About
RESOUND

Blackheart

‘แซม Blackheart’ ศิลปินที่ชินชากับเพลงพื้นบ้านของพ่อ สู่อัลบั้มที่เติบโตและบอกรักครอบครัว

Beingthere Detour Be myguest FLAVOR Resound art+culture Insights Trends Business Insiders Balance Craftyard News
Read At ONCE
  • คุยกับ แซม Blackheart กับ 1 เดือนก่อนอายุ 20 ย้อนรำลึกชีวิตที่เคยมีเลข 1 นำหน้า วันวานที่โด่งดังจากเพลง ‘ฟีโรโมน’ วันคืนที่ขอออกจากบ้าน และวันนี้ที่ยอมรับในความธรรมดาของตัวเอง

ผมคุยกับ แซม-ชัยพัฒน์ อินทรานุสรณ์ หรือ Blackheart อยู่ในห้องอัดที่เขาใช้เป็นประจำ บทสนทนานำพาข้อมูลให้ค่อยๆ ออกมาจากปากเขาทีละเล็กทีละน้อย

แซมเป็นคนนครสวรรค์ เขาไม่ค่อยกล้าพูดความรู้สึกของตัวเอง ใช้ชีวิตคล้อยตามความต้องการของพ่อแม่ เรียนห้องสายวิทย์ เกรดเฉลี่ย 3.5-3.7 ถือเป็นเด็กไทยพิมพ์นิยมที่ผู้ใหญ่หลายคนคาดหวังอยากให้เป็น แต่ลูกนกก็ต้องมีวันที่สยายปีกออกจากรัง และปีกนั้นมีชื่อว่า ‘ดนตรี’

ตัดภาพมาตอนนี้ แซมย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ได้ 3 ปีแล้ว ไม่ได้มาเพื่อเรียนต่อ อันที่จริงการเรียนต่อก็มีส่วน แต่เป็นเพียงปัจจัยรองที่คงไว้ซึ่งความสบายใจของที่บ้าน ส่วนหลักใหญ่ใจความจริงๆ คือ แซมเลือกเดินสายศิลปินเต็มตัวตามใจรักแล้ว นอกจากนี้ ยังมีเพลงประดับชื่อที่ใครหลายคนอาจจะคุ้นหูผ่านตามาบ้างอย่าง ‘ฟีโรโมน’ เป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของชีวิต และความกดดันที่เคยบังคับตัวเองให้ต้องไปถึงจุดนั้นอีก

ปีนี้แซมอายุกำลังจะ 20 เขารู้ดีว่าตัวเองยังเด็กเกินกว่าจะไปถึงคำว่าประสบความสำเร็จ แต่อย่างน้อยเขาก็โตขึ้นพอจะยอมรับความเจ็บปวดของการเป็นศิลปิน ลุ่มหลงอย่างบริสุทธิ์ใจเหมือนวันแรกที่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ที่บ้าน และหวังว่าจะเติบโตจนถึงสักวันที่การบอกรักคนข้างหลังจะไม่ใช่เรื่องน่าอาย

บทสัมภาษณ์นี้อาจเขียนโดยผม แต่ช่วงท้ายของบทความ คำพูดทั้งหมดเป็นจดหมายรักของแซมถึงคนสำคัญที่สุดของเขา

จากแซม ถึงพ่อกับแม่

Blackheart

ความหลัง (แสงเหนือ)

เห็นบอกว่าเป็นคนนครสวรรค์

ใช่ครับ เกิดและโตที่นั่นเลย

เล่าถึงตัวเองตอนอยู่นครสวรรค์ให้ฟังหน่อยได้ไหม

ผมเป็นเด็กค่อนข้างเก็บตัว อยู่แต่หน้าคอมพ์ ไม่กล้าพูดความรู้สึกของตัวเอง ไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ ด้วยความที่ความชอบของเราไม่เหมือนใคร เราชอบทำเพลง ชอบเสียงดนตรี แต่มันเป็นวัฒนธรรมฮิปฮอป แล้วแถวนั้นไม่มีใครชอบเลย ที่โรงเรียนมีผมกับเพื่อน แค่ 2 คนเองที่ฟัง เวลาผมแร็ปก็จะโดนล้อ โดนแซว โดนทักว่าแร็ปโย่ว (หัวเราะ)

