- พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน เปิดพื้นที่แห่งใหม่ ‘Jim Thompson Heritage Quarter’ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เดสติเนชั่นผสมผสานกลิ่นอายวัฒนธรรมไทยที่ใครก็เข้าถึงได้
- ภายในประกอบไปด้วย 5 โซนหลัก ได้แก่ Jim Thompson House Museum, Museum about The Man, Home Furnishing Exhibition, The Iconic Store และ Jim Thompson Art Center ที่เปิดก่อนหน้านั้นแล้ว โดยมุ่งหวังเนรมิตให้เป็นพื้นที่ที่สามารถมาเดินเที่ยว กิน ดื่ม ช็อป เสพอาร์ต พักผ่อนได้ตลอดทั้งวัน
- เรื่องราวชีวิตของ Jim Thompson ‘ราชาแห่งผ้าไหมไทย’ จบลงด้วยปริศนาการหายตัวไประหว่างทริปเดินป่าที่ประเทศมาเลเซียอย่างไม่มีวันหวนคืน แต่สิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้ให้ คือแนวคิดที่เป็นแรงบันดาลใจให้ ‘Jim Thompson Heritage Quarter’ พยายามจะผลักดันคอมมูนิตี้ไทยไปสู่ระดับสากลโลก
หลังจากที่พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมสัน ได้เปิดตัว Jim Thompson Art Center ไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งทำให้ชื่อของ ‘จิม’ เริ่มเป็นที่รู้จัก และถูกพูดถึงมากขึ้นในหมู่คนรุ่นใหม่ ในฐานะเป็นอาร์ตสเปซที่จัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน และเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่รวบรวมคนสายอาร์ตไว้มากที่สุด
ปีนี้เอง พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมสัน ก็ได้เปิดพื้นที่แห่งใหม่คือ ‘Jim Thompson Heritage Quarter’ ซึ่งประกอบไปด้วย 5 โซนหลัก ได้แก่ Jim Thompson House Museum, Museum about The Man, Home Furnishing Exhibition, The Iconic Store รวมถึง Jim Thompson Art Center ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เดสติเนชั่นผสมผสานกลิ่นอายวัฒนธรรมไทย ที่หวังว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นของทุกๆ คน
ครั้งนี้ ONCE ได้รับโอกาสอันดีจากไกด์นำเที่ยวจากที่นี่ พาเดินชมสถานที่ทั้ง 5 โซน โดยแต่ละโซนมีความโดดเด่นอย่างไรบ้าง ขอกวักมือเชิญชวนทุกคนมาดูกันเลย
Jim Thompson House Museum
หรืออีกชื่อคือ ‘พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน’ ซึ่งเป็นจุดแรกของศูนย์กลางโครงการ Jim Thompson Heritage Quarter เมื่อเดินเข้ามาปุ๊ป ก็สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น กับบ้านไม้เรือนไทยที่ตั้งสง่าโดดเด่นตรงหน้าทันที
บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่จิมเคยพักอาศัยนานถึง 8 ปี ก่อนหายตัวไป (สงสัยเหมือนกันใช่ไหมว่าหายตัวไปไหน?) ด้วยความที่เขาค่อนข้างมีรสนิยม และเคยเป็นสถาปนิกสมัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา การออกแบบบ้านหลังนี้จึงไม่ยึดโครงสร้างตามแบบบ้านเรือนไทยสมัยนั้นมากเท่าไหร่ ถ้าอ้างอิงสายตาผู้คนยุคนั้น บ้านของจิมจัดว่า ค่อนข้างแปลกใหม่ เก๋ไก๋ เป็นเอกลักษณ์ในแบบของจิม นิยามให้ชัดเจนคงต้องเป็น ‘ออกแบบตามสไตล์จิม’ มากกว่า
ไหนมาลองดูกัน…
ตัวบ้านซึ่งเป็นกลุ่มเรือนไม้สักไทย 6 หลัง จิมเสาะแสวงหาไม้สักไทยจากหลายภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย ในช่วงทศวรรษ 1950 – 1960 ก่อนทำการถอดแยกส่วนออก แล้วนำกลับมาประกอบกันเป็นบ้านอีกครั้งในที่ดินของเขา หรือที่เรายืนกันอยู่นั่นเอง
บ้านหลังนี้สร้างด้วยไม้สักและไม้แดงซึ่งถือเป็นต้นแบบของการดีไซน์และการตกแต่งไปยังพื้นที่โซนอื่นๆ ทั้งหมดด้วย
เมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียด จะพบว่าจิมได้หยิบยืมสไตล์ยุโรปเข้ามาผสมผสานเข้าด้วยกัน เช่น บันไดบ้านกับห้องน้ำ ถ้ายึดตามแบบบ้านเรือนไทยในสมัยนั้น จะต้องสร้างให้อยู่ข้างนอกบ้าน แต่จิมเลือกสร้างให้อยู่ภายในตัวบ้าน รวมไปถึงไม้แกะสลักที่อยู่ระหว่างช่องลมของหน้าต่าง จิมละทิ้งการสร้างตามแบบไทยเดิม คือต้องโชว์ไว้นอกบ้าน แต่เขาเลือกดีไซน์ให้อยู่ภายในบ้าน เพื่อเอาไว้ให้ตัวเองดู รวมถึงแขกที่เข้ามาเยี่ยมเยียน
กิมมิกเด่นของพิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สันที่ขอบอกว่าพลาดไม่ได้ คือเครื่องเรือนและของสะสมที่มีประวัติและที่มาค่อนข้างหลากหลาย
“จิม ทอมป์สันชอบเดินทางไปในหลายพื้นที่ทั่วเมืองไทยและต่างประเทศ ระหว่างนั้นเขาก็ชอบซื้อของเก่าด้วย แล้วก็จะขนกลับบ้านอยู่บ่อยๆ เพื่อเอามาตั้งโชว์ บางชิ้นก็เก็บสะสมไว้ อย่างพระพุทธรูป ก่อนจะมาถึงมือจิม ก็อยู่มาตั้งแต่สมัยศตวรษที่ 17 แล้ว ส่วนประตูที่อยู่ในบ้านก็รับมาจากโรงจำนำในสมัยนั้น” ไกด์ยังบอกต่ออีกว่า ของเก่าทุกชิ้นมีเรื่องราวมากมายแฝงติดมา ก่อนจะถึงมือจิมแล้ว จึงอยากให้ทุกคนได้เห็นถึงคุณค่าของของเก่าไปด้วย เพราะแต่ละชิ้นนั้นหายากมากแล้วในตอนนี้
“ถ้าได้เดินเข้ามาที่พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน เราเชื่อว่าทุกคนจะได้แรงบันดาลใจกลับไปแน่นอน เพราะภายในบ้าน ข้าวของทุกชิ้นมักแฝงไปด้วยแนวคิดที่ทันสมัย รวมไปถึงความหลงใหลต่อสิ่งที่จิม ทอมป์สันได้สร้างสรรค์ไว้”
ไกด์บอกเรา ขณะพากันเดินออกจากตัวบ้านเพื่อเดินไปที่สวนต่อ
อีกส่วนที่เรียกจุดสนใจต่อผู้ที่มาเที่ยวชม คือสวนที่อยู่ข้างๆ กันที่เราว่ายกให้เป็น iconic garden สไตล์อังกฤษ แต่ที่แตกต่างออกไปคือ ‘เน้นการจัดสวนที่ดูทั้งจงใจและไม่จงใจ’ ไกด์พูดพลางหัวเราะก่อนชี้ให้เราดูพันธุ์ไม้หลากหลายพันธุ์ซึ่งถูกจัดให้อยู่รวมกันอย่างเป็นธรรมชาติเสมือนจำลองพื้นที่ป่าเข้ามา
