• Street Mood

อีกมุมไฮไลท์ของตลาดน้อย ตรอกเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยภาพกราฟฟิตี้และภาพเพ้นท์สีสันจากศิลปินทั้งไทยและต่างชาติรวมถึงศิลปินอาสาที่มาสร้างสรรค์ผลงานไว้มากมาย ช่วยปรับภูมิทัศน์ชุมชนย่านตลาดน้อยให้สวยงามจนเกิดเป็นศิลปะบนกำแพง ผนังตึก และสถานที่ต่างๆ เสมือนแหล่งรวมผลงานสตรีทอาร์ตสุดเก๋  ที่สุดของความชิคความอาร์ตในย่านนี้ที่ใครสัญจรผ่านมาเห็น เป็นต้องไม่พลาดควักกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเช็กอิน

• Heritage Mood

เดินต่อไปไม่ไกลในซอยวานิช 2 จะพบ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย หนึ่งในอดีตเป็นที่ทำการของธนาคารพาณิชย์แห่งแรกในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2525 เคยได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยาม ถือเป็นธนาคารที่สวยคลาสสิกที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศเลย ความโดดเด่นคือลักษณะตัวอาคารเป็นอาคาร 3 ชั้น สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก ที่เรียกว่า ‘โบซาร์’ ผสมผสานกับนีโอคลาสสิก ตัวอาคารทอดยาวขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยา ตกแต่งด้วยองค์ประกอบคลาสสิกจากยุคต่างๆ เช่น ลาดบัว หัวเสา ปูนปั้น อีกทั้งทำเลที่ตั้งของอาคารยังเป็นรูปถุงเงิน ทางเข้าแคบแต่ปลายบาน ให้เงินเข้าง่ายแต่ออกยากตามหลักฮวงจุ้ย

ปัจจุบันที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์เก็บรักษาอุปกรณ์ เครื่องมือทางการธนาคารสมัยแรกๆ ไว้ให้ได้ดูได้ศึกษา อีกทั้งยังมีการบูรณะอาคารเพื่อให้คงสภาพความสวยงามไว้ดังเดิม

• Antique Mood

เพียงย่างก้าวเข้าสู่พื้นที่ภายในร้าน Hong Sieng Kong ก็พร้อมนำคุณกลับสู่ห้วงเวลาแห่งความทรงจำในอดีตราวกับหลุดลอยไปอีกโลกหนึ่งซึ่งแตกต่างจากบรรยากาศภายนอกอย่างสิ้นเชิง คาเฟ่แอนทีคสไตล์จีนอายุกว่า 200 ปี ริมน้ำเจ้าพระยา พื้นที่ภายในร้านค่อนข้างกว้างขวาง ให้เราเลือกนั่งทั้งโซน Indoor และ Outdoor ส่วนมุมที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่คือโซนโต๊ะริมแม่น้ำ ยิ่งถ้ามานั่งช่วงเย็นรอชมพระอาทิตย์ตกบอกเลยว่าได้ฟีลแบบสุดๆ

ทุกพื้นที่ยังร่มรื่นไปด้วยพรรณไม้หลากชนิดที่ผู้เป็นเจ้าของร้านตั้งใจเลือกด้วยตัวเองอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้เข้ากับเฟอร์นิเจอร์สุดคลาสสิกและของตกแต่งสไตล์แอนทีคต่างๆ อย่างพอดี ทำให้ทุกมุมมองของร้านสะท้อนความเป็นธรรมชาติผ่านโทนสีเขียวได้อย่างมีสไตล์ภายใต้โครงสร้างอาคารเก่าที่เดินทางผ่านกาลเวลามายาวนาน เหมือนกับได้นั่งเล่นสวนริมน้ำยามเย็นที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้พร้อมให้คุณมาผ่อนคลายเอกเขนกไปกับบรรยากาศโดยรอบ ส่วนเครื่องดื่มและอาหารของที่นี่ก็ดีไม่แพ้วิว

