากอยู่ในห้องอัด เรารู้ว่าตัวเองชอบทำอะไรบ้าง แล้วปลายทางของสิ่งที่ชอบทั้งหมดคือการเป็นนักร้อง”
ผ่านพ้นไปกว่าทศวรรษกับเส้นทางที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง จากเด็กขี้อายเติบโตเป็นศิลปินผู้คิดว่าตัวเองยังเกษียณจากการทำเพลงไม่ได้ และได้ให้สัมภาษณ์อย่างคนที่เห็นคุณค่าในความสุขที่นิยามเองอย่างสุดใจ
13 Years and A Lot More To Come…
พอแต่งเพลงได้ตั้งแต่อายุ 14 ปี คิดว่าตัวเองเป็นคนมีพรสวรรค์ไหม
บอกไม่ได้ว่าเป็นพรสวรรค์หรือเปล่า อยู่ที่การฟังมากกว่า เพราะเราชอบฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก จุดเริ่มต้นก็เป็นความบังเอิญ เราอยากให้ของขวัญตัวเองในวันเกิดอายุ 14 ปี เลยลองเขียนเพลงดู ตอนนั้นก็ไม่ได้มีใครมาสอนเรา
ตั้งแต่นั้นมาแต่งเพลงเกี่ยวกับอะไร
ความรู้สึกของตัวเอง สิ่งที่ในชีวิตประจำวันไม่ได้พูด สิ่งที่เราอยากจะบอกใครบางคน หรือเป็นบางเหตุการณ์ที่เราไม่ได้พูดกับใครหรือระบายกับใคร เพลงของซินจะมาจากตัวเองซะมาก เพราะฉะนั้นเรารู้สึกมีอิสระในการทำงานมาตลอด
แล้วอย่างเพลงที่อยากบอกกับคนอื่น พอแต่งเสร็จแล้วได้เอาไปให้เขาฟังไหม
(ส่ายหน้า) ก็ปล่อยออกมาเป็นเพลงที่ทุกคนได้ฟังเนี่ยแหละ คิดว่าเขาอาจจะได้ยิน แต่คงไม่รู้ว่าเราเขียนให้เขา เราคิดว่าเราเขียนจบก็โอเคแล้ว ไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ ไม่รู้สึกว่าจะต้องไปรู้บทสรุปขนาดนั้น เพราะว่าทุกคนก็ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันกัน
เคยมีคนทักไหมว่าเป็นเพลงรักที่ติดเศร้า
ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น เพลงของซินส่วนใหญ่เป็นอารมณ์สีเทาๆ ถึงแม้มันจะเป็นเพลงที่มีความสุขแต่มันก็ติดความหม่น หรือถ้าเพลงไหนเป็นเพลงเศร้าก็ไม่ได้เศร้าแบบขาดสติ เป็นความเศร้าที่มีความเข้าใจอยู่ในนั้น
ส่วนตัวแล้วจัดการกับความเศร้ายังไง
ก็จะนอนไปเลย รู้สึกว่าตื่นมาก็จะดีขึ้น แล้วถ้าไม่ได้นอนอาจจะเปลี่ยนบรรยากาศไปดูหนัง ฟังเพลง หรือไปอยู่กับเพื่อน
แต่สำหรับบางคน ต่อให้เอาตัวเองไปอยู่กับเพื่อน ในหัวก็คิดเรื่องอื่นอยู่ดีนะ
ใช่ๆ เราว่าพวกนี้ต้องอาศัยประสบการณ์ พอเราเจอเหตุการณ์หลายๆ อย่างมากขึ้น ก็จะรู้วิธีในการจัดการได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างสมัยก่อนเราเป็นคนคิดเยอะและคิดมาก (เน้นเสียง) แต่พอโตขึ้น เรื่องพวกนั้นจะน้อยลง เพราะรู้แล้วว่าอันนี้ไม่จำเป็นต้องคิดก็ได้ แค่วางมันลง