“พันธุ์ไม้เหล่านี้ดูผิวเผินเหมือนถูกเซ็ตมาแล้วก็จริง แต่ก็เน้นให้เป็นธรรมชาติและมีกลิ่นอายดิบๆ นิดนึง ด้วยการตกแต่งพันธ์ุไม้แบบทรอปิคอล นอกจากนี้เรายังมีจุดขายสำคัญ นั่นคือบ่อน้ำในสวน จะหาเจอได้ก็ต้องเดินลึกเข้าไปหน่อยนะ”
พอถามถึงเหตุผลว่าทำไมต้องเป็นป่า ได้ความมาว่า จิมชอบธรรมชาติและหลงใหลการเดินป่ามาก ห้องนอนและห้องทำงานของจิมจะมีหน้าต่างที่สามารถมองทะลุออกมาเห็นสวนตรงนี้ได้เลย หรือแม้กระทั่งครั้งสุดท้ายก่อนเขาหายตัวไป ก็เลือกไปพักผ่อนด้วยการเดินป่าที่มาเลเซีย สวนแห่งนี้จึงมาจาก Inspiration และความชอบของจิมล้วนๆ
เดินชมสวนที่นี่ จนลืมไปเลยว่าตอนนี้ตัวเองยืนอยู่ในพื้นที่ที่ห้อมล้อมไปด้วยความวุ่นวายของกรุงเทพฯ เพราะเหล่าพันธุ์ไม้ใบเขียวคอยมอบความสดชื่น เสริมสร้างบรรยากาศอันร่มเย็นชวนรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่งจนลืมสิ่งรอบข้างไปชั่วขณะเลยล่ะ
Museum About The Man
ถึงโซนที่จะพาทุกคนมารู้จักตัวตนของจิม ผ่านการจัดแสดงนิทรรศการในหัวข้อ ‘The Man Himself’ บอกเล่าชีวประวัติ และเส้นทางชีวิตของจิม ทอมป์สัน จากการรวบรวมข้อมูล เอกสารบันทึกต่างๆ เรียงเป็นไทม์ไลน์ เริ่มตั้งแต่การทำงานเป็นสถาปนิกที่สหรัฐฯ ก่อนอาสาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพบกของสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปจนถึงความหลงใหลต่องานหัตถศิลป์ขณะมาอยู่ไทย ที่ทำให้จิมได้มีความสัมพันธ์อันดีงามกับชุมชนทอผ้าบ้านครัว (อยู่ตรงข้ามคลองบ้านจิม ทอมป์สันนี่เอง) ตลอดจนถึงการทำธุรกิจผ้าไหมที่ช่วยยกระดับผ้าไหมไทยเข้าสู่วงการแฟชั่น Vogue Hollywood และ Broadway กระทั่งก้าวขึ้นสู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก จิมได้รับฉายา ‘ราชาแห่งผ้าไหมไทย’ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และตรงท้ายที่สุดของไทม์ไลน์ บอกเล่าการหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาของจิม ทอมป์สัน ขณะเดินทางไปพักผ่อนที่มาเลเซียในปี ค.ศ. 1967
น่าเศร้าใจที่ไม่มีใครทราบข่าวคราวของจิม ทอมป์สันอีกเลย ทว่าก็เป็นเรื่องลึกลับที่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ เรียกความสนใจและเป็นจุดขายที่สร้างความฮือฮาให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ภายในนิทรรศการยังจัดแสดงเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของเขาไว้ รวมถึงอิทธิพลแนวคิดต่างๆ ที่ทำให้เราได้รู้จักตัวตนเขาในอีกหลากหลายด้าน ต้องยอมรับเลยว่าช่วงระหว่างที่เขามีชีวิตอยู่นั้น จิม ทอมป์สันเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ใช้ชีวิตได้คุ้มค่า และน่าทึ่งมากจริงๆ