แล้วในฝั่งของครอบครัวล่ะ

(ครุ่นคิด) ผมเติบโตมากับครอบครัวที่ไม่ได้สนับสนุนเรื่องการทำเพลง แต่เขาก็ไม่ได้ห้าม เขาแค่คาดหวังให้ลูกเรียนสูงๆ อยากให้เป็นตำรวจ ทหาร ตอนเด็กๆ ผมก็คล้อยตามนะว่า วันหนึ่งตัวเองคงต้องโตไปเป็นแบบนั้น เขาให้เป็นไรก็เป็น ให้เรียนสายวิทย์ก็เรียน เราไม่ได้มีชุดข้อมูลที่ลึกมากพอจะเลือกเส้นทางได้มากมาย

คนในครอบครัวผมก็เป็นคนธรรมดา พ่อเป็นนักดนตรีนะ แต่เขาก็ไม่ได้ให้ชุดความคิดของการเป็นนักดนตรีกับเรา ส่วนแม่ก็เป็นเกษตรกร

การมีพ่อเป็นนักดนตรี มันส่งผลต่อเราไหม

ผมว่ามันเป็นความเคยชินมากกว่า ตื่นมาเห็นพ่อซ้อมดนตรีก็ไม่ได้มีความสนใจ แต่ถ้าถามว่าส่งผลไหม อืม~ ผมว่าส่งผลครับ ทำให้ผมซึบซับความชอบในดนตรีมา รู้สึกว่ามันทำให้ตัวเองมีเรื่องเซนส์ดนตรี อยู่ดีๆ ก็จับจังหวะได้เอง แต่ก็เล่นเครื่องดนตรีไม่เป็นเลยนะ (หัวเราะ)

คุณพ่อไม่สนับสนุนเหรอ

พ่อผมเป็นนักดนตรีพื้นบ้าน แห่นาคอะไรประมาณนี้ เล่นคีย์บอร์ด เป่าแคน มันคนละแนวกันเลย มันต่างกันเกินกว่าที่จะเข้าใจกันได้ในตอนนั้น

Blackheart

แล้วเด็กที่โตมากับดนตรีพื้นบ้านของคุณพ่อ มาพบกับดนตรีฮิปฮอปได้ยังไง

นั่นน่ะสิ (หัวเราะ) ผมก็งงอยู่

อ๋อ นึกออกละ ก่อนที่จะมีอินเทอร์เน็ต พี่สาวผมจะโหลดเพลงลงแฟลชไดร์ฟจากโรงเรียนมาลงที่คอมพ์ในบ้าน เวลาผมไปเล่นก็จะเปิดเพลงพวกนั้นฟัง เจอเพลงของ Illslick บ้าง ดาจิม บ้าง ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่ามันคือแนวอะไร แต่ฟังแล้วเราโยกตาม ฟังวนอยู่อย่างนั้น เพราะพี่สาวก็ไม่ได้โหลดมาเพิ่ม แต่รู้สึกว่าแนวนี้มันโดนเส้นยังไงไม่รู้ เราอาจจะเกิดมาเพื่อสิ่งนี้รึเปล่า (หัวเราะ)

จนมาเจอกับรายการ Rap is Now อ๋อ แนวนี้เรียกว่าแร็ป แล้วผมก็จำแร็ปจากในรายการมาแร็ปกับเพื่อน แร็ปไปเรื่อยๆ ลึกขึ้นเรื่อยๆ จนได้ไปร่วมรายการ Audio Battle ชื่อว่า ‘สนามเด็กแร็ป’ ให้เราอัดเสียงจากที่บ้านไปแบตเทิลกับคนแปลกหน้าอีกคน