• Minimal Mood

ในซอยเล็กๆ นี้ยังมีร้านสุดฮิปแอบซ่อนอยู่อย่างร้าน Timo and Tintin ที่เป็นทั้งคาเฟ่และแกลเลอรี่ รีโนเวทจากตึกแถว 5 ชั้นของครอบครัวสู่พื้นที่ของคนรักงานศิลปะและสถานที่หย่อนใจของเหล่านักชิม กิมมิคที่โดดเด่นของทางร้านคือภาพวาดลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ตามมุมต่างๆ ของร้าน ผนัง กระจก ไปจนถึงตัวคาแรคเตอร์น่ารักๆ บนแก้วแต่ละแก้วที่ต่างกัน ตามคอนเซปต์ที่คุณโอเจ้าของร้านวางไว้ว่า ‘แม้จะเป็นแก้วทึบแต่ข้างในต้องอัดแน่นไปด้วยคุณภาพและความอร่อย’ สำหรับเมนูกาแฟของที่นี่ก็มีให้เลือกหลากหลาย ทั้ง coffee และ non-coffee เราสั่ง Black Yuzu กับชาอู่หลง รสชาติสดชื่นเหมาะกับอากาศร้อนๆ นอกจากนี้ยังมีเมนูขนมโฮมเมดฝีมือคุณแม่ให้เราได้เลือกสรร ลองสั่งคุกกี้ซิกเนเจอร์รูป Timo and Tintin ที่เป็นเมนูขายดีของทางร้านก็อร่อยไม่แพ้กัน

ตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไปจะเป็น apr/s (Art/ People/ Relation/ Space) พื้นที่ที่ให้ทุกคนมารวมกันจัดกิจกรรม รวมถึงเป็นพื้นที่จัดนิทรรศการหมุนเวียนต่างๆ ให้เราได้ชมทุกเดือน ภายในร้านถูกออกแบบและตกแต่งให้มีความโมเดิร์นเน้นโทนขาวสบายตา มีมุมให้เลือกนั่งหลากหลายมุม บรรยากาศโล่งโปร่งสบายรับแสงธรรมชาติ ทำให้ที่นี่เหมาะแก่การมาพักผ่อนนั่งจิบเครื่องดื่มและชมงานศิลป์แบบเพลินๆ

เดินผ่านโซนหน้าร้านเข้ามาจะเจอพื้นที่โล่งตรงกลางด้านบนเป็นช่องให้แสงลอดลงมา มีเก้าอี้ทรงสูงวางไว้ริมกำแพง ตรงนี้เป็นมุมซิกเนเจอร์ยอดฮิตของที่นี่ พร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มหลากหลายเมนูและเบเกอรี่หอมๆ ให้คุณได้แวะมาดับกระหายคลายร้อน นั่งจิบเครื่องดื่ม สัมผัสเสน่ห์ความคลาสสิกดั้งเดิมแบบเต็มอิ่ม

• Eclectic Mood

ก่อนเป็น Photohostel & Photocafe สถานที่แห่งนี้คือตึกไทยง้วน ที่มีอายุมากว่า 200 ปี สถาปัตยกรรมจีนอันเป็นโครงสร้างเดิมของบ้านไทง้วนเองกี่ทำให้รู้เลยว่าชาวจีนคือคนรุ่นแรกที่เข้ามาอาศัยอยู่ในย่านนี้ เดิมที่นี่เป็นที่พำนักของชาวจีนฮกเกี้ยนข้ามน้ำมาตั้งรกรากเมื่อราว 200 ปีก่อน คุณโยเจ้าของคนปัจจุบันยังคงอนุรักษ์โครงสร้างแบบดั้งเดิมเอาไว้ แล้วเติมดีไซน์ใหม่ๆ เพิ่มเข้าไปเพื่อให้โมเดิร์นขึ้น “หลายคนเห็นอาคารจากภายนอกคงคิดว่าเข้ามาจะเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนเก่า แต่เรามองในมุมที่อยู่อาศัย ฉะนั้นมันต้องก้าวไปข้างหน้า เราเลยทำให้ที่นี่ดูโมเดิร์นขึ้น เราทำสิ่งใหม่เพื่อให้มันไปเข้ากับสิ่งเก่าเรารักษาไว้” เขาบอกกับเรา