Home Furnishing Exhibition
โซนนิทรรศการจัดแสดงวิวัฒนาการสิ่งทอของจิม ทอมป์สัน พบกับเรื่องราวความเป็นมาและการทำงานของบริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด (Thai Silk Company Limited) รวมถึงบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบ สร้างสรรค์ และดำเนินธุรกิจภายในบริษัท หลังการหายตัวไปของจิม ทอมป์สัน ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา
ในช่วงระหว่างที่จิมมีชีวิตอยู่ เขาตั้งใจที่จะผลักดันแบรนด์ผ้าไหมให้เป็น Luxury of Silk และเป็นผู้นำทางด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับผ้าไหม แนวคิดนี้ได้ส่งต่อแนวทางการพยายามพัฒนาเรื่องของดีไซน์ที่ยังคงหรูหรา เก๋ไก๋ แต่ในขณะเดียวกันต้องเข้าถึงง่าย สวมใส่สบาย และดูแลง่ายอีกด้วย
“สมัยก่อน ผ้าไหมเนี่ย ถ้าสวมใส่แล้ว ต้องส่งซักแห้งเท่านั้น แต่ในตอนนี้ไม่ต้องแล้ว ผ้าจากแบรนด์จิม ทอมป์สัน สามารถซักล้าง ตากได้ตามปกติทั่วไปโดยไม่ต้องกังวลว่าสีจะซีด หรือกังวลว่าเนื้อผ้าจะเสียหาย” ไกด์เล่าเพิ่มเติม
นอกจากผ้าไหมที่จัดแสดงแล้ว ยังมีผ้าลินิน ผ้ามัดมี่ และอีกหลายประเภทถูกหยิบยกขึ้นมาจัดแสดง พร้อมเปิดให้ผู้ชมสามารถสัมผัสเนื้อผ้าได้ตามอัธยาศัย
ภายในนิทรรศการยังได้พาเรามาร่วมสัมผัสการทำงานและผลงานของนักออกแบบสร้างสรรค์ผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการอย่าง แจ็ค เลนอร์ ลาร์สัน, เจอราร์ด เพียซ, ทินนาถ นิสาลักษณ์, อู้ พหลโยธิน และอีกมากมาย ผ่านวิธีการนำเสนอรูปแบบใหม่ๆ เช่น ลวดลายผ้าที่จัดแสดงอยู่ตามกำแพง ถ้าใช้ฝ่ามือกดไปที่ตัวผ้าแต่ละชิ้น ทางขวามือที่มีจอแสดงผลขนาดใหญ่จะปรากฏชื่อนักออกแบบผลงานชิ้นนั้นๆ ออกมา (แอบกระซิบว่า ต้องออกแรงกดนิดนึง ถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัวละกัน)
ถ้าใครชอบเสพอาร์ต พ่วงด้วยการเรียนรู้จากการใช้ผัสสะมากกว่าหนึ่งผัสสะ เรารับรองว่าจะเอ็นจอยกับโซนนี้แน่นอน
The Iconic Store
ชมประวัติและที่มาของผ้าไหมกันแล้ว ถ้าติดใจอยากมีใส่บ้าง ก็ต้องไปที่โซน The Iconic Store โฉมใหม่สุดไฉไลที่ตั้งสง่าไม่ไกลจากโซนอื่นๆ เลย
ห้างขนาดย่อมที่ออกแบบให้บรรยากาศทั้งภายในและภายนอกมีความหรูหรา ดูขลังและมีเสน่ห์ไม่ซ้ำใคร คอนเซ็ปต์ที่นี่นั้นมาจากโทนสีแดงของเรือนไทยจิม ทอมป์สัน ที่เป็นแรงบันดาลใจต่อการตกแต่งทุกส่วนของร้าน และที่เน้นโทนสีส้มแดง และสีเอิร์ธโทนตลอดจนถึงแนวผนังที่พลิ้วไหว มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือสามารถช่วยขับเน้นผลิตภัณฑ์ผ้าไหมให้ออกมางดงามยิ่งขึ้น