รวมถึงการอ่านหนังสือหรือฟังคนที่เคยผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว เราว่ามันก็ช่วย ต้องเปิดรับจากสิ่งข้างนอกรวมถึงเก็บมาคุยกับตัวเอง
การคุยกับตัวเองสำคัญยังไง
เราจะเข้าใจมากขึ้นและจะเศร้าน้อยลง เราหาเหตุและผลในสถานการณ์นั้น แต่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในนั้นเพื่อจะรู้สึกกับมันอีกรอบนะ มันคือการสำรวจมากกว่าว่าทำไมวันนั้นเราถึงทำแบบนั้น แล้วทำไมเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น
เล่าเรื่องสมัยเดบิวต์ใหม่ๆ ให้ฟังหน่อย
ตอนอยู่วง Singular เหมือนเป็นช่วงทดลอง มันเป็นครั้งแรกของเราหมดแทบทุกอย่าง อย่างการแสดงบนเวที ถ้าใครได้ดูโชว์แรกของซิน นั่นคือการขึ้นเวทีคอนเสิร์ตครั้งแรกในชีวิต แล้วการซ้อมกับหน้างานจริง มันคนละเรื่องเลย บอกไม่ถูก พอก้าวขาขึ้นไปแล้ว อ๋อ มันเป็นอย่างงี้นี่เอง มันจะสั่นประมาณนี้ (หัวเราะ)
แล้วหยุดสั่นเมื่อไหร่
ประมาณ 5 ปีหลังนี้ นานนะ ทุกอย่างเป็นโลกใบใหม่ เราก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ จนทุกวันนี้โอเคขึ้นมาก เพราะซินไม่ใช่คนกล้าแสดงออกมาตั้งแต่เด็กแล้ว เวลาไปพูดหน้าชั้นก็มือไม้สั่น
ถ้ามันขัดกับความเป็นเรา ทำไมถึงยังเป็นนักร้องมาจน 10 กว่าปี
เราชอบร้องเพลง ชอบแต่งเพลง (ยิ้ม) ตอนนั้นไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนั้น ช่วงแรกสุดเลยยังรู้สึก Overwhelmed (รู้สึกมาก) กับทุกอย่างรอบตัว
รู้สึกยังไงที่คนยังติดเรียกว่า SIN Singular อยู่
แรกๆ อึดอัด แต่เราว่ามันเป็นธรรมดา มันเป็นการเปลี่ยนผ่านจากวงมาเป็นศิลปินเดี่ยว และก็เป็นแค่ตอนนั้น หลังจากนั้นมาใครอยากเรียกเราว่า SIN เฉยๆ หรือ SIN Singular เราไม่ซีเรียสแล้ว เพราะทั้งหมดนั้นคือตัวเรา ไม่ว่าเขาจะรู้จักเราจากตรงไหน มันก็คือตัวเราอยู่ดี
ทำไมออกมาเป็นศิลปินอิสระ
เมื่อก่อนตอนที่อยู่ค่ายกว่าแต่ละ Process จะจบก็ใช้เวลานานแบบที่เราหาสาเหตุไม่ได้ และตั้งใจอยู่แล้วว่าอยากลองเป็นศิลปินอิสระ เพราะอยู่ค่ายมา 10 ปีแล้ว อีกอย่างเพราะเราทำอะไรหลายอย่างได้ด้วยตัวเองมาตั้งแต่ตอนอยู่กับค่าย พอหมดสัญญาวันที่ 31 ธันวาคม ก่อนโควิด 1 เดือนพอดี เราก็ไม่ต่อสัญญา ลองออกมาทำเอง ดูว่ามันจะเร็วขึ้นไหม จะง่ายขึ้นไหม
แล้วมันเป็นอย่างที่คิดไหม
เป็นนะ แต่เหนื่อยขึ้นมากๆ (เน้น) ศิลปินอิสระต้องดูแลตัวเองทุกอย่างทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง งานเบื้องหลังก็มีหลาย Process ที่คนทั่วไปไม่ได้รับรู้ อย่างการติดต่อกับสื่อ หรือถ้าเราจะทำแผ่น CD ก็ต้องพูดคุยกับซัพพลายเออร์