อย่างบาร์สุดเก๋ด้านหน้าร้านก็เป็นผลงานที่คุณโยออกแบบด้วยตัวเอง นอกจากนี้เขายังตั้งใจให้ที่นี่เป็นศูนย์รวมของภาพนิทรรศการต่างๆ และเป็นคอมมูนิตี้ของงานอาร์ต เขาทิ้งท้ายกับเราไว้ว่า อยากให้ทุกคนแวะมาเพราะที่นี่บริการด้วยใจ เจ้าของร้านเข้าร้านทุกวัน ดูแลลูกค้าด้วยตัวเอง ถ้าอยากเปลี่ยนสถานที่พักผ่อนหย่อนใจก็อยากให้นึกถึง Photohostel & Photocafe

• Cultural Mood

สายมูเราก็ไม่พลาด เป็นที่รู้กันว่าในย่านตลาดน้อยมีศาลเจ้าฮ้อนหว่องกุงที่เป็นเหมือนศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน ‘ศาลเจ้าฮ่อนหว่อง’ เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัย ร. 5 ซึ่งมีอายุกว่าร้อยปีมาแล้ว หรือที่คนไทยเรารู้จักในชื่อ ศาลเจ้าโรงเกือก มากกว่าจะเรียกตามแบบคนไทยเชื้อสายจีนที่เรียกตามนามเทพประธานประจำศาล

จากข้อมูลบนป้ายศิลาภายในศาลเจ้าพ่อฮ้อนหว่องกุงซึ่งบันทึกเมื่อรัชสมัยจักรพรรดิกวางสู ปีที่ 15 ตรงกับปี พ.ศ.2432 กล่าวว่า พ่อค้าชาวจีนฮากกา (จีนแคะ) ได้เชิญองค์เจ้าพ่อฮ้อนหว่องกุง จากเมืองจีนมาประดิษฐานบูชาในประเทศไทยเป็นเวลากว่าหนึ่งร้อยปีก่อนที่จะมีการสร้างศาลเจ้าที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ปัจจุบันเป็นศาลเจ้าประทานลาภเพราะที่นี่มีเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยะ ที่ถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภประทับอยู่ด้วย จึงเป็นสถานที่สำคัญหากอยากแวะเวียนไปกราบขอพรสักครั้งเพื่อเสริมสิริมงคลให้กับตนเอง

เบาะไหว้เจ้าของร้านเฮงเสงมีเอกลักษณ์อยู่ที่ลายโบตั๋นดอกไม้มงคลของจีน เป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม ความโชคดี มั่งมีศรีสุข มากไปกว่านั้นเบาะทุกใบที่วางอยู่ทั่วทุกมุมของร้าน ทุกชิ้นเป็นงานทำมือ ต้องอาศัยความประณีตและความตั้งใจ รวมถึงความใส่ใจและความสุขที่อัดแน่นในหมอนทุกใบ เมื่อมองไปที่มุมทางขวาของร้านจะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งบุหมอนด้วยรอยยิ้ม อาม่าเมี่ยวลั้ง ทายาทรุ่นที่ 2 ยังคงสนุกกับการทำสิ่งที่เธอรัก รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอทุกครั้งเมื่อได้เล่าเรื่องของสถานที่แห่งนี้ให้เราฟัง และพร้อมต้อนรับผู้คนที่สนใจแวะเวียนมาทำงานฝีมืออยู่เสมอ สำหรับใครที่อยากหากิจกรรมอื่นทำนอกจากเดินรับลมชมวิวจิบกาแฟ ทางร้านยังมีเวิร์กชอปพวงกุญแจเล็กๆ น่ารักๆ อยากทำงานฝีมือสักชิ้นก็แวะมาที่ร้านเฮงเสงกันได้ รับรองว่าได้เทคนิคดีๆ กลับไปแน่นอน

ช่วงเวลาสุดสัปดาห์นี้ใครอยากพักสายตาจากหน้าจอคอมไปเสพบรรยากาศดีๆ สัมผัสกลิ่นอายประวัติศาสตร์และความสนุกที่หลบซ่อนอยู่ในย่านตลาดน้อย ก็ลองแวะไปกันดูได้ เราว่าที่นี่เป็นเวิ้งเล็กๆ ที่ครบรสมาก รับรองความ Good Vibe, Good Mood และ Good Day เลยล่ะ