สำหรับผลิตภัณฑ์ถ้าไม่พูดเลยคงถึงไม่ได้ เพราะเป็นหัวใจสำคัญของนักช็อปตัวยงที่กำลังมองหาคอลเลกชันสุดปังจากทางแบรนด์ เป็นของฝากที่ระลึกหรือสวมใส่เองอย่างแน่นอน ที่นี่ได้รวบรวมผลิตภัณฑ์ของแบรนด์จิม ทอมป์สัน มีให้เลือกมากมายกว่า 6,000 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายทั้งผู้ชายและผู้หญิง กระเป๋า เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน และคอลเลกชันสุดเอ็กซ์คลูซีฟก็มีมาจำหน่ายที่นี่เพียงที่เดียวเท่านั้น และด้วยสไตล์การดีไซน์แต่ละชิ้นงานมีความหลากหลาย ตั้งแต่ความหรูหรา เก๋ไก๋ ไปจนถึงเรียบง่าย เน้นใส่สบายๆ แต่ดูชิค ดูคูล ที่นี่จึงกลายเป็นจุดสนใจต่อลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติทุกเพศและทุกวัยที่มาเข้าชม
Jim Thompson Art Center
แม้ว่าที่นี่จะเปิดอาร์ตสเปซให้เข้าชมมาก่อนหน้านี้แล้วจนทำให้ชื่อของ จิม ทอมป์สัน เริ่มเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างโดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่แวะเวียนกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ดีไซน์ของ Jim Thompson Art Center ก็จัดได้ว่ามีสตอรี่ค่อนข้างโดดเด่น ลงลึกถึงรายละเอียดในทุกส่วน ชวนให้สะดุดตาอยู่ไม่น้อยเชียวล่ะ ถ้าใครยังไม่เคยมาเยี่ยมชมก็ไม่เป็นไรนะ เราจะพาทุกคนเดินชมเอง
Jim Thompson Art Center ถือเป็นอาร์ตสเปซที่ตั้งอยู่ไกลกว่าโซนอื่นๆ แต่ถ้าคุณเดินลงมาจาก BTS สนามกีฬาแห่งชาติ แล้วเดินเลี้ยวเข้าซอยเกษมสันต์ 2 มาอีกแค่นิดนึงก็จะพบกับโซนนี้ก่อนเป็นอันดับแรก
เดินเข้าไปจะพบกับอิฐบนกำแพงที่มีการจัดเรียงสลับคล้ายการสับหว่าง ภายหลังก็ได้รู้ว่า การจัดเรียงแบบนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากลายผ้าไหมของจิม ทอมป์สันนั่นเอง และยังรวมไปตัวอาคารทั้งหมดของที่นี่ด้วย
เพราะว่าทั้งอาร์ตสเปซและโซนอื่นๆ หยิบยืมไลต์สไตล์ ไปจนถึงแนวคิดของจิม ทอมป์สันมาสร้างสรรค์จนได้ดีไซน์ที่สดใหม่ไม่ซ้ำใคร ก็ถือว่าเป็นวิธีการพรีเซนต์ตัวตนจิมในแบบที่จงใจและไม่จงใจ ให้ใครต่อใครที่เดินเข้ามา สามารถซึมซับชีวิตของจิมได้อย่างง่ายดายเลยล่ะ
เมื่อเดินสำรวจจนทั่ว ที่นี่ประกอบไปด้วยคาเฟ่ ห้องสมุด อาร์ตแกลเลอรีสำหรับจัดนิทรรศการทั้งของศิลปินไทยและต่างประเทศแบบหมุนเวียน เป็นการเปิดโอกาสศิลปินได้มีพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิด ประเด็นต่างๆ ผ่านผลงานจัดแสดง ยังมีจุดที่พลาดไม่ได้สำหรับคนที่ชอบหามุมถ่ายภาพสวยๆ สไตล์มินิมอล เราแนะนำพื้นที่โล่งบนดาดฟ้าเลย รับรองว่าได้รูปสุดชิคกลับไปแน่นอนจ้า