อีกมุมหนึ่ง เห็นบอกว่าพ่อแม่คาดหวังเรื่องเรียน เส้นทางนั้นเป็นยังไงบ้าง

เกรดผมค่อยๆ ตกลงมาเรื่อยๆ เลย ตอน ป.6 ที่ผมเริ่มทำเพลงแรกๆ เกรดเฉลี่ยผมอยู่ที่ 3.9 แต่พอ ม.1 ค่อยๆ ตกลงมาเป็น 3.7 ลงมา 3.6 ลงมา 3.5

แต่เกรดที่ตกลงมาก็ยังถือว่าสูงใช้ได้เลยนะ

ถึงมันจะยังแตะ 3 แต่เรากลับรู้สึกว่าตัวเองอ่อนลงมาก ด้วยความที่ผมเรียนห้องวิทย์ เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคนเก่ง แล้วถ้าเราไม่เก่งตาม เราอาจถูกมองเป็นตัวประหลาดมากกว่านี้

แซมรู้สึกยังไงกับตัวเองในตอนนั้น

ไม่มีความสุขเลย ถ้าย้อนไปได้ผมคงไม่เลือกเรียนห้องวิทย์ แต่มันก็เป็นความคาดหวังของแม่ ถึงเขาจะไม่ได้บอกตรงๆ แต่เขาบอกอยากให้เรียนสูงๆ เรียนเก่งๆ ดูแบบอย่างคนนู้นคนนี้คนนั้น ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรเขานะ ผมเข้าใจในความหวังดีของเขา

แต่ในมุมการทำเพลง ผมชอบตัวเองตอนนั้นมากเลย ทำเพลงทุกวัน วันไหนไม่ได้ทำเพลงจะรู้สึกผิดกับตัวเอง เวลาแม่เรียกไปช่วยงานที่ไร่นา ผมก็จะนั่งคิดเพลงไปด้วย แล้วค่อยกลับมาอัด แต่ด้วยความเด็ก ผมว่าทุกคนน่าจะมีความรู้สึกเขินพ่อแม่เวลาทำอะไรสักอย่างที่เขาอาจจะไม่เข้าใจ การทำเพลงของผมเลยเป็นการแอบอัดซะส่วนใหญ่

พอขึ้น ม.ปลาย เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ผมย้ายขึ้นมากรุงเทพฯ พอดี เราเรียน ม.4 ที่นครสวรรค์ แล้วย้ายมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ

Blackheart

ลุ่มหลง (eyes)

แปลว่าจุดเปลี่ยนแรกของชีวิตคือการย้ายขึ้นมาอยู่กรุงเทพฯ

ใช่ครับ ต้องเกริ่นก่อนว่า ผมรู้จักกับ โอม-สรัล มณีโชติ (SARAN ผู้ชนะเลิศรายการ The Rapper 2020 Civil War) มาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ก็แยกย้ายกันไป ช่วงผมอายุ 17 โอมก็ได้แชมป์ The Rapper พอดี แล้วเหมือนผมทำเพลงเตะตาน้อง โอมเลยทักมาชวนว่า “สนใจมาทำกลุ่มกันไหม มีเพื่อนๆ พี่ๆ ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันอีก 3-4 คน” ผมก็เอาเลย ตอนนั้นรู้สึกว่า โอกาสอะไรมา เราเอาหมด สุดท้ายก็รวมกันเป็นกลุ่มที่มีชื่อว่า ‘ DIEOUT ’

อะไรคือสาเหตุของการตัดสินใจออกมาจากบ้าน

สารภาพตามตรงว่า ตอนนั้นเราอยากออกจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยเอื้อต่อการทำตามความฝัน

ตัดสินใจยากไหม

สำหรับผม มันเป็นการตัดสินใจที่ไม่ยาก แต่ยากที่จะคุยกับที่บ้านมากกว่า ตอนนั้นผมเครียดมาก เพราะเขาคงไม่ให้หรอก เลยให้พี่สาวที่เข้าใจเราประมาณหนึ่งเป็นคนคุยให้

