มุมหนึ่งของเคาน์เตอร์ที่นี่มีความพิเศษคือเขาเสิร์ฟค็อกเทลด้วย (ตามเวลาจำหน่ายแอลกอฮอล์ตามกฎหมายนะครับ) ค็อกเทลของที่นี่มีความเด่นตรงที่หลายเมนูมีกาแฟ Reserve ของสตาร์บัคส์เป็นส่วนผสม ซึ่งน่าจะถูกใจคุณๆ ที่หลงใหลในรสและกลิ่นของกาแฟ

การจับกาแฟมาเกี่ยวข้องกับค็อกเทลนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ สุราลิเคียวร์หลายตัวก็เข้ากับกาแฟ ที่เราคงคุ้นกันก็คือคาลัวร์ สุราลิเคียวร์ชื่อดังจากเม็กซิโก ค็อกเทลซึ่งมีกาแฟเป็นส่วนผสมและได้รับความนิยมมานานจนขึ้นทำเนียบค็อกเทลคลาสสิกไปแล้ว ก็มี Espresso Martini, Black Russian, White Russian และอื่นๆ

เราจะเรียกบาร์นี้ว่า Starbucks Reserve Bar ก็คงจะได้ นัยว่าเขามีบาร์ไว้เสิร์ฟค็อกเทลง่ายๆ สบายๆ พร้อมกับเบียร์ซึ่งใช้เมล็ดกาแฟ Reserve เป็นวัตถุดิบในการบ่มหมัก บาร์นี้มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มมิติประสบการณ์ด้านกาแฟแก่ลูกค้า บาร์ในลักษณะนี้มีแค่ที่เมืองชิคาโก นิวยอร์ก ซีแอตเติล กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มิลาน เซี่ยงไฮ้ โตเกียว และล่าสุดคือที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่กรุงเทพฯ และเป็นบาร์ในร้านสตาร์บัคส์แห่งเดียวในประเทศไทย

สำหรับบรรยากาศนั้น ถ้าไม่เห็นขวดเหล้าเรียงรายอยู่บนผนังด้านหลัง ก็คงนึกว่าที่นี่เป็นเคาน์เตอร์ขายชากาแฟตามปกติ อย่างที่บอกไปแล้วว่าบาร์นี้มีเพื่อเพิ่มประสบการณ์เรื่องกาแฟ เราจึงไม่เห็นการตกแต่งภายในและการจัดแสงไฟอย่างตั้งใจกระพือจินตนาการ หรือเสียงเพลงบีตเร้าอารมณ์สู่การผจญภัยยามราตรี ตรงบาร์นี้บรรยากาศก็เหมือนเคาน์เตอร์หนึ่งของร้าน ต่างกันตรงที่เครื่องดื่มในเมนูเท่านั้น

มาเริ่มการผจญภัยในเรื่องของเครื่องดื่มที่นี่กันดีกว่า

Chao Phraya Sour (480 บาท) มีเบสเป็นวิสกี้ เดินตามเส้นทางของเครื่องดื่มซาวเออร์ ด้วยน้ำเชื่อม น้ำมะนาวและไวน์แดง เสิร์ฟมาเก๋ๆ พร้อมเม็ดเพิร์ลของน้ำทับทิมวางไว้บนช้อนคันน้อย ไว้ให้แกล้มเพิ่มความเปรี้ยวและความสดชื่น เหมาะมากที่จะเป็นแก้วแรก เพราะช่วยเปิดต่อมรับรสได้ดี

Morakot (390 บาท) มีจินและเวอร์มุท แก้วนี้ออกจะแพรวพราวด้วยส่วนผสมหลายหลาก ตั้งแต่น้ำเชื่อมข้าวหอมมะลิ ผงมัตฉะ ไข่ขาว (ตรงนี้ในเมนูบอกว่าจะไม่เอาไข่ขาวก็ได้) ตกแต่งด้วยงาดำและดอกไม้ เป็นค็อกเทลที่น่าสนใจสำหรับคนที่ชอบรสชาติของขนมไทย เช่น ขนมชั้น เพราะอาฟเตอร์เทสต์จากความหอมมันของเครื่องดื่มนั้นใกล้เคียงกับขนมไทยมาก

Reserve Espresso Martini (290 บาท) ต่างกับเอสเพรสโซมาร์ตินีทั่วไปตรงที่เขาใช้กาแฟเอสเพรสโซจากเมล็ดอย่างดีชงใหม่ๆ กับน้ำเชื่อม ให้รสชาติแท้ๆ ของกาแฟแทนที่จะใช้คาลัวร์ การใช้กาแฟเอสเปรสโซแช่เย็นซึ่งชงรสใหม่วันต่อวันนี้ นอกจากให้รสชาติที่แตกต่าง ยังได้ฟองจากการเชคที่นุ่มหนาชวนให้จิบอย่างละเมียด ดีกว่าฟองจาก Espresso Martini ทั่วไปที่ใช้คาลัวร์เป็นส่วนผสมอย่างเห็นได้ชัด

Reserve Espresso Gin & Tonic (290 บาท) แก้วนี้คือแก้วโปรดของทางเราด้วยความเรียบง่ายของจินกับโทนิค และรสชาติเพิ่มเติมที่เข้ากันของจินยี่ห้อแทงเกอร์เรย์บ่มเปลือกส้มเซบียา ซึ่งไปกันได้อย่างดีอย่างคาดไม่ถึงกับรสและกลิ่นของน้ำโทนิกกับกาแฟดีๆ เขาเสิร์ฟโดยวางช็อตกาแฟแยกไว้ให้จิบ แต่จะเทช็อตลงในแก้วจินแอนด์โทนิกก็ไม่น่าจะผิดกติกา คือน่าจะเหมาะกับคนที่ชอบความสะดวกบวกกับความนัวของรสชาติ

Cold Brew Spice Rum (290 บาท) ใช้ spice gold rum, กาแฟโคลด์บริวของสตาร์บัคส์รีเสิร์ฟ, Chai Tea ของ Teavana ตามด้วยน้ำมะนาว น้ำเชื่อมและออร์เรนจ์บิตเทอร์ส ได้รสชาติที่หนักแน่นทีเดียว

Hibicus Tea Sangria (480 บาท) น่าจะเหมาะกับการจิบท่ามกลางบรรยากาศยามเย็น สร้างความสดชื่นจากส่วนผสมหลากชนิด ตั้งแต่ไวน์แดงอันเป็นสาระของความเป็นแซงเกรีย เพิ่มดีกรีด้วยคอนยัก เหล้าลิเคียวร์ส้มซึ่งมีชื่อว่าควงโทร ตามด้วยชาชบา น้ำมะนาว สไปรต์และผลไม้นานาชนิด แนะนำว่าควรให้เวลาส่วนผสมของแก้วนี้ผสมผสานทำความรู้จักกันสักห้านาที รสชาติจะนัวกว่ารีบจิบเยอะเลยครับ

ถ้าค็อกเทลไม่ใช่ทางของคุณ เขายังมีคราฟต์เบียร์ที่บ่มกับกาแฟ มีทั้งหมดสามสูตร เป็นเบียร์สดรินมาจากแท็บ ตั้งแต่ Colombia Golden Ale (320 บาท) สดชื่นกว่าตัวอื่น Guatemala Antigua Amber Ale (320 บาท) จิบแล้วพอจะได้รสช็อกโกแลต และ Kenya Dark Ale (320 บาท) ซึ่งจะหนักเน้นกว่านิดนึง