นี่เราลดขั้นตอนไปแล้วนะ เพราะเราทำ Graphic Design กับ Costume Design เองได้ สมมติศิลปินบางคนกว่าจะไปดีลกับฝ่ายคอสตูม ดีลกับผู้กำกับ MV พอเลือกนักแสดงมาแล้วก็ต้องโทร.ไปบรีฟช่างแต่งหน้าว่าจะแต่งหน้าให้นักแสดงคนนี้ยังไงอีก มันละเอียดขนาดนั้น เพราะฉะนั้นก็ต้องแลกกับความเหนื่อย แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือขั้นตอนลดลง และเราสบายใจว่างานที่ออกมา มันเป็นอย่างที่เราต้องการจริงๆ
เลือกคนมาทำงานด้วยยังไง
เราจะดูว่าเขาฟังเพลงประมาณไหน หรือเคยทำเพลงประมาณไหน แล้วเขาสนใจอยากจะทำเพลงอะไร และเลือกคนที่น่าจะไปด้วยกันกับเราได้ เข้ากันในที่นี้คือไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เหมือนกับเรา แต่ว่ามีมายด์เซ็ต หรือมีอะไรบางอย่างที่เก็ตกัน เหมือนการเลือกกลุ่มเพื่อนล่ะมั้ง
เราสามารถลองทำงานกับใครก็ได้นะ แต่ถ้าลองแล้วไม่ใช่ มันก็คือไม่ใช่ เราว่าอยู่ที่การกระทำของทั้งสองฝ่ายมากกว่า และต้องดูกันยาวๆ
พอออกสักเพลงมาแล้ว ตามดูคอมเมนต์ไหม
เราโฟกัสสิ่งที่เราทำได้มากกว่า ทุกเพลงที่ปล่อยออกมา เราโอเคกับมันแล้ว ส่วนถ้าฟีดแบ็กไหนมันจะเข้าตาเราเอง ก็คือเห็นอันนั้น อย่างเราเข้ายูทูบก็จะเห็นบ้าง แต่ไม่ได้ไปขวนขวายว่าใครคิดยังไงกับฉันบ้าง เพราะระหว่างคอมเมนต์ที่ดีกับคอมเมนต์ที่ไม่ดี เราจะรู้สึกหลายๆ อย่างกับคอมเมนต์ที่ไม่ดีมากกว่าอยู่แล้ว ซินว่ามันเป็นธรรมดาของคน
คาดหวังให้เพลงดังหรือเปล่า
สมัยก่อนช่วงที่เด็กกว่านี้มีบางเพลงคาดหวังมาก เราอาจจะรู้ว่ามันดีกว่าเพลงบางเพลงที่เคยดังของเราด้วยซ้ำ แต่พอปล่อยไปแล้วไม่ได้มีคนฟังหรือคนชอบเท่าที่นึกไว้ โห (จิ๊ปาก) มันมีหลายตัวแปรมากเลยว่าทำไมเพลงเพลงหนึ่งถึงดังขึ้นมาได้ ไม่ใช่ว่าเราทำดีที่สุดแล้วจะได้ดั่งใจทุกอย่าง ส่วนตอนนี้ก็ให้เป็นหน้าที่ของคนฟังดีกว่า
ทำไมถึงได้ไปเดบิวต์ที่ญี่ปุ่น
เราเคยทำเพลงหนึ่งตอนอยู่ค่าย White Music มีเวอร์ชันภาษาไทยด้วย ภาษาญี่ปุ่นด้วย คนทางนู้นเขาได้ฟังก็สนใจ เลยโทร.มาถามว่าอยากออกเพลงที่ญี่ปุ่นไหม แต่ว่าเราต้องเป็นคนควบคุมการผลิตเองนะ เขาจะช่วยจัดจำหน่ายเฉยๆ
เราก็อยากทำสิ ญี่ปุ่นอยู่ในชีวิตประจำวันเรามาตลอดตั้งแต่เด็ก ทั้งเกม เพลง หนัง อนิเมะ ซีรีส์ ถ้าเป็นยุคเราซีรีส์ญี่ปุ่นฮิตเหมือนซีรีส์เกาหลียุคนี้เลยแหละ งานนี้ไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องประสบความสำเร็จ ทำเพราะชอบล้วนๆ
มองว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง
เรียกว่าประสบความสำเร็จตามที่อยากทำแล้วกัน ไม่รู้ว่าคนอื่นนิยามคำว่าประสบความสำเร็จยังไง แต่สำหรับเรา ครั้งหนึ่งในชีวิตอยากไปเล่นที่ญี่ปุ่นก็ได้ไปแล้ว อยากวางอัลบั้มที่นู่นแล้วมีคนซื้อก็ได้ทำแล้ว เรามี Shelf ของเราเอง มีไปแอบดูว่ามีใครมาฟังเพลงเราบ้าง เห็นทั้งฝรั่ง คนญี่ปุ่น ปลื้มปริ่ม (ยิ้ม)
ช่องทางการฟังเพลงตอนนี้ต่างจากสมัยก่อนขนาดไหน
โอ้ ต่างมาก ตอนที่เราออกเพลงแรกเป็นยุคแรกๆ ของยูทูบ เอาไว้แค่ให้คนฟังเพลงแล้วก็ดู MV แค่นั้นเลย มันยังไม่ได้มีระบบการ Monetization ไม่มีโฆษณา ตอนนั้นยังเป็นยุค CD ช่วงนั้นประมาณไอโฟน 3-4 พอยุคนี้มี Streaming คนฟังก็จะเข้าไปหาเพลงเราได้ง่ายขึ้นมาก
ปรับตัวกับยุค Digital Content ยังไง
เราก็ทำคอนเทนต์ที่เป็นสไตล์เรา แต่ว่าเข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มใหม่ๆ เดี๋ยวนี้เขามีติ๊กต่งติ๊กตอกกันใช่ไหม เราอาจจะมาช้าหน่อย แต่ก็มีจนได้ แต่เราก็ไม่ได้เต้น
ซินมองมันเป็นอีกช่องทางหนึ่งให้คนเห็นเรา เขาอาจจะดูไลฟ์สไตล์เราก่อนแล้วค่อยฟังเพลง หรืออาจจะรู้จักจากเพลงแล้วค่อยมาดูไลฟ์สไตล์เราก็ได้
หาไอเดียใหม่ๆ จากไหนมาใช้แต่งเพลง
ล่าสุดเราสวมคาแรกเตอร์เป็นคนอื่นไปเลย แล้วเขียนเรื่องจากคาแรกเตอร์นั้นๆ เท่าที่เคยเขียนก็เป็นคนที่เรารู้จัก เราเคยคุยกับเขา เขาก็เล่าเรื่องให้เราฟังแล้วเรารู้สึกว่า เฮ้ย อันนี้เป็นวิธีคิดที่เราอยากเขียน หรือเพลง ‘กลับมาได้นะ’ ก็เป็นการสมมติคาแรกเตอร์ ว่าอยากให้คนที่เลิกกับเราไปแล้วกลับมา เราว่าน่าสนใจดีเลยลองจินตนาการสถานการณ์ดูว่าจะเป็นยังไง สนุกดีนะ เราชอบลองหลายอย่าง
ตอนนี้มีแฟนไหม
ไม่มี ไม่ได้มองหาขนาดนั้น แล้วก็ไม่ได้เจอใครด้วย สมมติว่าคุยกับใครก็จะคุยเลเวลที่ศึกษากันเฉยๆ ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาเป็นแฟน แต่ถ้ามีแฟนสักคนต้องเป็นคนที่เข้ามาส่งเสริมให้ทั้งสองคนดีขึ้นกว่าเดิม ถ้ามีแล้วไม่ดีก็ไม่ต้องมี เพราะเราอยู่คนเดียวก็มีความสุขได้
งั้นถ้าต้องโสดไปตลอดชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
ไม่เลย
เคยวางแผนเกษียณไหม
มีๆ ถ้ารู้สึกว่าไม่มีเรื่องที่อยากเล่าด้วยตัวเองแล้ว ก็คิดไว้ว่าคงเป็นวันนั้น แล้วอาจจะทำให้คนอื่น ไปเป็นโปรดิวเซอร์หรือครีเอทีฟ เพราะเราชอบทำหลายอย่างที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมดนตรี
งั้นชีวิตนี้จะขาดดนตรีได้หรือเปล่า
(ส่ายหน้า) ไม่ได้หรอก
มีแนวเพลงที่อยากลองไหม แล้วอยากทำกับใคร
โอ้ย ได้ทุกแนว ยิ่งต่างจากที่เป็นตัวเราก็จะยิ่งสนุก ส่วนอยากทำเพลงกับใคร (คิดนาน) มี แต่ไม่บอกดีกว่า เพราะอาจเกิดขึ้นจริงในอนาคต