กลายเป็นว่าแม่เข้าใจ เพราะที่ผ่านมาเขาเห็นว่า เรามีพัฒนาการยังไงบ้าง จากที่เราเริ่มทำเล่นๆ อยู่หน้าคอมพ์ เราก็เริ่มมีรายได้มาซื้อกับข้าวเข้าบ้าน ซื้อของให้แม่ ไม่ต้องขอเงินแม่ทุกวัน เขาน่าจะเห็นตรงนั้นเลยยอมให้ไป แต่ก็บอกว่า “อย่าทิ้งเรื่องเรียนละกัน” (แซมหัวเราะเมื่อเลียนเสียงที่แม่พูดกับเขา)

ผมจำได้ว่าแม่ควักเงินให้ไม่ถึงพัน เก้าร้อยกว่าบาทกับเศษอีกนิดหน่อย ตอนนั้นผมกำแล้วบอกกับตัวเองในใจว่า สักวันต้องมีเยอะกว่านี้ แล้วจะเอากลับมาคืนให้หลายเท่าเลย

Blackheart

แล้วคุณพ่อที่เป็นนักดนตรีว่ายังไงบ้าง

ทะเลาะกัน มีปากเสียงค่อนข้างรุนแรงเลยครับ มันเป็นเรื่องของช่วงวัยจริงๆ แหละ รวมถึงช่วงวัยของเราเองด้วย ตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองถูก แต่พอมองย้อนกลับไป เราก็งี่เง่าเองเหมือนกัน ไม่ค่อยฟังเขาเท่าไหร่

จุดเปลี่ยนนี้เปลี่ยนอะไรเราไปบ้าง

ด้วยความที่สภาพแวดล้อมของผมเมื่อก่อน คือการคุยกันถึงเรื่องการเรียนต่อที่ไหนดี ไปเรียนสายไหนดี มหา’ลัยไหนดี แต่ผมไม่มีความคิดนั้นเลยทั้งที่เกรดเราก็ไม่ได้แย่

ระหว่างนั้นเราก็สงสัยในตัวเองว่าจะทำเพลงต่อดีไหม เพื่อนเขาไปไหนต่อไหนกันละ จนการมาที่นี่ทำให้ผมชัดเจนว่าตัวเองจะเดินไปทางไหน รู้ว่าผมต้องทำอะไร

แล้วแซมต้องทำอะไร

ทำให้ตัวเองเติบโตในเส้นทางดนตรีไปเรื่อยๆ ตอนที่ได้ล้านวิวแรกจากเพลง ‘ฟีโรโมน’ ผมโคตรดีใจเลย เอาตรงๆ คิดถึงสิ่งที่จะตามมาแน่นอน รวยเละ! (หัวเราะ) มันมอบโอกาสให้เราเยอะมากๆ จนตั้งตัวไม่ทันเลยก็มี แต่อย่างน้อยมันก็เป็นเพลงที่ผมเรียกได้อย่างภูมิใจว่า เป็นเพลงของตัวเองจริงๆ

จากคนที่แร็ปมาตลอด แต่มาได้ล้านวิวแรกกับเพลงที่เป็น Pop, Soul, R&B มันเกิดอะไรขึ้น

จริงๆ ต้องบอกว่าผมไม่ได้เริ่มมาจากการแร็ปอย่างเดียว ผมเริ่มมาจากร้องเมโลดี้ด้วย แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะเอาเมโลดี้มาเป็นสไตล์หลักของตัวเอง

ตอนนั้นที่ปล่อยฟีโรโมน ผมปล่อยพร้อมกับอีก 4 เพลงที่เป็นแร็ปทั้งหมดเลย ฟีโรโมนเป็น Bonus Track ที่ผมไม่ได้หวังอะไรมาก ทำด้วยความอินเลิฟล้วนๆ แต่พอผมก็รู้สึกว่า เราทำแนวนี้ได้ดี แถมมันเป็นตัวเองด้วย ก็เลยลุยแนวนี้ต่อยาวๆ