นอกจาก 5 โซนที่เราเพิ่งพาทัวร์ไป ที่นี่ยังเปิดให้บริการร้านอาหาร คาเฟ่ ต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนอย่างไม่ขาดสาย อีกทั้งยังอยู่ในช่วงพัฒนาเพื่อปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ให้มีความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น เหมือนที่ The Jim Heritage Quarter ทั้ง 5 โซนได้ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ตรงนี้แล้ว
“เรากำลังรีโนเวทปรับโฉมใหม่ เพราะต้องการจะปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์จาก Luxury ให้เป็นพื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ทั้งหมด เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทุกคนให้สามารถมาเที่ยวเล่น พักผ่อนที่นี่ได้ตลอดทั้งวัน โดยที่เราช่วยซัพพอร์ตและอำนวยความสะดวกในเรื่องของอาหาร เครื่องดื่ม หรืออื่นๆ อย่างเต็มที่”
ภายในต้นปีหน้า ก็จะได้พบกับร้านอาหารไทยแบบฟิวชัน มีคาเฟ่และบาร์เป็นไฮไลท์ เพราะการตกแต่งของที่นี่ แม้มาจากแนวคิดของจิม ทอมป์สัน แต่จะเป็นอะไรที่ใหม่กว่า ด้วยการหยิบยืมบางช่วงชีวิต เช่น ช่วงที่เขาเป็นทหารมาเป็นแรงบันดาลใจต่อการตกแต่งและดีไซน์ในส่วนนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยทำมาก่อน
ไกด์บอกกับเราอีกว่า ที่ผ่านมาพิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สันจะเน้นร่วมงานกับพาร์เนอร์ที่เป็นคนไทยทั้งหมด เพราะต้องการส่งเสริมคอมมูนิตี้ของไทยให้ขยายไปในวงกว้าง และถือเป็นการผลักดันตามแนวคิดของจิมที่อยากร่วมงานกับคนไทยมาอย่างยาวนาน นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่จะได้พบกับร้านอาหารไทยแบบฟิวชัน ขนมไทยแบบฟิวชัน รวมไปถึงคาเฟ่และบาร์ ที่เน้นใช้วัตถุดิบที่มาจากท้องถิ่นในไทยทั้งหมดให้ได้ลองลิ้มรสกันอีกด้วย
ในตอนนี้ หากใครกำลังแพลนทริปเที่ยวระยะสั้นๆ เพื่อหลบหลีกความวุ่นวายของชีวิตเมืองกรุง เราอยากให้มา The Jim Thompson Heritage Quarter สถานที่สงบร่มเย็น บรรยากาศดี น่าเที่ยวชมและเดินเล่นแบบชิลๆ แล้วต่อด้วยช็อปเสื้อผ้า แวะชมมิวเซียม ดูอาร์ตแกลเลอรี ตบท้ายด้วยนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดก็คงจะฟิลกู๊ดไม่น้อย
“มานะ มาเถอะ” เสียงไกด์อ้อนวอนพลางฝากรอยยิ้มแห่งความหวังก่อนที่เราจะจากลากัน
Jim Thompson Heritage Quarter
- ซอยเกษมสันต์ 2 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
- เวลาเปิดทำการ Jim Thompson Heritage Quarter : เปิดทุกวัน เวลา 10.00 – 18.00 น. (ทัวร์นำชมสถานที่พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน รอบสุดท้ายคือ 17.00 น.) ส่วน Jim Thompson Iconic Retail Store: เปิดทุกวัน 09.00 – 19.00 น.
- โทร. 02-612-3603 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่เฟสบุ๊ค : Jim Thompson Heritage Quarter หรือ เว็บไซต์