มุญจะนะ

จากใจคนทำธุรกิจคงต้องบอกว่ามีความยากอยู่ในทุกขั้นตอน ยิ่งการหาทำเล บางคนก็หาแล้วหาอีก หรือมีเหตุให้ต้องเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เหมี่ยวเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาก่อน กว่าจะได้ตึกนี้มาในจังหวะเวลาที่เหมาะสมจนเกิดเป็น มุญจะนะ ทีบาร์ ได้ในที่สุด

ไม่มีอะไรเป็นอย่างใจเราคิดได้เสมอไป คือสิ่งที่เหมี่ยวได้เรียนรู้ตั้งแต่เริ่ม เลยเป็นอีกหนึ่งที่มาของชื่อร้าน MUN CHA NA – มุญจะนะ (ภาษาบาลี) ที่หมายถึง สละ ปล่อยวาง ไม่ยึดติด เพราะเธอเองก็เชื่อว่านั่นเป็นหลักของการใช้ชีวิตในทุกสถานการณ์

ส่วนโลโก้ร้านที่เราเห็นว่าเป็นเส้นขดวนก็คงเดาได้ไม่ยาก เหมี่ยวเฉลยว่า “เส้นที่เห็นเป็นมูฟเมนต์ของการตีมัทฉะ แต่เอาจริงๆ มันก็เหมือนกับการไหลเวียนของความคิดๆ นึง ด้วยนั่นแหละ” สำหรับเธอสถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนพื้นที่ที่แง้มประตูรอสิ่งต่างๆ เข้ามาเติมเต็ม ในขณะเดียวกันก็พร้อมเติมเต็มความสุข โอบรับความฝัน มอบความอิ่มเอมให้กับผู้คนกลับไปเช่นกัน

พื้นที่ในฝัน

การตกแต่งของที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นและดึงดูดผู้คนเข้ามาอยู่เรื่อยๆ โทนสีแดงเขียวสะดุดตา เพดานสูงโปร่ง ร่องรอยผนังเปลือยเก่า แสงเงาลอดผ่านหน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์ไม้ ของวินเทจสะสม ภาพศิลปะ ดอกไม้ที่แม่ตัดมาให้จากสวน ทั้งหมดช่วยแต่งแต้มสีสันพื้นที่ตรงนี้ให้ดูมีชีวิตชีวา เชื้อเชิญให้รู้สึกอยากเดินเข้ามาดูด้านใน

แต่เดิมตึกนี้ก็มีความเท่ความเก๋อยู่เป็นทุน เหมี่ยวเองก็ไม่อยากเติมแต่งสะจนเสียเสน่ห์ของตึกเก่า จึงเน้นเติมมากกว่าตัด เลือกคงโครงสร้างเดิมไว้ให้เห็นบางส่วน แล้วค่อยๆ ใส่ดีเทลเพิ่มเข้าไปทีละนิด จัดวางองค์ประกอบไปตามความรู้สึก จนออกมาเป็นสไตล์ที่ชอบ ให้บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง น่าชวนเพื่อนมานั่งจอย ท่ามกลางความหอมกรุ่นของชา

นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ให้เราได้เดินเสพงานอาร์ตแบบเพลินๆ โซนอาร์ตแกลเลอรีชั้น 2 ที่จะจัดแสดงงานหมุนเวียนไปเรื่อยๆ เพราะอีกหนึ่งความตั้งใจของเธอคือ อยากมีพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะของตัวเอง และสนับสนุนกลุ่มศิลปินที่มีความฝันไปด้วย เธอเอ่ยปากว่าหากใครสนใจอยากโชว์ฝีไม้ลายมือสามารถมาติดต่อเพื่อขอใช้พื้นที่ตรงนี้ได้เลย

เรื่องชาเราจริงจัง

ทางร้านยังมีกิมมิกน่ารักๆ อย่างการตั้งชื่อเมนูชาเขียวให้คนเข้าใจและนึกรสชาติของชาได้ง่ายขึ้น “เราว่ามันง่ายกว่าการมานั่งอธิบายว่าชาตัวไหนเบลนด์กับอะไร” ตามคอนเซปต์ที่เธอวางไว้ตั้งแต่ต้นว่า อยากให้คนเข้าใจว่าการดื่มชาไม่ใช่เรื่องยากหรือซับซ้อนอย่างที่คิด

เหมี่ยวเริ่มเสิร์ฟเมนูซิกเนเจอร์พร้อมอธิบายความแตกต่างแต่ละแก้วให้ฟังว่า ‘มุญจะนะ’ มีความกรีนๆ ขมปลาย ส่วน ‘มูเตลู’ จะมีความนัตตี้ ไม่มีความขม ให้รสสัมผัสปลายลิ้นเหมือนกำลังกินขนมกลีบลำดวนที่มีการอบควันเทียน ในขณะเดียวกันก็ชวนให้สายมูนึกถึงกลิ่นธูปหอมเวลาไปไหว้คำชะโนด เลยได้เป็นที่มาของชื่อเมนูนี้

เรายกให้ ‘ทุ่งศรีเมือง’(ชื่องานเทศกาลประจำปีของอุดร) เป็นแก้วที่ประทับใจเป็นพิเศษ ด้วยความที่แก้วนี้จะได้ความสโมคมากกว่าสองแก้วก่อนหน้า บวกกับรสชาติหอมมันคล้ายกับกำลังกินบักบก (หรืออัลมอนด์อีสาน) คั่ว เลยมัดใจเด็กอีสานอย่างเราที่โตมากับสิ่งนี้แบบอยู่หมัด แล้วยังให้กลิ่นอายเหมือนคั่วเกาลัดเวลาเดินเข้างานทุ่งศรีเมืองอีกด้วย

นอกเหนือจากเครื่องดื่มชื่นใจ ยังมีเมนูขนมสุดเจ๋งอย่าง ‘อีแก้วปิ้ง Croffle’ ครอฟเฟิลชาร์โคลราดด้วยน้ำสลัดของแซนด์วิชโบราณโฮมเมด เวลากินจะได้ทั้งความหวาน ตัดเลี่ยนด้วยความเผ็ดเปรี้ยวปลายๆ เสิร์ฟแบบเสียบไม้ปิ้งไก่ เป็นการหยิบจับความเป็นโลคัลมาผสมผสาน ทำออกมาได้อย่างกลมกล่อมเข้ากันจนน่าแปลกใจ

ถ้าใครกำลังมองหาสถานที่สโลว์ไลฟ์นั่งชิลล์ดูงานศิลปะ หรือนัดเพื่อนมาพบปะพูดคุยกัน ที่นี่ตอบโจทย์เลยล่ะ ยิ่งใครเป็นมัทฉะเลิฟเวอร์ยิ่งห้ามพลาด!