แซมเขียนเพลงขึ้นมาด้วยแนวคิดแบบไหน

ผมอยากให้เพลงของผมเหมือนงานศิลปะแขนงหนึ่งที่เราละเลงความรู้สึก ณ ตอนนั้นลงไป คนวาดรูปก็ระบายความรู้สึกผ่านรูปวาด นักเขียนก็ระบายผ่านบทความ เชฟก็ผ่านอาหาร ซึ่งความรู้สึกของผมอาจจะไปตรงกับความรู้สึกของคนที่มาฟังก็ได้ เหมือนมีเพื่อนที่มาแชร์ความรู้สึกร่วมกันผ่านบทเพลง และเมื่อไหร่ที่เพลงผมสื่อสารให้คนฟังเข้าใจได้ นั่นคือตอนที่เพลงของผมทำเสร็จแล้ว

Blackheart

งั้นพูดถึงอัลบั้ม 7HEAVEN สักหน่อย

อัลบั้มนี้พูดถึงความรักที่ไม่สมหวัง เปรียบกับการที่เราอยู่บนสวรรค์หรือจุดสูงสุด แล้วค่อยๆ ตกลงมา มันเปรียบได้กับชีวิต การงาน ฐานะ ชื่อเสียง ความรักด้วยเช่นกัน แต่ผมอยากบอกทุกคนว่า ถึงจะตกลงมา เราก็สามารถขึ้นไปอีกได้ ก้าวต่อไปได้ และเรียนรู้จากสิ่งที่เราพลาดได้

แซมเคยมองว่าตัวเองขึ้นไปถึงจุดสูงสุดไหม

ตอนเด็กๆ ก็เคยคิดว่าตัวเองขึ้นไปถึงแล้วนะ แต่มองย้อนกลับไป เราไม่ได้ไต่ขึ้นมาเลย เราแค่โตขึ้นเฉยๆ

จุดสูงสุดของแซมคือตรงไหน

จุดสูงสุดที่เรียกว่าการประสบความสำเร็จที่ผมตั้งไว้คือ ให้พ่อแม่สามารถอยู่สบายแบบไม่ต้องทำงานได้ เพราะถึงผมจะส่งเงินให้พวกเขาได้แล้ว แต่มันก็ไม่พอที่จะให้พวกเขาอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานแล้ว สำหรับตอนนี้ผมทำได้แค่ 20% เอง

อีกอย่างผมมองตัวเองจากอายุด้วย ถ้าเรามองว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วในอายุเท่านี้ เราก็จะจำกัดตัวเองไว้เท่านี้ และจะไปได้ไม่ไกลมากกว่านี้ ผมพยายามคิดบวก สลัดอีโก้ทิ้งไป สู้เหมือนวันแรกที่ทำ พยายามเป็นคนเหมือนที่เป็นวันแรก เอาทัศนคติที่บริสุทธิ์​ของตัวเองเมื่อสมัยก่อน กับความเติบโตขึ้นของสมัยนี้มาผสมเข้าด้วยกัน

Blackheart

เติบโต (หายไปกับตา)

ทุกวันนี้แซมทำเพลงเพื่ออะไร

(ครุ่นคิด) จากที่เคยเป็นความชอบล้วนๆ มันกลายเป็นว่า เราต้องทำเพื่ออนาคตแล้ว มีเรื่องตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเราทิ้งทุกอย่างมาแล้ว เราก็ต้องทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาให้ได้ พัฒนาตัวเองเพื่อให้ผลที่ออกมามันน่าพอใจสำหรับเรา

ต้องขนาดไหนแซมถึงจะพอใจ

ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างไม่ลำบาก จ่ายค่าบ้าน ค่ารถ ค่าไฟ รวมถึงส่งเงินให้พ่อแม่ เป็นการทำเพลงในโลกทุนนิยม (หัวเราะ) น่าเศร้าเนอะ

คิดว่าจากวันแรกที่เริ่มทำเพลง ตัวเองเติบโตขึ้นมากขนาดไหน

ด้านความคิดผมว่าตัวเองโตขึ้น สิ่งที่เคยถูกผู้ใหญ่เตือน เมื่อก่อนผมก็โกรธนะ แต่พอมองดูดีๆ มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรามาถึงตรงนี้ได้

มันเลยมีเพลงหนึ่งชื่อว่า Diary เป็นเพลงที่ผมเขียนให้แม่ เล่าว่ามาอยู่กรุงเทพฯ เป็นยังไงบ้าง

Blackheart

ได้เปิดเพลงนั้นให้แม่ฟังไหม

ส่วนใหญ่พี่สาวจะเป็นคนเปิดให้ฟังมากกว่า ด้วยความที่บ้านผมไม่ค่อยได้คุยกันด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเท่าไหร่ เวลาที่พูดอะไรซึ้งๆ จะรู้สึกเขินอยู่นิดหนึ่ง

แปลว่าการบอกรักกันของคนในบ้านเป็นเรื่องเขินอาย

ใช่ครับ ผมไม่ค่อยกล้าบอกรักแม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าควรจะต้องเริ่มบอกรักเขาให้มากๆ แล้ว เพราะเขาก็อายุเยอะขึ้น แถมเราไม่รู้ว่า พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันวันไหนเป็นวันสุดท้าย เราอยากทำวันนี้ให้ดีที่สุด นอกจากจะทำให้เขาสบายได้แล้ว เราอยากเติมเต็มในส่วนความรู้สึกให้เขาด้วย อยากบอกรักเขาให้มากขึ้น กอดเขาให้มากขึ้น ให้เขารู้ว่าเราคิดถึงนะ

คิดว่าจะมีสักวันไหมที่ความเขินอายนั้นจะหายไป

คงมีครับ สักตอนที่อายุ 20 กว่าๆ (หัวเราะ) ด้วยความที่ตอนนี้ยังเป็นเด็กอยู่มั้ง สักวันเราคงโตพอที่จะแสดงความรักแบบไม่เขินได้ อย่างตอนนี้ก็กล้าพูดความรู้สึกของเรากับเขามากขึ้นแล้ว

Blackheart

มองย้อนกลับไปยังความสัมพันธ์ของแซมกับคุณพ่อ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง

ผมโตขึ้นพอที่จะยอมรับว่า สิ่งที่เขาทะเลาะกับเราตอนนั้น มันเกิดขึ้นจากความเป็นห่วง เขาอยากให้เราอยู่กับร่องกับรอย เพราะเขาอาจจะมองเราว่าเป็นเด็กไม่ค่อยเอาไหนที่วันๆ อยู่แต่หน้าคอมพ์ ถึงเขาจะเป็นสไตล์เก๊กไว้ก่อน ไม่กล้าพูดอะไรกับลูกเท่าไหร่ (หัวเราะ) แต่เขาก็บอกว่าเป็นห่วงผม ดูแลตัวเองด้วย มาทำงานด้านนี้แล้วก็จริงจังกับมันให้สุด

ผมก็ขอโทษเขาที่เมื่อก่อนอาจจะดื้อไปหน่อย อะไรผิดพลาดไป ผมขอโทษนะพ่อ

เคยคิดจะเอาดนตรีพื้นบ้านของคุณพ่อมาใส่ในเพลงตัวเองไหม

ผมทำไปแล้วครับ เป็นอัลบั้ม HeartDiary เนื้อหาเล่าถึงผมที่เป็นต่างจังหวัดเข้ากรุงแล้วมาเจอกับความรัก

จริงๆ ผมอินกับดนตรีพื้นบ้านมาก พวกเพลงไทยเดิมยุคเก่าๆ เลยเอามาปรับใช้ในอัลบั้มที่แล้ว เป็นผสมฮิปฮอปกับ R&B แล้วเอาความเป็นลูกกรุงลูกทุ่งมาผสมกัน

สิงหาคมนี้จะอายุ 20 แล้ว เราเรียนรู้อะไรบ้างจากชีวิตที่มีเลข 1 นำหน้า

ผมเป็นแค่คนธรรมดาที่ฟลุคทำเพลงดังครับ (แซมตอบด้วยรอยยิ้ม)

ติดตามผลงานและฟังอัลบั้มต่าง ๆ ของ Blackheart ได้ที่

IG: blvckhartt
Youtube: BlackHeart
Spotify: BlackHeart
อัลบั้ม 7HEAVEN: https://bfan.link/7heaven

Tags: